xs
xsm
sm
md
lg

“ธนาธร” ร่วมถกความร่วมมือไทย-จีน ยันไม่เคยหนุนม็อบฮ่องกง โอดตัวเองยังเอาตัวรอดลำบากเลย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เสวนาเปิดมุมมองไทย-จีน ปธ.ธนาคาร ICBC ไทย ชี้ไทย-จีน-อาเซียนควรจับมือร่วมพัฒนาการค้า เพิ่มคุณภาพแรงงาน ยกระดับบริการ ด้าน ปธ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ แนะรีบตะครุบเพื่อนำสิ่งดีๆ มาสู่สยาม ขณะที่ “ปริญญ์” ชี้พญามังกรขยับขึ้นผู้นำโลกชัด แนะปรับความกลัวเป็นโอกาส ฝั่ง “ธนาธร” เผยไทยซัมมิทลงทุนในจีนราว 4,000 ล้าน ชี้ชาติที่ก้าวข้ามเป็นประเทศพัฒนาต้องมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง และกระจายอำนาจ หวังอาเซียนพัฒนาสัมพันธ์เชิงลึกสู่เวทีโลก ยันไทยประชาธิปไตยมาไกลแล้ว แนะเปลี่ยนแนวคิดเป็นแค่ฐานการผลิตต่างชาติ ย้ำไม่เคยหนุนม็อบฮ่องกง บอกตัวเองยังเอาตัวรอดลำบากเลย คนกล่าวหามีหลักฐานแค่รูปถ่ายใบเดียว

วันนี้ (28 ต.ค.) ที่โรงแรม.ดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ สมาคมผู้สื่อข่าวไทยจีน และ อสมท ได้จัดเสวนาในหัวข้อ เปิดมุมมอง ปรับความคิด ความร่วมมือไทย-จีน โดยมีนายจื้อกัง หลี่ ประธานกรรมการธนาคาร ไอซีบีซี (ไทย), นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่, นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริษัทมหาชนจำกัด ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ และนายจือเหวิน หล่วน ที่ปรึกษากฎหมายมณฑลกวางสี ร่วมสนทนา

นายจื้อกังกล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์โลกขณะนี้ไทยกับจีนและอาเซียนควรจับมือเพื่อพัฒนาการค้าและการร่วมมือ ทางธนาคารก็มีการจับมือกับธนาคารไทยไปโร้ดโชว์ในจีนเพื่อดึงนักลงทุนมีสู่ไทย โดยจีนกับไทยมีความร่วมมือเป็นอันดับ 1 ไม่ใช่คู่แข่งขัน ในหลายๆ ด้านก็ต้องเพิ่มคุณภาพแรงงาน ยกระดับการให้บริการ ถ้ารัฐบาลมีประสิทธิภาพในการบริหารงานก็จะดีขึ้น ด้านนายสนั่น กล่าวว่า ตนเห็นว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจีนมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ขณะที่ไทยก็ต้องรีบตะครุบในความร่วมมือกับจีนเพื่อนำสิ่งดีๆ มาสู่เมืองไทย ส่วนอาเซียนเราจะทำอย่างไรให้มีความร่วมมือระหว่างกันได้

ขณะที่นายปริญญ์กล่าวว่า จีนได้ใช้ข้อมูลเสริมรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมปัญญาประดิษฐ์เพิ่มมูลค่าสินค้าและนวัตกรรม โดยบริษัทจากจีนที่จะเข้ามาลงทุนจะมองเรื่องยุทธศาสตร์ของบริษัทเข้ากับยุทธศาสตร์ชาติจีนหรือไม่ โดยตนคิดว่าจีนได้ขยับขึ้นมามีบทบาทผู้นำโลกอย่างชัดเจน และมีนโยบายที่มองไปในระยะยาว ฉะนั้นไทยควรจะต้องปรับความกลัวจีนให้เป็นโอกาส

ทางด้านนายธนาธร ในฐานะอดีตรองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท กล่าวว่า ตนได้เข้าไปลงทุนจริงๆ ราวปี 2551 ปัจจุบันมีฐานการลงทุนใน เมืองซูโจว มณฑลเจียงซู, มณฑลฝูเจี้ยน และเมืองกวางตุ้ง มณฑลกวางโจว การที่ตนได้ไปลงทุนจึงทำให้ได้รู้จักกับเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ และนักธุรกิจค่ายรถยนต์ต่างๆ ระดับโลกในจีน โดยคาดว่ามีเม็ดเงินไทยซัมมิทไปลงทุนในจีนกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อผลิตสินค้าระดับไฮเอนด์ และบางตัวนำเทคโนโลยีที่ไม่เคยใช้มาก่อน เช่น การเชื่อมด้วยเลเซอร์ ทั้งนี้ ตลาดจีนมีความสำคัญกับบริษัท ขณะที่หลายผลิตภัณฑ์ในช่วงที่เศรษฐกิจดีก็มีการนำเข้าจากจีนมูลค่าราว 300-400 ล้านบาท เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ ระยะเวลาผลิตสั้น ตนจึงนำผลิตภัณฑ์ที่มีในไทย แต่จีนไม่มีไปลงทุน โดยตนเห็นว่าถ้าไทยมีตัวแทนหรือไปศึกษาเพื่อดึงทรัพยากรมาใช้ จะทำให้มีโอกาสเสริมสร้างธุรกิจไทยได้

