สภาพัฒน์-สนค.ประสานเสียง มีมาตรการรองรับความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจของสภาเศรษฐกิจโลก จากรายงานของ World Economic Forum : WEF แจงเป็นผลการสำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ด้านความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจใน 10 ปีข้างหน้า เพื่อหารือในเวที ดาวอส ซึ่งภาครัฐได้มีมาตรการดำเนินการรองรับมาอย่างต่อเนื่อง เผยมี 10 อันดับแรก ได้แก่ 1. วิกฤตทางการเงิน 2. การโจมตีทางไซเบอร์ 3. ภาวะการว่างงาน 4. วิกฤตราคาพลังงาน 5. ความล้มเหลวของรัฐบาล 6. ความวุ่นวายทางสังคม 7. การโจรกรรมข้อมูล 8. ความขัดแย้งระหว่างรัฐ 9. การขาดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 10.เศรษฐกิจฟองสบู่
วันนี้ (15 พ.ย.) นายดนุชา พิชยนันท์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะโฆษกสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า สภาเศรษฐกิจโลก หรือ WEF ได้จัดทำรายงาน Regional risks for doing business report โดยร่วมกับธุรกิจด้านประกันภัยและบริหารความเสี่ยง Marsh & McLennan Companies and Zurich Insurance Group เป็นครั้งแรกในปี 2018 ซึ่งรายงานในปี 2019 นี้ เป็นการจัดทำครั้งที่ 2 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการหารือของผู้บริหารจากทั่วโลกที่จะเข้าร่วมการประชุมประจำปีของสภาเศรษฐกิจโลกที่เมือง ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือน ม.ค. 2563
รายงานนี้ใช้วิธีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้บริหารภาคธุรกิจ ในช่วงเดือน ม.ค. - เม.ย. 2562 โดยใช้คำถามว่า "From the following list, check the five global risks that you believe to be of most concern for doing business in your country within the next 10 years” สำหรับแบบสอบถามภาษาไทยที่ดำเนินการในประเทศไทยโดยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (WEF Partner Institute) ใช้ข้อความว่า "จากรายการด้านล่างนี้ โปรดเลือกความเสี่ยงระดับโลกมา 5 รายการ ที่คุณเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงมากที่สุดในการทำธุรกิจในประเทศของคุณใน 10 ปีข้างหน้า” โดยให้เลือกจากรายการความเสี่ยง 30 ประการ
ทั่วโลกมีผู้ตอบแบบสอบถาม 12,000 กว่าคน ขณะที่ ในประเทศไทยมีผู้ตอบแบบสอบถามรวม 102 คน ซึ่งอาจไม่สะท้อนความจริงในภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบัน โดยความเสี่ยงที่นักธุรกิจไทยแสดงความกังวลมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) Asset bubble 2) Failure of national governance 3) Cyberattacks 4) Manmade environmental catastrophes และ 5) Profound social instability
ในห้วงเวลาของการสำรวจแบบสอบถามเป็นห้วงเวลาที่ประเทศไทยอยู่ระหว่างการเตรียมการเลือกตั้ง ซึ่งมีผลต่อการตอบแบบสอบถามโดยเฉพาะในเรื่องของความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ โดยความเสี่ยงในประเด็น Asset bubble นั้น ในห้วงเวลาดังกล่าว อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงและราคาของอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ภาคธุรกิจมีความกังวล ซึ่งในเรื่องนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงที่เข้มงวดรองรับอยู่แล้ว
ในประเด็น Failure of national governance เป็นตัวชี้วัดที่มีนิยามกว้าง และในบริบทของรายงานนี้ หมายถึงระบบธรรมาภิบาล การทุจริตคอร์รัปชั่น การบริหารจัดการเชิงสถาบันมากกว่าการเจาะจงไปที่การบริหารงานของรัฐบาลในภาพรวม ในขณะที่ประเทศมาเลเซียเองมีข้อกังวลในด้านนี้เช่นกัน โดยอยู่ที่อันดับที่ 4 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้วและมีการเร่งขับเคลื่อนนโยบายอย่างเต็มที่ ซึ่งไม่มีอะไรน่ากังวล และรัฐบาลมีความพยายามในการปฏิรูปและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐมาอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลากว่าจะเห็นผล โดยมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น สำหรับประเด็น Cyberattacks ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับภาครัฐและเอกชนมากขึ้น
