xs
xsm
sm
md
lg

UNESCO ยกย่อง หลวงปู่มั่น -สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ ** "บิ๊กปู" พล.ต.อ.ศรีวราห์ กลับมานั่งเป็นที่ปรึกษานายกฯ ปราบ ผู้มีอิทธิพล ชุมนุมการเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว




**UNESCO ยกย่อง หลวงปู่มั่น -สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ

ถือเป็นข่าวที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายปลาบปลื้มใจอย่างที่สุด เมื่อในวาระครบรอบบุคคลสำคัญ และเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ในวาระปี 2563-2564 "ยูเนสโก" ได้ยกย่อง"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" ซึ่งจะครบรอบ 150 ปีชาตกาล (20 ม.ค.63) และ"สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส" ครบ 100 ปี แห่งการสิ้นพระชนม์ (2 ส.ค. 2464) เป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาสันติภาพ เช่นเดียวกันกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

"หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต" หรือนามตามสมณศักดิ์ว่า พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย

ท่านเกิดเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2413 ที่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เป็นบุตรคนที่ 5 จากพี่น้องรวม 9 คน เมื่อท่านอายุได้ 15 ปี ได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบ้านคำบง เมื่อบวชได้ 2 ปี บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วยการงานทางบ้าน

ต่อมา "หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล" ได้ธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่ บ้านคำบง พระอาจารย์มั่นในขณะเป็นฆราวาส จึงเข้าถวายการรับใช้ และมีจิตศรัทธาในข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่เสาร์ ต่อมาได้ถวายตัวเป็นศิษย์ติดตามเดินทางเข้าเมืออุบลราชธานี

เมื่อท่านอายุได้ 23 ปี ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดเลียบ อ.เมืองฯ จ.อุบลราชธานี โดยมี พระอริยกระวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีทา ชยเสโน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย ญาณสโย) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับขนานนามเป็นภาษามคธว่า "ภูริทตฺโต แปลว่า ผู้ให้ปัญญา"

"พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต" ได้ปฏิบัติตนตามแนวทางคำสอนพระศาสดาอย่างเคร่งครัด และยึดถือธุดงควัตรด้วยจริยวัตรปฏิปทา งดงาม จนได้รับการยกย่องจากผู้ศรัทธาทั้งหลายว่า เป็นพระผู้เลิศทางธุดงควัตร ... ท่านวางแนวทางในการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก่สมณะ ประชาชน อย่างกว้างขวาง จนมีพระสงฆ์และฆราวาสเป็นลูกศิษย์จำนวนมาก แนวคำสอนของท่านเป็นที่รู้จักกันดีในนามว่า คำสอนพระป่า (สายพระอาจารย์มั่น)

หลังจากท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2492 ยังคงมีพระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่านสืบต่อแนวปฏิปทา ธรรมปฏิบัติของท่านสืบมา โดยลูกศิษย์มักถูกเรียกขานว่า "พระกรรมฐานสายวัดป่า" หรือ "พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น" ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านได้รับยกย่องจากผู้ศรัทธาให้เป็น "พระอาจารย์ใหญ่สายวัดป่า" หรือ พระอาจารย์ใหญ่แห่งวงศ์พระกรรมฐานวัดป่า สืบมาจนปัจจุบัน...



"สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส" เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จสถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับมหาสมณุตตมาภิเษก เมื่อปี พ.ศ.2453 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรงพระอิสริยยศ 11 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2464 พระชันษา 61 ปี

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาแพ ประสูติเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2403 ในวันที่พระองค์ประสูตินั้น ฝนตกหนักมากราวกับฟ้ารั่ว เหมือนนาคให้น้ำบริเวณนั้น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานนามว่า "พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ" ต่อมา เจ้าจอมมารดาแพถึงแก่กรรมลงในขณะที่พระองค์มีพระชันษาเพียง 1 ปี พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุตรี ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระมาตุจฉา จึงทรงรับไปเลี้ยงดู เมื่อทรงเจริญวัยทรงพระดำเนินได้ รับสั่งได้คล่องแคล่ว จึงเสด็จพำนักอยู่กับท้าวทรงกันดาล (ศรี) ซึ่งเป็นยายแท้ ๆ