นายธนาธรกล่าวต่อว่า จีนได้แสดงให้เห็นว่าการก้าวข้ามจากประเทศกำลังพัฒนาเป็นพัฒนาแล้วต้องมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ถ้าเราไม่สามารถสร้างเทคโนโลยีได้เองเราไม่สามารถเติบโตข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้เลย รวมไปถึงการกระจายอำนาจ ในจีนแต่ละมณฑลมีอำนาจจัดการเองได้ จึงทำให้แต่ละบริษัทมีสำนักงานใหญ่อยู่ในหลายมณฑลไม่ได้รวมศูนย์ที่กรุงปักกิ่งเมืองหลวง การกระจายความเจริญไปสู่ให้ท้องถิ่นยังเป็นการกระจายงาน , รายได้ และ ความมั่นคงจากส่วนกลาง ซึ่งจีนในช่วง 20 ปี ก็พัฒนาจากฝั่งเลียบมหาสมุทรแปซิฟิกสู่ฝั่งตะวันตก ทั้งนี้ตนเห็นว่า ทุกประเทศมีอุปสรรคต่างกัน ที่ประเทศอินเดีย ก็มีทักษะแรงงานมีคุณภาพน้อยกว่าด้วยปัญหาวรรณะ แต่จีนจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับหน่วยงานราชการ ถ้าอธิบายให้เข้าใจได้ปัญหาก็หมด

นายธนาธรกล่าวว่า การที่จีนพัฒนาเพราะมีประชากรเยอะ ถ้าหันมามองอาเซียนยังไม่เป็นตลาดเดียวอย่างแท้จริง ยังมีผลิตภัณฑ์ที่แข่งขันแต่ไม่เกื้อหนุนกัน ไม่แลกเปลี่ยนสินค้ากันภายใน ถ้าจะทำให้การค้าอาเซียนพัฒนาต้องจัดการข้อจำกัดในการผลิต และปัญหากฎหมายระหว่างประเทศ ตนอยากเห็นอาเซียนพัฒนาความสัมพันธ์เชิงลึกเพื่อสร้างการเติบโตสู่เวทีโลก ทั้งนี้ การที่จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ต้องมีความรับผิดชอบ และต้องมีความเท่าเทียมกันต่อการลงทุนในจีน

ส่วนการปกครองของจีนที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยแต่สามารถพัฒนาประเทศเช่นกันได้นั้น นายธนาธร กล่าวว่า โมเดลในการพัฒนาประเทศมีหลายแบบ คำถามคือเราอยากเอาใครเป็นแบบอย่าง ไม่ได้มีโมเดลเดียวที่รวบอำนาจแล้วพัฒนาประเทศได้ โจทย์หลักของไทยคือเราไม่ได้มีตลาดใหญ่เท่าจีน และไทยพัฒนาประชาธิปไตยมาไกลแล้ว การกลับไปสู่การรวบอำนาจตนคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ ซึ่งการคิดแต่ดึงทุนต่างชาติ เป็นฐานการผลิตให้ต่างชาติ ได้สิทธิพิเศษเต็มไปหมด มันเหมาะสมกับประเทศที่ไม่มีเงินทุน ไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีตลาด แต่ปัจจุบันวิธีคิดเช่นนี้ต้องเปลี่ยน เพราะจะทำให้ไทยไปไกลไม่ได้เลย และไทยต้องพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีของตัวเอง เช่น การทำรถเมล์ไฟฟ้าที่เป็นของคนไทย ไม่ต้องนำเข้าไป ตั้งศูนย์การผลิตในภาคอีสานเพื่อให้เกิดการจ้างงานไม่ต้องเข้ามาในเขตอุตสาหกรรมและพัฒนาเทคโนโลยี

นอกจากนี้ นายธนาธรยังชี้แจงถึงกรณีรูปภาพถ่ายคู่กับนายโจวชัว หว่อง แกนนำกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงว่า “ขอโทษนะครับตัวเองยังเอาตัวรอดลำบากเลย” พร้อมยืนยันว่าตนไม่เคยสนับสนุนม็อบฮ่องกงด้านใดด้านหนึ่ง และไม่มีใครมีหลักฐานแสดงว่าตนไปเกี่ยวข้องนอกจากรูปถ่ายใบเดียว ทั้งนี้ เราต้องมีสัมพันธ์กับทุกอำนาจ หน้าที่รัฐบาลคือการสร้างสมดุลระหว่างไทยกับหลายๆ อำนาจที่มีอยู่ในโลกนี้

กำลังโหลดความคิดเห็น