ข่าวปนคน คนปนข่าว
**คุก 2 ปี!! บทสรุปของ "เบญจา หลุยเจริญ" อดีตรมช.คลัง และพวก พร้อมคนใกล้ชิด"คุณหญิงพจมาน" คดีช่วยเหลือให้"พานทองแท้-พินทองทา" ไม่ต้องเสียภาษีการซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ เมื่อปี 49 เสียหายกว่า 7.9 พันล้านบาท
อุทาหรณ์ของผู้รับใช้"ตระกูลชิน"ในทางที่ผิดอีกหนึ่งกรณี หลังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง“เบญจา หลุยเจริญ”อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร , น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร, น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร, นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภรรยา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
กรณีช่วยเหลือ"พานทองแท้ ชินวัตร" และ"พินทองทา ชินวัตร" (คุณากรวงศ์) บุตรของนายทักษิณ ไม่ต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย จากกรณีการซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 เสียหายกว่า 7.9 พันล้านบาท
ในวันที่ศาลอ่านคำพิพากษา(26ธ.ค.) จำเลยที่ 1-5 มาศาล เบื้องต้นศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 1-5 ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 1-4 อ้างว่า ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ทั้งทางอาญาและทางวินัย ขอให้ศาลลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า พฤติการณ์การกระทำผิดดังกล่าวร้ายแรง ส่วนจำเลยที่ 5 มีพฤติการณ์ปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดในคดีนี้ จึงไม่ลงโทษสถานเบา
อย่างไรก็ดี จำเลยที่ 1-5 ให้ทางนำสืบพอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง จึงพิพากษาแก้ ลดโทษให้ 1 ใน 3 โดยจำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วนจำเลยที่ 5 ฐานสนับสนุนให้เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
สำหรับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น นางเบญจา น.ส.จำรัส น.ส.โมรี และนายกริช มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 83 จำคุกคนละ 3 ปี ส่วนน.ส.ปราณี มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี และเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งหมด จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
คดีนี้ จำเลยทั้งหมดถูกกล่าวหาว่า ช่วยเหลือ “โอ๊ค”พานทองแท้ ชินวัตร และ“เอม”พินทองทา ชินวัตร บุตรของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย จากกรณีการซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด เมื่อปี 2549 คนละ 164.6 ล้านบาท ในราคาพาร์ หุ้นละ 1 บาท (ราคาตลาดขณะนั้น 49.25 บาท) ถือได้ว่า พานทองแท้ และ พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท (ราว 7.9 พันล้านบาท) ทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการเสียหาย
สุดท้ายแล้วปลายทางของผู้รับใช้ตระกูลชินล้วนแล้วแต่จบลงเหมือนๆ กัน !!
** นิติสงคราม! "ปิยบุตร" ประดิษฐ์วาทกรรมใหม่มาล้อเลียน "นิติธรรม" หวังบิดเบือน ชี้นำว่าใคร ? คือผู้ทำลายพรรคอนาคตใหม่ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องทำตัวเองทั้งนั้น !! ขนาด"ดร.นิว" ยังตั้งคำถามว่า # ปิยบุตรจบกฎหมายมหาชนจริงหรือ ?
งวดเข้ามาทุกขณะ สำหรับคดีความ "ยุบพรรคอนาคตใหม่" ที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งเรื่อง "เงินกู้ 191 ล้าน" และ เรื่อง "ล้มล้างการปกครอง" ... ทำเอาแกนนำพรรคถึงกับออกอาการดิ้นพล่าน !!
ล่าสุด เฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkulของ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ก็โพสต์ข้อความหัวข้อ "ชวนทุกท่านมาทำความเข้าใจกับ Lawfare หรือ นิติสงคราม กันอีกครั้ง"
"ปิยบุตร" บอกว่า Lawfare คือ คำที่คิดค้นขึ้นมาใหม่โดยล้อเลียนไปกับคำว่า Warfare หรือแปลว่า การสงคราม โดยเปลี่ยน War เป็น Law จึงเป็น "Lawfare"อาจแปลได้ว่า "นิติสงคราม" หรือ "สงครามทางกฎหมาย" ... หมายถึง ใช้กฎหมาย เข้าห้ำหั่นแทนอาวุธ เพื่อบรรลุเป้าหมายในทางสงคราม หรือเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง...
