ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เปิดวอร์กันแล้ว!! ศึกชิงอำนาจ “ขุมทรัพย์ล้านล้าน” อาณาจักร ปตท. หลัง “ไพรินทร์” คัมแบ็กรังเก่าเป็นกรรมการ เดินเต็มตัว-ชิงจังหวะขึ้นเป็น “ประธานบอร์ด” หวังคุมสรรหา “ซีอีโอคนใหม่” แทน “ชาญศิลป์” กันเกมพลิก วางคนในคาถาสืบทอดอำนาจ แว่วว่า “ฝ่ายผู้ใหญ่” ที่ “ไพรินทร์” มองข้ามก็ส่งสัญญาณไปถึง “ผู้ใหญ่กว่า” ในทำเนียบฯ ให้รับรู้เรื่องนี้แล้ว การศึกจะราบรื่นหรือแตกหักต้องจับตา
ฮือฮาไม่น้อย .. กระแสข่าวที่ว่า “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” คัมแบ็กเข้ามาเป็นกรรมการ แถมมีแผนจะขึ้นเป็น “ประธานบอร์ด” คุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดใน ปตท.อีกเสียด้วย .. ที่เวลานี้ไม่เฉพาะแต่ภายใน “องค์กร ปตท.” ยักษ์ใหญ่วงการพลังงานของประเทศเท่านั้น แรงกระเพื่อมยังสั่นสะเทือนไปถึง “ทำเนียบรัฐบาล” โน่น .. แว่วว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ปตท.เพิ่งจะหารือกันหยกๆ ถึงทิศทางการบริหารงาน ปตท.ให้เดินไปในทิศทาง “ที่ถูกที่ควร” โปร่งใสแบบมืออาชีพปลอดการเมือง ไม่เล่นพรรคเล่นพวก .. เพราะที่ผ่านๆ มา ปตท.มักถูกมองว่าถูกครอบงำจาก “ผู้มีอำนาจการเมือง” ผ่านตัวแทนเข้ามานั่งเป็น “ประธานบอร์ด-บอร์ด” ทุกยุค รวมถึงวางตัวคนให้นั่งในตำแหน่ง “ซีอีโอ” ..
ต้องไม่ลืมว่า ปตท.เป็นบริษัทใหญ่ในตลาดหุ้น สถานะหนึ่งก็เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีมูลค่าตลาดกว่า 1.3 ล้านล้าน กำไรปีละกว่าแสนล้าน แต่ละปีมีแผนการลงทุนปีละหลายหมื่นล้านบาท .. เพราะความใหญ่-มีบทบาทต่อเสถียรภาพของพลังงานของประเทศ และรัฐบาล ก้าวย่างของ ปตท.จึงสำคัญ ทุกฝ่ายจึงค่อนข้างระมัดระวังตัว .. โดยเฉพาะตอนนี้ ปตท.กำลังอยู่ระหว่างการสรรหา “ซีอีโอคนใหม่” ที่เข้ามาแทนคนเก่า “ชาญศิลป์ ตรีนุชกร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ที่จะครบวาระในเดือน พ.ค. 2563 หรือราว 6 เดือนหลังจากนี้ .. หัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ มีการพูดคุยกันว่า เรื่องของ “ประธานบอร์ด-บอร์ด” ระหว่างนี้ควรจะให้ชุดที่มี “ไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย” ที่นั่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการอิสระอยู่ในปัจจุบัน ทำหน้าที่ไปจนครบวาระปีหน้าราวๆ เม.ย.ค่อยว่ากัน .. แผนที่คุยกันเป็นแบบนี้ แต่ไม่มีใครคาดคิด นึกไม่ถึงว่า “ไพรินทร์” จะเดินหมาก “ฟ้าแลบ” ยังไม่ทันอุดหู เดินหน้าเต็มตัวให้ตัวเองเข้ามาเป็นกรรมการปุ๊บ ก็เตรียมขึ้นไปประธานบอร์ดปั๊บ แหกข้อตกลงทั้งหลายทั้งปวง .. เอ่ยถึง “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” คน ปตท.ย่อมรู้จักดี เพราะถือว่าเคยเป็นผู้มีอำนาจมากบารมีในฐานะ “ซีอีโอ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พ้นจากวาระเมื่อ ก.ย.ปี 2558 ก่อนที่จะพลิกเส้นทางชีวิตได้เป็น รมช.คมนาคม ในสมัยรัฐบาลลุงตู่ 1 แบบเซอร์ไพร้ส์กันทั้งบาง ..