เมื่อพระชันษาได้ 8 ปี ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนผนวชเป็นสามเณร นอกจากนี้ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษ และโหราศาสตร์อีกด้วย

ถึงปี พ.ศ. 2416 เมื่อพระชันษาได้ 13 ปี ได้ทรงผนวชเป็นสามเณร โดยมี "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์" เป็นพระอุปัชฌาย์ และ หม่อมเจ้าพระธรรมมุณหิศธาดา (สีขเรศ วุฑฺฒิสฺสโร) ทรงเป็นผู้ประทานศีล 10 หลังจากทรงบรรพชาแล้วได้ประทับอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ประมาณ 2 เดือน จึงทรงลาผนวช

ครั้นครบปีบวช พระชันษา 20 ปี ได้ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2422 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ และพระจันทรโคจรคุณ (ยิ้ม จนฺทรํสี) วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร อยู่ 1 พรรษา จึงย้ายไปประทับที่วัดมกุฏกษัตริยาราม เพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของพระจันทรโคจรคุณผู้เป็นพระอาจารย์

พระองค์ได้ทรงปรับปรุงการพระพุทธศาสนา และทางคณะสงฆ์ในด้านต่างๆ เป็นอันมากโดยเริ่มงานตั้งแต่เสด็จไปตรวจการคณะสงฆ์ในหัวเมืองต่างๆ เกือบทั่วราชอาณาจักร โดยกระทำอย่างต่อเนื่องทุกปี เกือบตลอดพระชนม์ชีพ ทำให้ทรงทราบความเป็นไปของคณะสงฆ์ และของ ประชาชนในภูมิภาคต่างๆ เป็นอย่างดี และนำข้อมูลและปัญหาต่างๆ มาปรับปรุง แก้ไขในทุกๆด้าน

** "บิ๊กปู" พล.ต.อ.ศรีวราห์ กลับมานั่งเป็นที่ปรึกษานายกฯ เพื่อช่วยงานที่ถนัด ปราบผู้มีอิทธิพล ค้ามนุษย์ รวมทั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองที่อาจมีการชุมนุมประท้วงในอนาคตอันใกล้นี้

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล
หลังเกษียณอายุราชการไปเมื่อ 30 กันยายน ปีนี้ ในตำแหน่ง"รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ" ซึ่งเป็นสุดท้ายของ "บิ๊กปู" พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล จากนั้นภาพและข่าวของ "บิ๊กปู" ก็เงียบหายจากหน้าสื่อไปพักใหญ่

ล่าสุด "บิ๊กปู" พล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมครม. แต่งตั้งให้เป็นข้าราชการการเมือง ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. 62 เป็นต้นไป...

ตามปูมประวัติ "บิ๊กปู" เกิดเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2502 จบโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 19 ปริญญาตรีรัฐประศาสนบัณฑิต โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 35 ในชีวิตราชการตำรวจผ่านงานด้าน "การปราบปราม" มาอย่างโชกโชน

แต่ที่มามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างก็ช่วงที่ คสช. เรืองอำนาจ โดยมี "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และยังควบกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย...เรียกว่าดูแลงานด้านความมั่นคงแบบครบวงจร

และก็เป็นที่รับรู้กันว่า "3บิ๊กตำรวจ" ที่มีความใกล้ชิดเสมือน "ลูกรัก" ของ "บิ๊กป้อม" ก็มี "บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา "บิ๊กปู" พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล และ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล...โดย "บิ๊กแป๊ะ"กับ "บิ๊กปู" ยังเป็นคู่แคนดิเดต ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต่อจาก "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่จะเกษียณอายุราชการในปี 58 ...ซึ่งในที่สุด ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ที่มี"บิ๊กป้อม" นั่งหัวโต๊ะ ก็มีมีมติเป็นเอกฉันท์ เลือก"บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.อ.จักรทิพย์ เป็น ผบ.ตร. โดย"บิ๊กปู" เป็นรอง ผบ.ตร.