ในส่วนประเด็น Manmade environmental catastrophes เนื่องจากประชาชนรับทราบและมีความตระหนักและรับรู้ในเรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งมีความรุนแรงในช่วงต้นปีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีมาตรการรองรับแล้ว เช่น เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจคุณภาพรถขนส่ง ส่วนปัญหาขยะพลาสติก สังคมได้มีการตื่นตัวในการลดการใช้พลาสติกมากขึ้น
นอกจากนี้ ประเด็น Profound social instability การรับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อาจทำให้ประชาชนมีการตีความไปในหลายด้าน มีความหลากหลายทางความคิด เกิดการถกเถียงในสังคมเป็นวงกว้าง ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสื่อสารสร้างความเข้าใจให้กับภาคประชาชน รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับรายได้เกษตรกรด้วยการประกันราคาสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์ม เป็นต้น และมีมาตรการบัตรสวัสดิการประชารัฐเพื่อช่วยเหลือในด้านค่าครองชีพ
ความเสี่ยงทั้ง 30 รายการเป็นความท้าทายที่ทุกประเทศและนักธุรกิจทั่วโลกต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่มีมิติความรุนแรงแตกต่างกันไปตามบริบทของการพัฒนาของแต่ละประเทศ รายงานดังกล่าวนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะใช้เปิดประเด็นการหารือของผู้เข้าร่วมการประชุมที่เมือง ดาวอส ซึ่งมาจากหลายประเทศทั่วโลก เพื่อทำความเข้าใจและหาทางออกร่วมกันในการลดความเสี่ยงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในส่วนของประเทศไทย มีผู้แทนเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง และภาครัฐเองได้ตระหนักถึงความสำคัญ พร้อมทั้งมีการรับมือในเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ สภาพัฒน์เป็นหน่วยงานหลักในการติดตามความเคลื่อนไหวของการจัดอันดับโดยองค์กรระหว่างประเทศที่มีความน่าเชื่อถือ และมีความระมัดระวังในการนำข้อมูลมาเผยแพร่ โดยคำนึงถึงความน่าเชื่อถือ หลักการที่มีมาตรฐาน แนวทางในการปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอ
ด้าน น.ส. พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า อันดับความเสี่ยงในการทำธุรกิจทั่วโลกปี 2562 นี้ 10 อันดับแรก ได้แก่ 1. วิกฤติทางการเงิน 2.การโจมตีทางไซเบอร์ 3. ภาวะการว่างงาน 4. วิกฤติราคาพลังงาน 5. ความล้มเหลวของรัฐบาล 6. ความวุ่นวายทางสังคม 7. การโจรกรรมข้อมูล 8.ความขัดแย้งระหว่างรัฐ 9. การขาดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ 10.เศรษฐกิจฟองสบู่
สำหรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกนั้น แบ่งได้เป็น 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเทคโนโลยี ด้านภูมิรัฐศาสตร์ และด้านเศรษฐกิจ โดยสรุป 10 อันดับความเสี่ยงในการทำธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ได้แก่ 1. ภัยธรรมชาติ 2. การโจมตีทางไซเบอร์ 3.ความขัดแย้งระหว่างรัฐ 4. วิกฤตการณ์ทางการเงิน 5. เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศที่รุนแรง 6.เศรษฐกิจฟองสบู่ 7.การโจรกรรมข้อมูล 8. วิกฤติราคาพลังงาน 9. ภาวการณ์ว่างงาน 10. ความล้มเหลวของรัฐบาลจากการศึกษายังพบว่า ความเสี่ยงในการทำธุรกิจในประเทศไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. เศรษฐกิจฟองสบู่ 2. ความล้มเหลวของรัฐบาล 3. การโจมตีทางไซเบอร์ 4. ภัยพิบัติทางธรรมชาติและโดยมนุษย์ และ 5. ความไม่มั่นคงทางสังคม
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรมีการศึกษาเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการด้านการค้าและการลงทุนให้แก่ผู้ประกอบการต่างประเทศ รวมทั้งหาทางแนวทางและมาตรการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆอย่างเป็นรูปธรรมด้วย
“สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าจะดำเนินการการติดตามรายงานผลสำรวจ การจัดอันดับและการศึกษาต่าง ๆ ขององค์กรที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก อาทิ ธนาคารโลก และสภาเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ประเด็นทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการไทย ซึ่งนับเป็นหน้าที่สำคัญของสำนักงานฯ ที่จะสนับสนุนข้อมูลและให้คำแนะนำแก่ผู้ประกอบการ ให้ตระหนักถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวเนื่องกัน เพื่อส่งเสริมการค้าเชิงรุก (proactive strategy) ให้สามารถขยายตลาดไปยังภูมิภาคต่าง ๆ และเสริมสร้างขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจให้เพิ่มมากขึ้น”