"ปิยบุตร" อธิบายถึงกลไก กระบวนการทำงานของ Lawfare ว่ามีหลักใหญ่ 2 ประการ คือ 1. การทำให้ประเด็นทางการเมืองกลายไปเป็นคดี และอยู่ในมือศาล และ 2. การนำประเด็นทางการเมืองจากมือศาลไปไว้ในมือสื่อฯ แม้ศาลยังไม่ได้ตัดสิน แต่สื่อฯนำมารายงานไปเรื่อยๆ จนทำให้คนเชื่อว่ามีความผิดจริง ทำให้คนไม่ได้สนใจรายละเอียดข้อกฎหมายที่เป็นเรื่องซับซ้อน และข้อเท็จจริงของเรื่องอีกต่อไป
"นิติสงคราม" จึงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทางการเมือง ไม่ได้ส่งเสริมประชาธิปไตย แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมืองโดยที่ไม่ต้องใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ และไม่ต้องชนะการเลือกตั้ง
#อนาคตใหม่ #StopLawfare
ชัดเจนว่า สิ่งที่ "ปิยบุตร" กำลังพยายามบอกคือ พรรคอนาคตใหม่ ถูกฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง ซึ่งก็คือ "รัฐบาลลุงตู่" กำลังใช้กฎหมาย และศาล เป็นเครื่องมือในการกำจัดพวกเขาให้พ้นไปจากเส้นทางการเมือง ...โดย "ปิยบุตร" ไม่ได้มองย้อนกลับไปดูถึงพฤติกรรมของตัวเขาและแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ที่มักจะกระทำการในลักษณะ สุ่มเสี่ยง ล้ำเส้น แม้กระทั่งบางเรื่องก็ทำทั้งที่รู้ว่าผิดกฎหมายชัดเจน
เมื่อเกิดเรื่องร้องเรียน เป็นคดีขึ้นมา "ปิยบุตร" ในฐานะที่เป็น "มือกฎหมาย"ของพรรคก็มักจะตีความเข้าข้างตัวเองว่าเป็นฝ่ายที่ "ไม่ผิด" อยู่เสมอ...อย่างเช่นที่เขาบอกว่า "เงินกู้ ไม่ใช่เงินบริจาค" ...หรือ "กฎหมายไม่ได้เขียนห้ามไว้ ถือว่าทำได้" ...
แนวทางตามที่ "ปิยบุตร" พยายามดิ้นนี้ ทำให้ "ดร.นิว" ศุภณัฐ อภิญญาณ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas สหรัฐอเมริกา ถึงกับอดรนทนไม่ไหว ต้องออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ตั้งคำถามว่า ... # ปิยบุตรจบกฎหมายมหาชนจริงหรือ ?
เนื้อหาระบุว่า ... แม้ว่าบทบัญญัติและบทลงโทษของกฎหมายในแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่หลักการสำคัญต่างๆ ย่อมเป็นไปในทิศทางที่เป็นสากล เพราะทุกประเทศในโลก ก็ต่างมีความพยายามที่จะสร้างความโปร่งใสในระบบการเลือกตั้งของตัวเองทั้งสิ้น ...
การที่ "ปิยบุตร"แถลงสวนมติ กกต. ที่ยื่นยุบพรรค โดยอ้างว่า "เงินกู้ไม่ใช่เงินบริจาค" นั้น เป็นความพยายามบิดเบือนข้อกฎหมาย หรือไม่ ? จึงเป็นที่มาของข้อสงสัยว่า เขาจบกฎหมายมหาชนจริงหรือ ? ทำไมหลักการพื้นๆ แค่นี้ยังไม่เข้าใจ ? แล้วที่ชอบอ้างว่า ตัวเองอ่านหนังสือมา 2,500 เล่ม ทั้งยังอวย "ธนาธร" ว่าอ่านมาแล้ว 2,000 เล่ม ... พวกคุณอ่านหนังสืออะไรกันหรือครับ ?
