ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เดินหน้าแก้วิกฤตจราจรบนทางด่วนในกทม.-สายใต้ ถึงเวลา "Double Deck"ทางด่วนสองชั้นในเมือง? ความจำเป็นต้องมี-ไม่มี ฝากไว้ที่ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคม
โครงการทางพิเศษสายพระราม3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เริ่มเดินหน้า มีการเซ็นสัญญาระหว่าง กทพ. กับบริษัท ช.การช่าง จำกัด เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ถือเป็นความหวังในการแก้ปัญหาจราจร ติดขัดช่วงดาวคะนอง-ท่าเรือ และสะพานพระราม 9 ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
ต้องบอกว่า เป็นผลงานที่ต้องให้เครดิต กระทรวงคมนาคมในยุคของ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" เพราะ หลังจากรอมานานถือเป็นก้าวสำคัญของ กทพ. หน่วยงานในสังกัด ที่แก้ปัญหาเป็นรูปธรรมจะอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน
ดูตามโครงข่ายทางพิเศษนี้ก็จะเห็นว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างกทม. กับพื้นที่ฝั่งตะวันตก รวมถึงจราจรที่จะไป-มาภาคใต้ จะสะดวก รวดเร็ว และช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดบนทางพิเศษ เฉลิมมหานคร ช่วงดาวคะนองถึงท่าเรือ รวมถึงบนถนนพระรามที่ 2 ในปัจจุบัน
ว่ากันว่า รูปแบบการก่อสร้างช่วงสำคัญเป็นทางยกระดับก่อสร้างทับทางพิเศษเฉลิมมหานคร หรือ ด่วน1 ขนาด 6 ช่องจราจร หรือ "Double Deck"ทางด่วน 2 ชั้นนั่นเอง
หลังจากเซ็นสัญญากันวันนั้น "สุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์" ผู้ว่าการกทพ. จึงถูกถามถึงการจะสร้าง Double Deck ในเมืองบ้าง โดยเฉพาะช่วงทางด่วนในเมือง อย่าง งามวงศ์วาน เพื่อแก้ปัญหาจราจรบ้างหรือไม่
ที่นักข่าวถามคงเนื่องจากว่า Double Deck ช่วงงามวงศ์วาน ก่อนนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อยุติข้อพิพาท "ค่าโง่ทางด่วน" แต่ "รมว.ศักดิ์สยาม" ไม่เห็นชอบด้วย เพราะเห็นว่ายังไม่จำเป็นและไม่มีในสัญญา
ผู้ว่าการ กทพ. ตอบว่า เป็นเรื่องที่พิจารณากันอยู่ ซึ่งมีหลายฝ่ายเสนอมา ยอมรับว่าหากมีการก่อสร้างดับเบิลเดคจริง ก็จะช่วยแก้ไขปัญหาจราจรได้ เพราะเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวการจราจร
ที่ผ่านมา หลายฝ่ายพยายามเสนอทางเลือกในการแก้วิกฤตจราจรติดขัดบนทางด่วนในภาพรวมหลายทาง เช่น เพิ่มการใช้ “อีซี่พาส” -ลดสิ่งกีดขวาง หรือไม้กั้น เพื่อลดเวลา การเพิ่มผิวจราจร การก่อสร้างสะพานบายพาส หรือ Bypass Ramp เพื่อแก้ปัญหาจุดตัดบนทางด่วน และ หนึ่งในนั้นคือ การเพิ่มพื้นผิวจราจรด้วยโครงการก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้น หรือ Double Deck ที่ถูกพูดถึงมากที่สุด
ทั้งนี้รูปแบบการก่อสร้าง Double Deckคือ การก่อสร้างทางยกระดับซ้อนบนทางด่วนเดิมขึ้นอีก 1 ชั้น ขนาด 4 ช่องจราจร ในแนวเส้นทางนี้ เพื่อต้องการแยกรถที่วิ่งใกล้ไกลออกจากกัน โดยผู้ใช้บริการไม่ต้องจ่ายเพิ่ม หรือไม่เก็บเงินเพิ่มแต่อย่างใด
ข้อดีของ Double Deck ส่วนใหญ่จะก่อสร้างเสาตอม่อขึ้นในแนวช่องกลางระหว่างทางด่วนเดิม ทำให้ไม่ต้องเวนคืนที่ดินเพิ่ม จะมีเพียงบางจุดเท่านั้นที่จะต้องใช้พื้นที่ด้านล่างก่อสร้างเสา ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี
ในการก่อสร้าง Double Deckในเมืองจะได้สร้างหรือไม่ เงื่อนไขมีหลายปัจจัย นอกจากเรื่องนี้ชัดเจนว่า "รมว.ศักดิ์สยาม" ได้สั่งให้ศึกษาเพื่อความรอบคอบ
"ได้มอบนโยบายไปว่าให้ลองพิจารณาว่าหากไม่มีการก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 หรือ Double Deck รายละเอียดข้อพิพาทจะเป็นอย่างไร จะขยายอายุกี่ปี เพราะเห็นว่าDouble Deck ไม่มีความจำเป็น และไม่ได้ถูกระบุไว้ในสัญญาตั้งแต่แรก" รมว.คมนาคมเคยกล่าวไว้
