เมืองไทย 360 องศา
มีความเคลื่อนไหวในพรรคเพื่อไทยที่น่าจับตามองกันอีกครั้ง กับรายงานข่าวที่ออกมาว่าในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีบรรดาส.ส.อีสาน ของพรรคราว 60 คน ยกขบวนกันไปพบ ทักษิณ ชินวัตร ถึงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีเป้าหมายเพื่อหารือถึงสถานการณ์ภายในพรรค ซึ่งตามรายงานข่าวดังกล่าวบอกว่า เพื่อไป “ฟ้อง”ปัญหาการบริหารภายใน ให้ “นายใหญ่”ช่วยตัดสินใจแก้ปัญหา
แน่นอนว่าข่าวแบบนี้ย่อมได้รับความสนใจทั้งจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงฝ่ายตรงข้าม เพราะถือว่าเป็นพรรคการเมืองหลัก เป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่มีมวลชนเป็นฐานสนับสนุนจำนวนมาก ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งสำหรับพรรคการเมืองพรรคนี้รับรู้กันอยู่แล้วว่า เป็นพรรคการเมืองของครอบครัวชินวัตร
และหากพิจารณาให้แยกย่อยลงไปอีก ก็จะพิเศษตรงที่ว่ามวลชนที่ให้การสนับสนุนนั้น จะอยู่ภายใต้การชี้นำของคนในครอบครัวนี้ โดยเฉพาะจาก ทักษิณ ชินวัตร ที่สร้างพรรคนี้มาตั้งแต่ยุคที่ใช้ชื่อ“ไทยรักไทย”เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าสถานการณ์ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้จะเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว โดยเฉพาะหลังการเกิดขึ้นมาของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 2557 เป็นต้นมา
เพราะเป็นช่วงที่ทำให้พรรคเพื่อไทยและคนในครอบครัวชินวัตร ไม่ได้เข้าควบคุมอำนาจรัฐอย่างน้อยก็เป็นเวลาเกือบ 6 ปีมาแล้วจนถึงปัจจุบัน และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาหรือคนในครอบครัวนี้ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง
ขณะเดียวกันด้วยสภาพความเป็นจริงในเวลานี้ก็คือ เกิดความแตกแยกภายในพรรคเพื่อไทยมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญก็คือ เป็นการ“ขาดการยอมรับ”การนำกันภายในกลุ่มผู้บริหารพรรค กับกลุ่มส.ส.ของพรรค หรือกลุ่มการเมืองกลุ่มอื่นด้วยกันเอง
ทำให้มองเห็นว่าเวลานี้การขับเคลื่อนของพรรคเพื่อไทยทั้งในและนอกสภาฯ ถูกลดบทบาทลงไปมาก ทั้งที่เป็นพรรคที่มีจำนวนส.ส.มากที่สุด
สำหรับสาเหตุนั้น แม้จะมีการประเมินว่ามีหลายประการ แต่ที่น่าจะเป็นสาเหตุหลักๆ น่าจะมีอยู่ 1-2 เรื่องเท่านั้น ประการแรก น่าจะมาจากเป็นเพราะคนในครอบครัว“ชินวัตร”ต้องคดีจนต้องหนีโทษจำคุกในต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่ ทักษิณ ชินวัตร และตามมาด้วย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็น“นอมินี”คนล่าสุด ที่ถือว่าเป็นระดับ“สายตรง”
หลังจากนั้นก็ไม่มีตัวตายตัวแทนที่มีบารมีเพียงพอ หรือได้รับการยอมรับจากสมาชิกพรรค และจากบรรดาสมาชิกพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงมวลชนที่คอยให้การสนับสนุนพรรค ทำให้เวลานี้ต้องยอมรับว่าคนในครอบครัวของ ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่มีใครมีความพร้อมทางการเมืองที่พอจะเป็น“ทายาท”สืบทอดในรุ่นต่อมาได้เลย โดยเฉพาะบรรดา“ลูกๆ”ที่มีอยู่ของเขา