หลังรัฐบาลลุงตู่ 1 หมดหน้าที่ลง “ไพรินทร์” ก็เงียบหายไปจากวงสังคมการเมือง กระทั่งเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา มีชื่อได้รับเลือกเป็นกรรมการและกรรมการบริหารความเสี่ยงองค์กร แทนนาย “ณัฐชาติ จารุจินดา” ที่ครบวาระ .. ว่ากันว่า งานนี้ “ไพรินทร์” พกความมั่นใจมาเต็มกระบุง เอาตัวเข้าแลกกล้า “เปิดวอร์” ศึกชิงอำนาจใน ปตท.วัดกันไปเลย เพราะคิดว่ามี “แบ็กดี” .. ในวงสนทนาหารือกันของผู้หลักผู้ใหญ่เกี่ยวกับ ปตท. “ไพรินทร์” ที่เคยเป็นผู้บริหาร ปตท.ย่อมต้องอยู่ร่วมวงด้วย และมักจะเอ่ยถึง "ผู้ใหญ่กว่า" ในทำเนียบรัฐบาลบ่อยครั้ง .. คล้ายๆกับต้องการบอกให้รู้งานนี้ได้รับ "ไฟเขียว" จากทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว จนทำให้หลายคนอึดอัดจัดข้องใจทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ยังคิดว่า ทุกอย่างจะรอไปจนกระทั่งได้ ซีอีโอใหม่ และประธานบอร์ดหมดวาระปีหน้า ..
งานนี้ “ไพรินทร์” ไม่รอ หรือรอให้ถึง เม.ย.ปีหน้าไม่ได้เป็นเพราะอะไร? ใช่ต้องการกระโดดลงมาคุมเกมเลือกตัวซีอีโอ ด้วยตัวเองหรือไม่ เป็นคำถามที่คนสงสัย .. ก่อนนี้ช่วงตั้งกรรมการสรรหา ก็เกิดคำถามเรื่องความโปร่งใสมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะ ไม่มีการเปิดเผยออกมาว่ามีใครบ้าง จนกระทรวงพลังงาน กับ กระทรวงการคลัง ที่มีสถานะเป็น “เจ้าของ ปตท.” ยังบ่นพึม ..
มันน่าแปลกที่ “เจ้าของ ปตท.” กลับไม่มีสิทธิ์เลือกซีอีโอของตัวเอง ไม่มีตัวแทนกระทรวงในกรรมการสรรหา แล้วใครกันที่อยู่เบื้องหลังชักใย? .. ปะติดปะต่อเรื่องก็จะเห็นว่า การเคลื่อนไหวของ “ไพรินทร์” ช่างประจวบเหมาะลงล็อกเป๊ะๆกับจังหวะของการสรรหาซีอีโอ ปตท.คนใหม่ .. ขณะที่คนที่กำลังจะหมดวาระอย่าง “ชาญศิลป์” ก็ว่ากันว่า มีความสนิทสนมแนบแน่นเป็นคนในสายของ “ไพรินทร์” เอง ตามสมการแบบนี้ “ชาญศิลป์” จะดันใคร คนนั้นก็ย่อมมีภาษีเหนือคู่แข่งอย่างไม่ต้องสงสัย .. ตัว “ชาญศิลป์” ก็ไม่มีอะไรให้คิดมาก ตัวเองมาไกลขึ้นถึงตำแหน่งเบอร์ 1 ปตท.ได้ก็นับว่าเป็นความภาคภูมิใจขั้นสุด แต่การเข้ามาบริหาร ปตท.แค่ปีเศษๆ เวลาสั้นเกินไป ก็เป็นความอิหลักอิเหลื่อของปตท.ที่ต้องเผชิญกับ “ภาวะคลื่นใต้น้ำ” การไม่ยอมรับสูง ผลงานที่ผ่านมาจึงวนอยู่กับการจัดโครงสร้างงานวางคนเป็นหลัก ..
