xs
xsm
sm
md
lg

หมัดต่อหมัด เลิกเกณฑ์ทหาร ปฏิรูปกองทัพ “เสธ.โหน่ง” ชน นักวิชาการอิสระ โต้ทุกข้อ ตอบทุกคำถาม

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพจากเฟซบุ๊ก นายภัทร เหมสุข
“เสธ.โหน่ง–อนาคตใหม่” กระหน่ำนโยบายปฏิรูปกองทัพ เลิกเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็น “สมัครใจ” วาดฝันมากมาย แต่ความเป็นจริง ถูก “นักวิชาการอิสระ” ดับเครื่องชน ทุกประเด็น

วันนี้(29 พ.ย.62) เฟซบุ๊ก พงศกร รอดชมพู ของ “เสธ.โหน่ง” พล.ท.พงศกร รอดชมภู ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ( อนค.) โพสต์ข้อความที่น่าสนใจไม่น้อย เกี่ยวกับนโยบายปฏิรูปกองทัพ และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนมาเป็นรับสมัครคนที่สมัครใจแทน ที่ถือว่า ถูกอกถูกใจคนไม่อยากเกณฑ์ทหาร รวมถึงเปิดโอกาสให้คนอยากเป็นทหารมีช่องทางมากขึ้น

โดยระบุว่า ขอเฉลยเพื่อนำเสนอท่านนายกฯว่า อนาคตใหม่ไม่ได้ยกเลิกทหารกองประจำการ แต่เราขยายเวลาฝึกและสร้างความชำนาญรวมถึงมีทุนการศึกษา และสวัสดิการต่างๆเพื่อให้มีจิตใจรุกรบ ไม่ใช่ฝึกเดือนเดียวแล้วทิ้งปืนหนีอย่างที่ท่านเกรง

งบประมาณก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น โดยต้องกล้าลดขนาดกองทัพลงเพื่อไปเพิ่มเทคโนโลยีและอาวุธดีๆมากขึ้น

การรับราชการเป็นทหารอาชีพ มีการฝึกที่ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน มีมาตรฐานแบบสากล นำความภูมิใจและจิตใจรุกรบมากกว่าการบังคับไปเป็นทหารแน่นอน

วันนี้ผมได้เข้าไปฟัง ปลัดกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการเหล่าทัพในการแถลงป้องกันงบประมาณในคณะกรรมาธิการวิสามัญงบประมาณ ทุกท่านก็พูดไปในทำนองเดียวกันนี้เช่นกัน เพียงแต่ยังไม่พูดถึงการรับสมัครแทนการเกณฑ์เท่านั้น

การเห็นว่าเกณฑ์ทหารและ รด. คือความเป็นธรรมนั้น โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยและคิดว่าเป็นการแบ่งแยกกันระหว่างคนมีกับคนไม่มีด้วยซ้ำไป

ยิ่งมองว่าเรียนวิชาทหารแล้วก็ไม่ต้องเป็นทหารยิ่งตอกย้ำเรื่องความเหลื่อมล้ำ และกองทัพจะอ่อนแอ เพราะการฝึกก็เพื่อให้ทุกคนรบได้จริง ไม่ใช่ให้ไม่ไปรบ

การมีความแตกต่างในกองทัพมากเท่าไร ความอ่อนแอจะมากขึ้นตามมา ความสมัครใจจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้

ยิ่งมีความเป็นทหารอาชีพ มีความรู้และทักษะเพิ่มเติม มีทุนประกอบอาชีพ จะเป็นหน่วยผลิตที่มีค่าให้สังคมไทยเมื่อปลดประจำการไป

กรณีน้ำท่วม ทหารยังมีมากมายที่จะไปช่วยบรรเทาสาธารณภัย ทั้งที่ควรเป็นหน้าที่หลักของฝ่ายพลเรือน

ในการเกิดสงครามขนาดใหญ่ กำลังหลักและกองหนุนก็ยังมีจำนวนรวมใกล้เคียงหรือเท่าเดิม เพียงแต่ปรับจากเดิมที่กำลังหลัก(ประจำการ) มีมากกว่ากองหนุน มาเป็น กองหนุนมีมากกว่าเท่านั้น ดังนั้นการระดมพลมาช่วยบรรเทาภัยหรือทำสงคราม จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซ้ำยังมีกำลังพลที่มีความชำนาญสูง มีความเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันสูง รู้ทางการทำงานกันได้เป็นอย่างดี ประเทศชาติจะเข้มแข็งขึ้นเสียอีก