หากนับตามรุ่น ตามอายุราชการแล้ว "บิ๊กแป๊ะ" จะเกษียณปี 63 ขณะที่ "บิ๊กปู" เกษียณ ปี 62 ...ช่วงนั้นจึงมีข่าวหนาหู ในแวดวงตำรวจว่า "บิ๊กแป๊ะ" จะนั่งในตำแหน่ง ผบ.ตร. ถึงปี 60 แล้วจะลาออกไปเล่นการเมือง เพื่อเปิดทางให้ "บิ๊กปู" ได้ขึ้นนั่ง ผบ.ตร. 2 ปี ก่อนเกษียณ ...แต่ในที่สุด "ผู้ใหญ่" ก็เลือกที่จะให้ "บิ๊กแป๊ะ"นั่งอยู่ในตำแหน่ง ผบ.ตร.ต่อไป "บิ๊กปู" จึงต้องเกษียณ ที่ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.

อย่างไรก็ตาม แม้"บิ๊กปู" จะรั้งตำแหน่งรอง ผบ.ตร. แต่ก็ได้รับการโปรโมตให้ดูแลงานด้านความมั่นคง การก่อการร้าย... เรียกว่า เกิดเหตุระเบิดที่ไหน ต้องเห็น "บิ๊กปู" ลงไปกำกับดูแลถึงพื้นที่ ...นอกจากนี้ยังเป็น "มือปราบหนี้นอกระบบ" สร้างผลงานจนได้รับการชื่นชมจาก "บิ๊กป้อม" และประชาชนทั่วไป ...

ในยุคสังคมโซเชียลฯสามารถสร้างกระแสได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง "บิ๊กปู" ก็เคยตกเป็นกระแสฮอตในโลกโซเชียลฯ ด้วยเช่นกัน... ไม่ว่าจะเป็นภาพโน้มตัวก้มลงไหว้ "นายเปรมชัย กรรณสูต" เมื่อคราวไปทำคดี "เสือดำ" ที่อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี... หรือวลีเด็ด "มีใบอนุญาตหรือเปล่า" ที่ฮอตฮิตมาก และคนส่วนใหญ่ยังจำได้ ...ซึ่งคำพูดนี้ เกิดเมื่อตอนที่ "13 หมูป่า" ติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน แล้ว "บิ๊กปู" ลงพื้นที่ไปร่วมตรวจความเรียบร้อย และหาช่องทางช่วยเหลือ ก็ไปเจอเจ้าหน้าที่ นำโดรนมาบินสำรวจรอบบริเวณถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน เพื่อหาช่องทางเจาะถ้ำ เพื่อให้การช่วยเหลือ 13หมูป่า ก็เจอ"บิ๊กปู" สอบถามถึงใบอนุญาตบินโดรน ...ก็เลยเป็นเรื่องที่มักนำมาล้อเลียนกันพักใหญ่

ถึงวันนี้ "บิ๊กปู" ได้กลับมาเป็นข้าราชการการเมืองในตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ...ข่าวบางกระแสก็ว่า เป็นการตอบแทน เยียวยา กับการ "เป็นผู้ร่วมงานที่ดี" ในช่วงที่ผ่านมา แต่ไปไม่ถึงจุดสูงสุดของชีวิตราชการ ...บางกระแสก็ว่า นายกฯต้องการให้มาช่วยงานในเรื่องที่ "บิ๊กปู" ถนัด อย่างเรื่องการป้องกันปราบปรามผู้มีอิทธิพล ปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่อาจก่อหวอดชุมนุมประท้วงในอนาคต ...

แต่ที่แน่ๆ “บิ๊กปู” จะกลับมาโลดแล่นบนหน้าสื่ออีกครั้ง !!



กำลังโหลดความคิดเห็น