แม้จะเหลืออายุในตำแหน่งจนถึงพ.ค.ปีหน้า คนในปตท.มองไปที่ “บอสคนใหม่” กันแล้ว .. แล้วหากมองตัวเลือกที่มีชื่อเป็นตัวเก็ง 3 คนที่มีชื่อชิงตำแหน่งซีอีโอ ปตท.ตามกระแสข่าว ประกอบด้วย “นพดล ปิ่นสุภา” กรรมการผู้จัดการใหญ่ไออาร์พีซี “วิรัตน์ เอื้อนฤมิต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ปตท. ..
1ใน 3 คนนี้จับตาดูให้ดี มีคนของ “ไพรินทร์” และอยู่ในคาถา “ชาญศิลป์” รวมอยู่ด้วย .. หาก “ไพรินทร์” ได้นั่งประธานบอร์ดว่ากันได้ว่า การสืบทอดอำนาจใน ปตท.ก็จะไม่หลุดไปจากสายของเขา นั่นคือ คนที่จะผ่านคณะกรรมการสรรหาย่อมเป็นคนสายเดียวกันกับ “ชาญศิลป์” ซีอีโอคนปัจจุบัน
. เมื่อ “ไพรินทร์” ก้าวขึ้นคุมตั้งแต่บอร์ด และกำกับซีอีโอ เท่ากับยึดอำนาจและสืบทอดอำนาจ ปตท.ไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จ
.. อดีตผู้บริหาร ปตท.มักคิด และสอนกันมาเสมอว่าที่ ปตท.อยู่ได้เพราะมีการส่งต่อ “รุ่นสู่รุ่น” ต้อง “สืบทอดอำนาจ” มีอดีตผู้บริหาร ปตท.น้อยกว่าน้อย ที่พอพ้นวาระไปแล้วจะไม่ขอเข้ามายุ่งกับองค์กร แม้จะถูกทาบทามให้เข้ามาช่วยงานก็ตาม ลองไปเลียบๆเคียงๆถาม “เทวินทร์ วงศ์วานิช” ซีอีโอคนก่อนหน้า “ชาญศิลป์” ดูก็ได้ ..
งานนี้จะสำเร็จตามที่ “ไพรินทร์” คิดไว้หรือไม่ โปรดอย่ากะพริบตา แต่แว่วว่าบรรดา "ผู้ใหญ่" มีเคือง ที่เคืองเพราะ “ไพรินทร์” ไม่เห็นหัว หนึ่ง!! และสองไม่ต้องการให้ ปตท.กลับไปสู่วงวนเดิมๆ ที่ว่า คนเก่าไม่ยอมไปไหน ยังครอบงำองค์กร อยากกลับมาครองอำนาจอยู่เสมอถ้ามีโอกาส .. ภายใน ปตท.เคยรบรากัน เคยแตกหักมาแล้วหลายครั้ง เพราะเกมชิงอำนาจ ที่ชัดๆ ก็สมัย “ไพรินทร์” ก่อนจะขึ้นเป็นซีอีโอต่อจาก “ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” ก็ครั้งหนึ่ง ..
ครั้งนั้นว่ากันว่า เกมชิงอำนาจใน ปตท.ดุเดือดเลือดพล่าน ก่อนที่ “ไพรินทร์” จะเป็นฝ่ายชนะ และมีเรื่องเล่าขานใน ปตท.แบ่งขั้วแบ่งค่ายว่า “เด็กประเสริฐ” กับ “เด็กไพรินทร์” มาจนถึงวันนี้ .. สมัยเลือก “ชาญศิลป์” ที่เพิ่งผ่านมาปีกลาย ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่เป็นข่าวครึกโครมออกมาสู่สาธารณะเท่านั้น ..
