ภาคีความหลากหลายทางเพศ บุกยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กฎหมายแพ่ง- พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เหตุจำกัดสิทธิเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรส
วันนี้ (22พ.ย.) นางเพิ่มทรัพย์ แซ่อึ๊ง และน.ส.พวงเพชร เหงคำ ได้เข้ายื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย กรณีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 และกฎกระทรวง ซึ่งออกตามความพ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว ข้อ 3 มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 4, 5 ,25 ,26 และ27 ที่บัญญัติว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติภาษา เพศ อายุ ความพิการ สถานภาพทางการหรือภาค สภานะของบุคคล สถานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม หรือความคิดเห็นทางการเมือง อันไม่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใดจะกระทำมิได้
ทั้งนี้ ทางผู้ร้องได้เคยยื่นเรื่องดังกล่าต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่ผู้ตรวจฯวินิจฉัยให้ยุติเรื่อง เนื่องจากเห็นว่าการที่บุคคลที่มีเพศสภาพเดียวกันไม่สามารถจดทะเบียนสมรสได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามมาตรา 1448 เป็นการเลือกปฏิบัติ ดังนั้นจึงได้มาร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ประกอบกับก่อนหน้านี้นางเพิ่มทรัพย์และน.ส.พวงเพชร ซึ่งเป็นบุคคลเชื้อชาติไทย สัญญาไทย เป็นคู่ชีวิที่มีเพศสภาพและดำเนินวิถีชีวิตทางเพศเป็นหญิงรักหญิง หรือบุคคลที่มีความหลากกหลายทางเพศและใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกันมานานกว่า 10 ปี ทั้งคู่เคยไปยื่นของจดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขตภาษีเจริญ กทม. แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าคู่รักหลากหลายทางเพศจดทะเบียนสมรสกันไม่ได้ เนื่องจากระเบียบกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้การจดทะเบียนสมรสต้องยื่นคำร้องตามแบบคำร้อง (ค.1) ในระบบฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ ที่กำหนดเฉพาะการสมรสเพศชายกับเพศหญิงเท่านั้น
สำหรับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ได้มีสมาชิกกลุ่มมูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ และภาคีความหลากหลายทางเพศ เดินทางมาจัดกิจกรรมและมอบดอกไม้เพื่อให้กำลังใจ และถือว่าเป็นครั้งแรกที่คู่รักหญิงกับหญิง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณากฎหมายดังกล่าว ที่ถือว่าขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ได้รับสิทธิสมรสเหมือนคู่รักต่างเพศ
นางเพิ่มทรัพย์ กล่าวว่าตนได้ใช้ชีวิตคู่กับ น.ส.พวงเพชรมานานกว่า 10 ปี ที่ผ่านมาเคยมีเหตุที่น.ส.พวงเพชรต้องผ่าตัด และทางโรงพยาบาลได้แจ้งว่าต้องให้มารดาของน.ส.พวงเพชรมาเซ็นยินยอม ซึ่งแม่ของน.ส.พวงเพชรมีอายุมากและอยู่บนดอยเดินทางลำบาก จึงเป็นอุปสรรค เพราะตนในฐานะที่เป็นคู่รักไม่มีสิทธิ และอำนาจตามกฎหมายที่จะเซ็นยินยอม