นอกเหนือจากนี้ อีกปัจจัยหนึ่งหลังจากที่ ทักษิณ ชินวัตร เดินยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์ย่อย”ผิดพลาด จนทำให้พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ และผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา จะด้วยเหตุผลใดก็ตามจนทำให้บรรดาแกนนำระดับหัวแถวของพรรคเพื่อไทยไม่สามารถได้เป็นส.ส.ในแบบบัญชีรายชื่อได้สักคนเดียว มันก็ยิ่งทำให้บทบาทในสภาฯ ถดถอยลงไปเป็นอันมาก กลายเป็นว่าบทบาทตกลงไปอยู่ในระนาบเดียวกับพรรคน้องใหม่ อย่างพรรคอนาคตใหม่ ที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงแค่ปีสองปีเท่านั้น
เมื่อตัวเลือกจำกัด ทำให้ความขัดแย้งเก่าๆ ที่เคยถูกกดเอาไว้เมื่อครั้งก่อน ในช่วงที่มี“นอมินี”สายตรงอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ควบคุมอยู่ แต่เมื่อทุกอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ “ขาดช่วง”จากอำนาจรัฐเป็นเวลานาน และที่สำคัญที่ผ่านมา"ท่อน้ำเลี้ยง" ถูกปิดมานานนับปีแล้ว มันก็ยิ่งพอเดาทางออก ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ยังมีการ“รุก”ขยายฐานเข้ามาจากฝ่ายตรงข้าม อย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่ใช้ยุทธศาสตร์แบบเดียวกันเหมือนกับที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยทำมาก่อน ทำนอง “หนามยอกเอาหนามบ่ง”
และก็อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้จะเกิดข่าวลือเรื่อง“งูเห่า”ให้ระแวงกันตลอดเวลา ซึ่งหากพิจารณาตามรูปการณ์แล้ว มันก็มีทั้งเป็นไปได้และไม่ได้มีโอกาสเท่าๆ กัน แต่มันก็สะท้อนให้เห็นว่าภายในพรรคเพื่อไทยเวลานี้มีคลื่นใต้น้ำและมีการ“กระเพื่อม”อยู่ตลอดเวลา
ที่สำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ เวลานี้มีการขาดเอกภาพภายในพรรค นั่นคือขาดการยอมรับการนำของผู้บริหารพรรคในปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด หากพิจารณาจากสองกลุ่มหลัก ที่นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค ที่มีกลุ่ม ส.ส.กรุงเทพฯ เป็นฐานหลัก กับกลุ่มที่นำโดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ซึ่งมองจากภายนอกเข้าไปก็รับรู้กันอยู่แล้วว่า มีปัญหา“ขบเหลี่ยม”ขาดการยอมรับซึ่งกันและกัน
นอกเหนือจากนี้ ที่น่าจับตาก็คือ“กลุ่มส.ส.อีสาน”ที่เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดของพรรค ที่คาดว่ามีจำนวนไม่น้อย ที่ยังไม่ให้การยอมรับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มักมีข่าวทำนองนี้อยู่เป็นระยะ
ดังนั้นข่าวที่มีการระบุว่ามี ส.ส.อีสานของพรรคเพื่อไทยหลายสิบคน เดินทางไปพบ ทักษิณ ชินวัตร ถึงดูไบ เพื่อให้เคลียร์ปัญหาภายในพรรคก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพียงแต่เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความแตกแยกภายใน โดยเฉพาะการขาดการยอมรับการนำของผู้บริหารในปัจจุบัน หลังจากที่คนในครอบครัว “ชินวัตร”ถูกจำกัดบทบาทหลังจากต้องถูกดำเนินคดีจนคนสำคัญต้องหลบหนีออกไป มันก็ยิ่งก่อวิกฤติ
ที่สำคัญเมื่อ“ท่อน้ำเลี้ยง”ถูกปิดตาย ฝ่ายตรงข้ามรุกคืบเข้ามา มันก็พอหลับตาเห็นภาพว่าพรรคนี้จะมีอนาคตแบบไหน !!