สอดคล้องกับพระปรีชาของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ที่ทรงปฏิรูปกองทัพและระบบราชการให้เป็นสมัยใหม่มาจนปัจจุบัน บทพิสูจน์คือการเอาชนะสงครามฮ่อ ด้วยกองทัพที่ฝึกแบบตะวันตก ทั้งที่กองทัพรูปแบบเดิมซึ่งกำลังมากกว่าก็ทำได้เพียงเสมอหรือแพ้กองทัพฮ่อเท่านั้น

ส่วนเพื่อนๆว่าอย่างไรก็ลองให้ความเห็นกัน เชื่อว่าหลายๆท่านมีคำตอบดีๆครับ


นั่นคือ แนวนโยบายที่พรรคอนาคตใหม่หาเสียงเอาไว้ และ กำลังผลักดันเป็นพระราชบัญญัติในสภา โดย “เสธ.โหน่ง” พล.ท.พงศ นั่นเอง เป็นหัวเรือใหญ่

แต่ในวันเดียวกันนี้ (29 พ.ย.62) เฟซบุ๊ก Pat Hemasukของ นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ ก็โพสต์เอาไว้อย่างน่าสนใจ ในอีกมุมหนึ่ง ที่เป็นข้อดีของทหาร จนอาจตอบคำถามของนักวิชาการบางคน ที่มักตั้งคำถาม ว่า ทำไมต้องมีทหาร ทั้งยังเห็นในมุมตรงข้ามกับ “เสธ.โหน่ง” และพรรคอนาคตใหม่ อย่างมีเหตุมีผลเช่นกัน

เจ็บแสบที่สุดก็คือ คำพูดที่ว่า “...คนไทยในประเทศทุกคนนอนหลับกินอร่อย...” อยู่ได้อย่างทุกวันนี้เพราะใคร???

โดยระบุว่า มีคนถามผมเรื่องทหารและการยกเลิกการเกณฑ์ทหารว่า ผมคิดอย่างไร ผมเลยถามกลับไปว่า แล้วคิดว่าเวลานี้ประเทศเรามีความมั่นคงและสงบดีไหม ประเทศเราไม่มีความเสี่ยงของสงครามหรือกระทบกระทั่งในพื้นที่รอบด้านเลยใช่ไหม

คำตอบที่กลับมาหาผมคือ ใช่แล้ว เราไม่มีเรื่องที่ต้องเป็นห่วงอะไรเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นควรลดขนาดของกองทัพลง ลดจำนวนทหารลง และลดงบประมาณลง

ผมจึงตอบไปว่า นั่นแหละคือความสำเร็จที่ทหารและหน่วยความมั่นคงทำสำเร็จแล้วอย่างดีมาก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทำให้คนไทยในประเทศทุกคนนอนหลับกินอร่อย ไม่มีความคิดว่าชีวิตของตัวเองและลูกหลานมีความเสี่ยงกับสงครามหรือความไม่มั่นคงของชีวิตจากประเทศเพื่อนบ้าน หรือมีผลกระทบธุรกิจการงานของตัวเองจากความไม่มั่นคงของประเทศ

เวลานี้คนค้าขายตั้งแต่แผงลอย ร้านอาหาร จนกระทั่งโรงแรมหรูตามด่านจังหวัดชายแดน ตั้งแต่ด่านเชียงราย อุบล อุดร ศรีสะเกษ ไปจนถึงด่านสะเดา เบตง พวกเขาไม่มีความคิดเรื่องสงครามหรือความไม่มั่นคงอยู่ในหัวเลยสักนิด นั่นหมายความว่าวันนี้สิ่งที่ทหารและหน่วยความมั่นคงทำผลงานสำเร็จแล้วอย่างดีมาก แล้วจะไปเปลี่ยนมันทำไม "อะไรไม่เสียก็ไม่ต้องไปซ่อม" เคยฟังคำพังเพยนี้ไหม

แล้วคำถามต่อมาเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์มหาร ผมมีความคิดอย่างไร

ผมตอบว่า ประเทศของเราใช้วิธีการสมัครทหารมาหลายสิบปีแล้ว ไม่ใช่การบังคับใจกัน พอยอดการสมัครยังไม่พอถึงจะเกณฑ์ทหารเอาไปเพิ่มส่วนที่ขาด เมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่สภาพเศรษฐกิจไม่ค่อยดี บางเขตถึงกับสมัครทหารกันเกินกว่าจำนวนที่รับได้เสียด้วยซ้ำไป เลยไม่ต้องไปเกณฑ์ใครมาเพิ่มอีก เพราะไปเป็นทหารยังดีกว่าไปขายแรงงานในสมัยนั้น(รัฐบาลใครผมคงไม่ต้องไปอ้างถึง)