แว่วว่า “ฝ่ายผู้ใหญ่” ที่ “ไพรินทร์” มองข้ามก็ส่งสัญญาณไปถึง "ผู้ใหญ่กว่า" ในทำเนียบให้รับรู้เรื่องนี้แล้ว .. วันนี้เกมชิงอำนาจกุม “ขุมทรัพย์ล้านล้านบาท” เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง การศึกจะราบรื่น หรือ สถานการณ์จะย้อนกลับไป "แตกหัก" เหมือนอดีตหรือไม่ .. โปรดติดตาม.
**โถ... ตีปี๊บตั้งนาน อีเวนต์ใหญ่ “อยู่ ไม่ เป็น” กร่อยสนิท ก็อีแค่โหมกระแสก่อนวันพิพากษาคดีหุ้นสื่อ ให้ “เสี่ยเอก” ร่ำลาสาวกเท่านั้น แย้มๆ “อนาคตใหม่คือผู้คนและการเดินทาง” ตามวลีหนังดัง หรือจะเป็น “ลางร้าย” คล้ายต้องส่งไม้ต่อ “ส.ส.เซเลบฯ” ที่รอดสันดอน ไปตั้งพรรคใหม่ หลังเจ้าของพรรคโดนเชือด พร้อม “ค่ายสีส้ม”
ไม่กระหึ่มอย่างที่คาด .. อีเวนต์ “อยู่ ไม่ เป็น” ของ “ค่ายสีส้ม” พรรคอนาคตใหม่ ที่จัดขึ้นไปเมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา หลังจากตีปี๊บมาหลายสัปดาห์ ก็ด้วยเนื้อหาบนเวทีที่ปล่อยคิว “ส.ส.เซเลบฯ” สลับกันขึ้นพูดจาปราศรัยแค่ 5-6 หน่อ ก่อนตบท้ายฟินาเล่ด้วย “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ไม่ต่างจาก “แผ่นเสียงตกร่อง” วกวน วกเวียนอยู่กับการแก้ต่างข้อกล่าวหา “ชังชาติ” .. โดยเฉพาะ “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล รองเลขาธิการพรรค ที่ใช้เวลาร่วมชั่วโมงคร่ำครวญว่า เพราะต้องการให้ประเทศเปลี่ยนแปลง เชิงโครงสร้าง จนต้องเผชิญคดีความมากถึง 25 คดี และถูกใส่ร้ายกล่าวหาต่างๆ นานา ทั้ง “ชังชาติ” หรือ “ล้างสมองคน” กระทั่งเป็น “พวกล้มเจ้า” โดยย้ำว่า “ไม่เป็นความจริง” .. พูดน่ะพูดได้ แต่คนเขาว่า “การกระทำสำคัญกว่าคำพูด” แล้วถ้าได้ติดตาม “อดีต” ของทั้ง “เสี่ยเอก” ทั้ง “จารย์ป๊อก” หรือ “สาวช่อ” พรรณิการ์ วานิช ก็คงรู้เช่นเห็นชาติว่าทำไมแต่ละคนถึงโดนข้อหา “ชังชาติ-ล้มเจ้า”
ท้ายที่สุดมหกรรม “อยู่ ไม่ เป็น” ก็ไม่ได้มีอะไรเซอร์ไพรส์ เป็นไปอย่างที่ทุกฝ่ายคาดการณ์ว่า เป็นการ “โหมกระแส” ก่อนถึง “วันดีเดย์” 20 พ.ย.นี้ ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีหุ้นสื่อก็เท่านั้น .. ขนาด “สื่อชังทหาร” ที่ควรจะเชียร์ “ค่ายสีส้ม” ด้วยซ้ำ ยังรีวิวงานนี้ว่า “กร่อยสนิท” ตลอด 3 ชั่วโมงเศษ “ไม่มีอะไรใหม่” ส่วนใหญ่จะเป็นการตอกย้ำอุดมการณ์ และที่มาของพรรคการเมืองน้องใหม่ ที่ได้ ส.ส.มาถึง 81 คนเท่านั้น .. โดยพยายามย้ำคำว่า “อยู่ไม่เป็น” หลายสิบครั้ง เพื่อเชื่อมโยงว่าพรรคอนาคตใหม่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น จนถูก “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” มาตลอด