แว่วว่า เรื่องใหญ่ในแง่ ของ"รมว.ศักดิ์สยาม" คือการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม EIA และต้องผ่านความเห็นชอบก่อน นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญมากในเรื่องของการสร้างทางด่วนสองชั้น
ผู้ว่าฯ กทพ. บอกว่า เรื่องทั้งหมดอยู่ที่กระทรวงคมนาคม จะพิจารณา เพราะได้ส่งเรื่องไปหมดแล้ว ซึ่งการสร้างดับเบิ้ลเดค เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องมีการศึกษาว่าคุ้มค่าการก่อสร้างหรือไม่
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า การก่อสร้างปรับปรุงทางด่วน เพิ่มพื้นที่ผิวจราจรก็จำเป็น แต่เรื่องที่คมนาคมต้องระมัดระวัง คือรัฐจะต้องตอบสังคมให้ได้ว่า การยุติปัญหาข้อพิพาททางด่วนไม่ได้เอื้อประโยชน์กับใคร และ ประชาชนได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ดังที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยให้หลักการเจรจาต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ว่า ประชาชนต้องได้ประโยชน์
"ยืนยัน ไม่มีการเอื้อประโยชน์ หลักการเจรจา คือ กทพ. จะต้องไม่จ่ายเงินสด และต้องได้รับสิทธิประโยชน์ไม่ต่ำกว่าเดิมที่เคยได้ อีกทั้งประชาชนต้องได้ประโยชน์ รวมถึงเอกชนต้องปรับปรุงทางด่วนด้วย" นายกฯ กล่าวไว้
Double Deckเพื่อแก้ปัญหาจราจรในเมืองถึงวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายกำลังรอการพิจารณาขั้นสุดท้ายจากกระทรวงคมนาคม
ในที่สุดแล้วด้วยเหตุและผล ว่าจำเป็นต้องมี หรือ ไม่มี Double Deckย่อมฝากไว้ที่ "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" จะพิจารณาอย่างไร เสนอต่อ ครม.อย่างไร ไม่นานคงได้รู้กัน ... โปรดติดตาม.
** "โหรคมช." เห็นภาพนิมิตแล้ว ปีหน้าปรับใหญ่ครม. ผ่าตัดยกพวง เททิ้งพรรคตีรวน ...คนที่เคยไม่เผาผีกัน จะหันมาร่วมงานการเมือง ประคอง "ลุงตู่" อยู่ครบ 4 ปี ไม่มียุบสภาฯ!!
ในยามที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หรือมีเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง เรามักจะได้เห็น "โหรคมช." วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ เจ้าสำนักสุขิโต จ.เชียงใหม่ อ้างถึงการนั่งญาณ เห็นนิมิตจากฤาษีหลวงปู่เกวาลัน แห่งเทือกเขาหิมาลัย มาทำนายทายทัก ...คล้ายๆ กับการพูดแทนรัฐบาลในเชิง "โยนหินถามทาง"...
ช่วงนี้ก็เช่นกัน ที่รัฐบาลกำลังอึดอัดกับปัญหา "เสียงปริ่มน้ำ" และยังมี ส.ส.ในซีกรัฐบาล "โหวตสวน" มติวิปรัฐบาล ในการลงมติตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาปัญหาการใช้ มาตรา 44 ที่เพิ่งโหวตกันไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ... วันนี้ "โหรคมช." ก็ออกมาแล้ว ... บอกว่าจากการนั่งญาณเพ่งนิมิต เห็นภาพว่า ปีหน้า "รัฐบาลลุงตู่" จะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ "พี่น้อง 3ป." ยังอยู่ครบ ไม่มีการยุบสภาฯ แต่จะมีการปรับใหญ่ครม. ภายใน 3-6 เดือน ...แบบ "ผ่าตัดยกพวง"
..."บางกลุ่มคอยแสวงหาผลประโยชน์ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น จะถึงเวลาสูญพันธ์ แตกดับไปเอง พรรคพวกที่เข้ามาทำหน้าที่ มาแสวงผลประโยชน์ให้ตัวเอง ไม่คำนึงถึงประชาชนที่มอบหมายให้มาทำหน้าที่เพื่อบ้านเมือง กลับมาคอยจ้องผลประโยชน์ หวังได้อะไร เหน็บแหม หาเหตุ เก่งแต่พูด อ้างตรงนั้น ตรงนี้ ที่สุดพอเอาจริงก็ไม่กล้า ในปี 63 เป็นต้นไป มีการพูดคุย เห็นความสำคัญชาติบ้านเมือง หันหน้ามาคุยกัน ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านบางพรรค จะมาช่วยกันขับเคลื่อน คนที่ไม่เผาผีกัน ก็อาจเข้ามาร่วมทำงานกับฝ่ายการเมือง... ส่วนพรรคที่หมดหน้าที่ ก็หมดไป รัฐบาลเดินไปได้ ชาติอยู่รอดปลอดภัย และทรัพยากรสำคัญจะผุดออกมาเอง เรียกว่าเป็นปีชาวศิวิไลซ์ ปรากฏปีหน้าเป็นต้นไป ความมั่นคง ของรัฐบาลปรากฏมาอย่างเข้มแข็ง อยู่ครบ 4 ปี ไม่มียุบสภาฯ...
...สำหรับปัญหาภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ เป็นทั่วโลก และของไทยบางคนในรัฐบาลไม่ให้ความร่วมมือ หาเหตุ หาเรื่อง จะเอาออกไป ปรับกลุ่มหวังดีเข้ามาใหม่ มาขับเคลื่อนร่วมกัน ทรัพยากรต่างๆผุดออกมา ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น จากการแก้ปัญหาของรัฐบาล ปีหน้า ไม่ใช่เป็นปีเผาจริง อย่าไปเชื่อ ลองย้อนไปดูคำทำนายมา 3-4 ปีที่ผ่านมา วุ่นวายหรือไม่ ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ที่บอกว่าจะมีคนเดินเต็มถนน เป็นเรื่องเพ้อฝัน ใครจะมาไล่รัฐบาล ...คนรู้กันหมดแล้วว่ามาจากใคร...”
ภาพนิมิต จาก "ฤาษีหลวงปู่เกวาลัน" ช่างบังเอิญไปสอดคล้องกับรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ที่ว่า "บิ๊กทำเนียบฯ" ไม่พอใจอย่างมาก กับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยังปล่อยให้ "4 ส.ส." ของพรรค... "เทพไท เสนพงศ์ -สาทิตย์ วงศ์หนองเตย-พนิต วิกิตเศรษฐ์- อันวาร์ สาและ" โหวตสวนมติวิปรัฐบาลใน ญัตติตั้ง "กมธ.เช็กบิล ม.44" ที่ฝ่ายค้านเป็นผู้เสนอ ทั้งๆ ที่ได้กำชับไปแล้ว ทั้งในที่ประชุมครม. และในวันที่มี "มีตติ้ง" กินหูฉลามกัน ...แต่ก็ยังคุมลูกพรรคไม่ได้ แถมไม่มีมาตรการลงโทษอะไรออกมาให้เห็น...
...ที่สำคัญการทำงานของรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ผ่านมา ก็ไม่เข้าขากัน มีปัญหากับพรรคร่วมรัฐบาลหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกระทรวงเศรษฐกิจ การแบน 3 สารเคมีทางการเกษตร ... จึงเริ่มมีความเห็นพ้องต้องกันของแกนนำระดับสูงในรัฐบาล ที่จะปรับครม. ในปีหน้า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดย "เขี่ยพรรคประชาธิปัตย์" ออกไป
ถามว่าถ้าทำอย่างนั้นจะมิกลายเป็น "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" หรือ... แล้วเวลาต้องผ่านกฎหมายที่สำคัญๆ จะทำอย่างไร... คำตอบมีอยู่ว่า แม้จะปรับพรรคประชาธิปัตย์ออกไป แต่รัฐบาลยังเชื่อลึกๆ ว่าในพรรคนี้ยังมีคนที่มีความใกล้ชิดกับ "ลุงกำนัน" สุเทพ เทือกสุบรรณ อีกประมาณ 30 คน ที่สนับสนุนให้ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐตั้งแต่ต้น ก็พร้อมที่จะโหวตให้ฝ่ายรัฐบาล...แบบตัวอยู่ที่ประชาธิปัตย์ แต่ใจอยู่กับรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังมีเสียงส.ส.บางส่วนของ “พรรคเศรษฐกิจใหม่-พรรคอนาคตใหม่-พรรคประชาชาติ และพรรคเพื่อชาติ" รวมแล้วประมาณ 10 เสียง... ยังมี ส.ส.ที่ "ฝากเลี้ยง" อยู่ในพรรคเพื่อไทยอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีข่าวว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้นำประเด็นดังกล่าว ไปหารือ และขอความเห็นชอบจาก "ทักษิณ ชินวัตร" ที่ฮ่องกง เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนเท่านั้น... เมื่อนับจำนวนมือแล้ว หากเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ ก็จะผ่านเกมในสภาฯไปได้สบายๆ
เรื่องที่จะไปดึง "ส.ส.ฝากเลี้ยง" ในพรรคเพื่อไทย มาช่วยโหวตนั้น ก็บังเอิญไปตรงกับที่ "โหรคมช." ได้ทำนายไว้ว่า "จะมีคนที่ไม่เผาผีกัน หันมาจับมือช่วยทำงานการเมือง"...
ปีหน้า "รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ" จะแก้เกมการเมืองได้ตามที่ "โหรคมช." เห็นนิติหรือไม่ ต้องติดตาม !!