... กฎหมายเลือกตั้งสหรัฐฯ ภายใต้ The Federal Election Commission (FEC) หรือ คณะกรรมการการเลือกตั้งของรัฐบาลกลาง ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "เงินกู้ส่วนบุคคล" จัดเป็น "เงินบริจาค"
กฎหมายเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็ยังได้กำหนดเพดานของเงินบริจาคส่วนบุคคลให้พรรคการเมืองได้ไม่เกิน $ 35,500 ต่อปี หรือ ราว 1.07 ล้านบาท นับว่าน้อยกว่าประเทศไทยเกือบ 10 เท่าตัว เพราะประเทศไทยตั้งไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อปี
เมื่อกลับมาพิจารณาตามกฎหมายไทยแล้ว ย่อมขัดต่อหลักการของกฎหมาย ตามมาตรา 66 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองอย่างชัดเจน ไม่ได้ต่างจากหลักการตามกฎหมายสหรัฐฯ เพราะจำนวนเงิน 191.2 ล้านบาท เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อันอยู่ในข่ายบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือ ประโยชน์อื่นใดให้แก่พรรคการเมืองมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท ต่อพรรคการเมืองต่อปีมิได้
แบบนี้ก็ย่อมมีมูลตาม มาตรา 72 ของพ.ร.ป. ว่าด้วยพรรคการเมืองอย่างชัดเจนว่า การได้มาซึ่งเงินดังกล่าว อาจไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้วนำไปสู่ มาตรา 92(3) เพื่อพิจารณา "ยุบพรรค"
เรื่องแบบนี้น่าจะถูกนำไปประโคมข่าวในระดับโลกบ้างนะครับ แล้วมาดูกันว่า...ชาวโลกจะยอมรับได้หรือไม่ หรือชาวสหรัฐฯ จะมองประเด็นนี้อย่างไรบ้าง ?
แม้แต่ "ธนาธร" เองก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การให้พรรคกู้เงินนั้น ไม่ผิด เพราะถ้าพิจารณาว่า เงินกู้เป็นรายได้ จะผิดหลักบัญชีทั้งหมด ... แต่"ธนาธร" ลืมไปหรือเปล่าว่า นี่มันไม่ใช่หลักการบัญชี แต่มันคือกฎหมายเลือกตั้งของประเทศไทย ที่มีแต่พรรคอนาคตใหม่ ละเมิดกฎหมายอยู่แค่พรรคเดียว แถมตอนเขาเปิดโอกาสให้ยื่นเอกสาร หรือชี้แจงตามระบบ ก็ไม่ทำให้เรียบร้อย
... ผมขอเรียกร้องให้ทั้ง ปิยบุตร และธนาธร เลิกประดิษฐ์นามธรรม หรือวาทกรรมในโลกเสมือนจริงด้วยเจตนาแอบแฝงที่อาจต้องการบิดเบือนให้ร้ายผู้อื่นที่ขัดต่อผลประโยชน์ของพวกคุณ รวมทั้งปลุกระดมผู้ที่รู้ไม่เท่าทันมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้แล้ว !!
"ดร.นิว" ยังทิ้งท้ายไว้ว่า ... นักการเมืองดีรับใช้ประชาชน แต่นักการเมืองชั่วหลอกใช้หัวราษฎร อยากเป็นอะไรก็เลือกเอาเองเถอะครับ ? … แค่หลักการง่ายๆ แค่นี้พวกคุณยังไม่รู้ ผมขอให้คุณทั้งคู่ลองพิจารณาตัวเอง แล้วออกจากการเมืองไทย เดินเข้าห้างแล้วมองหาของเล่นที่ชอบน่าจะเหมาะสมกว่า...เพราะประเทศไทยไม่ใช่ของเล่นของใคร !!
เป็นไง เจอคนรู้ทันแบบนี้ไม่รู้ว่า "ปิยบุตร" จะรีบโพสต์ตอบโต้หรือไม่ !!