น่าสนใจว่างานนี้ไม่ได้จำกัดกรอบแค่ “ในประเทศ” ซะด้วยยัง “โกอินเตอร์” ยกหางตัวเองถึงขั้นจะ “เปลี่ยนแปลงโลก” ทั้งที่ในประเทศหรือในพรรคเองยังเอาตัวกันแทบไม่รอด .. ก็คงว่าไม่ได้ก็ลูกพี่อย่าง “เฮียทอน” เพิ่งได้รับการยกย่องติดโผ “100 ดาวรุ่งผู้ทรงอิทธิพลโลก ปี 62” นี่เนอะ ไม่แค่นั้นยังปล่อย “คำสำคัญ” ที่ “ลอก” จากวลีเด็ดหนังดังจักรวาลมาร์เวล ที่ว่า “อนาคตใหม่คือผู้คน และการเดินทาง” ล้อมาจาก “แอสการ์ดคือผู้คน ไม่ใช่สถานที่" .. แล้วที่ว่า “อนาคตใหม่คือผู้คน และการเดินทาง” ก็ฟังเหมือน “คำสั่งเสีย” ชอบก๊ลลล์ ชอบกล ก็เพราะในหนังฮออลลีวูดมันเป็นคำพูดของ “เทพโอดิน” ที่พูดกับ “เทพเจ้าธอร์” ผู้เป็นลูก ในช่วงที่อาณาจักรแอสการ์ดที่ปกครองอยู่ล่มสลาย .. ผนวกกับการแถลงข่าวทิ้งทวนกรณีหุ้นสื่อก่อนหน้านั้นไม่กี่วันที่ “พี่ทอน” ถึงกับร้องเสียงหลงว่า “ผมผิดอะไร” ทั้งที่ก่อนหน้านั้นได้โอกาสเข้าชี้แจงต่อองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกลับเอาแต่ตอบ “ผมจำไม่ได้ๆๆ” แล้วยังทำท่ายักไหล่ “ผมไม่มีปัญหาเรื่องเงิน” แทนที่จะใช้โอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงให้ศาลสิ้นสงสัย .. จากจังหวะจะโคนที่ว่าก็ถอดรหัสได้ว่า “เสี่ยใหญ่ไทยซัมมิท” คง “ทำใจ” แล้ว
ดังนั้น ถ้าถามว่าอีเวนต์อยู่ไม่เป็นส่งสัญญาณอะไร ก็คงเป็นการส่งไม้ต่อ “ส.ส.เซเลบฯ” ที่รอดสันดอน ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค พากันไปตั้งพรรคใหม่ หลังโดนเจ้าของพรรคเชือด พร้อม “ค่ายสีส้ม” ตามที่ “กูรู” ฟันธงดันเอาไว้ว่า เหตุจากหุ้นสื่ออาจไม่ส่ง “เฮียเอก” ตายเดี่ยว แต่นำพาเอา “พรรคน้องใหม่” พร้อมกรรมการบริหารพรรคตกต้องตามกันไปด้วย .. ว่ากันว่า “ส.ส.เซเลบฯ” ที่คาดว่าจะได้ไปต่อ ก็ได้โชว์วิชันบนเวทีอยู่ไม่เป็นอย่างน้อยๆ 2 หน่อ หนึ่ง “เสี่ยทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ค่อนข้างเข้าฝักในสภาฯ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาทางการเกษตร อีกหนึ่งยกให้ “สาวไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล ที่โดดเด่นในเชิงวิชาการ-นโยบาย โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ-เศรษฐศาสตร์ที่ช่ำชอง น่าจะเป็น “หัวหอก” ในการนำพาไพร่พลที่เหลือรอดไปต่อมากกว่า