และคนที่ฝ่านการเกณฑ์ทหารนั้นจะมีงานมารออยู่แล้วมากกว่าคนไม่ผ่านการฝึกทหาร ไม่ว่าจะไปสมัครหน่วยงานรักษาความปลอดภัย สมัครเป็นทหารหรือ อส.ในพื้นที่ต่อ หรือสมัครเรียนเป็นทหารชั้นประทวนต่อไปเลย ผมมีเพื่อนที่เป็นทหารเกณฑ์และเรียนต่อเป็นทหารชั้นประทวนแล้วไต่เต้าด้วยการเรียนที่กองทัพมีให้กับทุกคนถ้าต้องการเรียน ตอนนี้เพื่อผมเหล่านั้นเป็นพันเอกและพลตรีรอเวลาปลดเกษียณก็มีหลายคน

และรู้ไหมว่าการเรียน รด. นั้น คือการสมัครใจเป็นทหาร ผมนั่งรถผ่านศูนย์ฝึกที่ถนนวิภาวดียังแปลกใจเลยว่าจำนวนนักศึกษาวิชาทหารที่เป็นหญิงนั้นมีมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้ ทั้งที่ผู้หญิงไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ดังนั้นแนวคิดเรื่องการเรียน รด.คือเส้นทางหนีทหารนั้น คงไม่ใช่สักเท่าไร

เรื่องการเกณฑ์ทหารเมื่อมีสงครามแล้วค่อยเกณฑ์นั้น ผมมีความเห็นอย่างไร ผมตอบสั้นๆ ว่า บูลชิตมาก และยิ่งบูลชิตเพิ่มอีกหลายเท่าตัว ถ้าคนพูดนั้นเคยเป็นทหารมาก่อน

คิดหรือว่า การฝึกกำลังรบที่สามารถรบได้นั้นจะทำกันได้ภายในสามเดือนหกเดือน ถ้าเรามีปัญหากับเพื่อนบ้านถึงเวลานั้นถ้าไม่มีกำลังของทหารราบที่รบเป็นและครองพื้นที่เป็นเข้ายันเอาไว้ในจำนวนที่มากพอ สามวันกรุงเทพก็ถูกยึดไปเรียบร้อยแล้ว

และเรื่องนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น ครั้งหนึ่งเมื่อไม่กี่สิบปีก่อน เรารบกับเวียดนามที่ชายแดนประเทศของเราเอง และเราไม่มีทางที่จะยันกองทัพที่มีกำลังพลมหาศาลของเวียดนามเอาไว้ได้เลย ถ้าไม่มีตัวช่วยมาทำให้เรารอดพ้นไปได้ ผมบอกได้เลยว่าทั้งสถาบันและรัฐบาลทำงานกันหนักมากที่จะทำให้กองทัพที่ใหญ่กว่าเราเข้ามาเป็นตัวช่วยทำสงครามกับเวียดนามอีกฝั่งจนต้องถอนกำลังออกไปจากชายแดนประเทศไทย ไม่อย่างนั้นเราคงเป็นโดมิโนอีกตัวที่ล้มลงไปพร้อมกับลาวเละเขมรในเวลานั้น

มีคำถามต่อว่า ตอนนี้กลุ่มอาเซียนก็ไม่มีการรบหรือการใช้กำลังทหารกับเพื่อนบ้านกันแล้ว ทำไมประเทศไทยไม่ลดกำลังทหารลงบ้าง

ผมตอบว่า รู้ไหมว่าเมื่อไม่ถึงสองปีที่ผ่านมา สิงคโปร์และมาเลย์ เอาทั้งเรือรบและเครื่องบินรบมายันกันในช่องแคบ และมีการใช้กำลังทหารยันกันเอาไว้อยู่หลายวันเลยทีเดียว อ่านข่าวต่างประเทศบ้างไหมว่ามีเหตุการณ์เรื่องแนวชายแดนของกลุ่มอาเซียนอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่กำลังทหารนั้นจะยันกันไว้เพื่อซื้อเวลาให้การทูตทำงานของตัวเองให้จบ เมื่อจบแล้วจะกอดกันจูบปากกันก็ถึงจะออกข่าวออกมา

เรื่องการใช้กำลังของกองทัพมาแก้ปัญหาที่แก้ไม่ได้นั้นมีอยู่ตลอดเวลาในกลุ่มอาเซีย ทั้งเวียดนามและเขมรก็มีเรื่องกันไม่จบ ตอนนี้ก็ยังมีอยู่ เขมรกับลาวก็มีเรื่องกันเมื่อปีที่ผ่านมานี่เอง ในระดับของการปิดล้อมด้วยกำลังพลและอาวุธหนักกันเลยทีเดียว ทำให้ลาวต้องมีกองทัพอากาศและกองกำลังยานเกราะที่ใช้งานได้จริงเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง

เวียดนามกับจีนก็มีเรื่องกันตามชายแดนเป็นระยะ ยังไม่รวมนอกอาเซียนอย่างอินเดีย ปากีสถาน ที่สอยเครื่องบินรบกันตกกันเมื่อต้นปี ถ้าติดตามอ่านข่าวต่างประเทศกันบ้างจะรู้ว่าการทูตนั้นจูบปากกันวันนี้ คืนนี้เอาทหารไปยันกันไว้นั้นมีอยู่บ่อยมากปีละหลายครั้ง

ผมบอกได้เลยว่าการที่ประเทศรอบบ้านนั้นเกรงใจเราเพราะกองทัพของเรานั้นเข้มแข็งระดับต้นๆ ของอาเซียน และรู้ไว้ด้วยว่า พม่า เวียดนาม มาเลย์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มีเรือดำน้ำกันแล้วทั้งนั้น ไม่ต้องมาแซะไทยหรอก เพราะเรานั้นยังไม่มีเรือดำน้ำสักลำแม้จะสั่งซื้อไปแล้วก็ตาม เพราะสิ่งที่จะปราบเรือดำน้ำด้วยกันได้ที่ดีที่สุดคือเรือดำน้ำนั่นเอง

รู้ไหมว่าทำไมตี๋คิมถึงไม่โดนสหรัฐตบกบาลคาบ้านเหมือนประเทศอื่นๆ ในตะวันออกกลาง เพราะเกาหลีเหนือมีขีปนาวุธที่ยิงไปถล่มสหรัฐแล้วอยู่ในมือ และมีหัวรบเทอร์โมนิวเคลียร์ที่จะละลายวอชิงตันหรือนิวยอร์คได้ทั้งเมือง นั่นคือสิ่งที่เปิดโอกาสให้สหรัฐต้องเจรจากับเกาหลีเหนือ

ในขณะที่เมื่อสองปีก่อนประเทศซีเรียต้องเจอกับขีปนาวุธของสหรัฐถล่มคืนเดียวร้อยกว่าลูก อิรัก ลิเบีย โดนยึดประเทศทั้งประเทศด้วยกำลังทหารของสหรัฐ หรือแม้แต่ประเทศหลายประเทศในอเมริกาใต้ต้องเจอกับการรัฐประหารโดยสหรัฐสนับสนุนและการแซงชั่นที่ไร้เหตุผลจนประเทศล่มจมอย่างทุกวันนี้

ไม่เว้นแม้แต่อิหร่านที่มีน้ำมันสำรองระดับต้นของโลกก็ยังไม่เว้นการแซงชั่นเพียงแต่ไม่โดนบุกด้วยกำลังทหารเท่านั้น เพราะอิหร่านมีกำลังทหารที่รักษาประเทศเอาไว้แบบที่สหรัฐบุกได้ยากกว่าชาติอื่น

สมมุติว่าถ้ากฎหมายอนุญาตให้คนในร้านทองทุกร้านสามารถพกปืนเอาไว้ที่เอวได้ทุกคน ร้านหนึ่งมีคนขายอยู่สองสามคนมีปืนที่เอวสองสามกระบอก และสามารถยิงใครที่เข้ามาปล้นได้โดยสามารถสู้คดีได้แบบไม่ต้องมีห่วงอะไรว่าจะติดคุกภายหลัง แล้วคิดว่าจะมีใครกล้าปล้นทองร้านนั้นไหม

คราวนี้เห็นแล้วใช่ไหมว่ากำลังทหารนั้นสำคัญในทุกมิติแม้กระทั่งเศรษฐกิจของประเทศจะไปได้ดีหรือไม่ คำพูดของเรามีน้ำหนักมากแค่ไหน ก็ต้องอยู่บนฐานของกำลังทหารที่มีอยู่ในมือให้เพื่อนบ้านเกรงใจเช่นกัน

ที่ “เสธ.โหน่ง” ถามว่า เพื่อนๆคนอื่นคิดอย่างไร และเชื่อว่าจะมีคำตอบดีๆนั้น นี่น่าจะเป็นความเห็นต่างที่เป็นคำตอบให้สังคมได้ไม่แพ้กัน


กำลังโหลดความคิดเห็น