ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เหตุที่แท้จริงสหรัฐฯ ตัด GSPไทย เอาคืนแบนสารพิษ ก๊อกต่อไป บี้นำเข้าหมูเร่งสารเนื้อแดง!
กรณีสหรัฐฯประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) สินค้าไทย ซึ่งจะมีผลในอีก 6 เดือนข้างหน้า คือ 25 เม.ย.63
เรื่องนี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR)ระบุว่า คำสั่งจะครอบคลุมสินค้าไทย มูลค่าราว 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3.92 หมื่นล้าน หรือ ประมาณ 1 ใน 3 ของทั้งหมดที่อยู่ภายใต้โครงการ GSPโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอาหารทะเล ที่จะถูกระงับสิทธิ์ยกเว้นภาษีทั้งหมด
จากข้อมูลในปี 2017 พบว่า สหรัฐฯได้ให้สิทธิ์ GSPแก่ไทยครอบคลุมสินค้ากว่า 3,400 รายการ คิดเป็นมูลค่าราว 4,150 ล้านดอลลาร์ โดยมีอัตราการใช้สิทธิ์ 69.98% ... ข้ออ้างที่ยกขึ้นมาตัดสิทธิ์ GSPไทย ครั้งนี้ คือกล่าวหาว่าเรามี "ปัญหาด้านแรงงาน" เพราะไม่มีการคุ้มครองแรงงานที่มากพอ ไม่ตรงตามมาตรฐานสากล
เบื้องหน้าก็ว่ากันว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ไทยกำลังจะห้ามนำเข้าสารเคมี3 ชนิด เป็นจังหวะบังเอิญมากกว่า
แต่...เหตุผลที่แท้จริง ว่ากันว่าก็คือเรื่องที่ไทยแบนสารพิษนั่นเอง ซึ่งคำสั่งตัด GSPไทย เกิดขึ้นหลังจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติแบนสารเคมีการเกษตร 3 ชนิด เพียงไม่กี่วัน... การที่ไทยจะแบนสารพิษดังกล่าว น่าจะไปขัดผลประโยชน์ภาคเอกชนสหรัฐฯ มหาศาล
ในสหรัฐฯ "อุตสาหกรรมยา" เป็นเรื่องใหญ่ เงินๆ ทองๆ หมุนเวียนในระบบหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและสร้างความร่ำรวยให้กับอเมริกามาช้านาน
วงในลึกๆ บอกว่า ทุกครั้งที่ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เจอ "โดนัลด์ ทรัมป์" ประธานาธิบดีอเมริกา หรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ มาเข้าพบ ลุงตู่ ก็มักจะพูดเรื่องยา หยิบยกมาเป็นวาระพูดคุยเป็นเรื่องหลัก
เรื่องนี้ลองมองย้อนไปก่อนที่เราจะประกาศแบนสารพิษ ก็จะไม่ประหลาดใจที่มีข่าว "ทุนยักษ์" บริษัทยาข้ามชาติจากสหรัฐฯ วิ่งล็อบบี้กันฝุ่นตลบ ... กระทั่งตอนนี้ก็ยังกดดันหนัก เพราะเป็นเดิมพันที่แลกมาซึ่งผลประโยชน์ของบริษัทยาข้ามชาติเหล่านี้
ว่ากันว่า ในการค้าโลก โดยเฉพาะความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจสำคัญๆ อย่าง "CPTPP"ที่เดิมสหรัฐฯ เป็น"พี่เบิ้ม" แต่ตอนหลัง"ทรัมป์" ฉีกสัญญาแล้วถอนตัวออกไป และไทยกำลังขอเข้าร่วม ก็เพราะประเทศสมาชิกอื่นๆ รับไม่ได้กับรายละเอียดของความตกลง ข้อบัญญัติ (provision)ของสหรัฐฯ !
ข้อบัญญัติพวกนี้กว่า22ข้อ ส่วนใหญ่เป็นประเด็นที่สหรัฐฯ สนับสนุนมาก แต่ไม่เป็นประโยชน์กับประเทศสมาชิกอื่นๆ ที่สำคัญที่สุด คือ"การคุ้มครองอุตสาหกรรมยา"
CPTPP หรือ Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ที่เป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และ การลงทุน เพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาล และนักลงทุนต่างชาติ โดยมีประเทศ สมาชิก 11 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น แคนาดา เม็กซิโก เปรู ชิลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และเวียดนาม
พร้อมๆกันกับเรื่องตัดสิทธิ์ GSP แว่วว่า ก๊อกต่อไป สหรัฐฯ จะเร่งให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าหมูที่มี "สารเร่งเนื้อแดง" จากสหรัฐฯ
ที่ผ่านมาไทยปฏิเสธมาตลอด เพราะยังรอการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ว่า การบริโภคหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง จะมีผลต่อสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคอย่างไร ... แน่นอนว่า ถ้าพบว่าเป็นอันตรายจริง ไทยย่อมมีสิทธิ์ที่จะพิจารณาไม่ให้นำเข้า
พอไทยจะแบน3 สารพิษ ตอนนี้ "ทรัมป์"จึงดิ้นพล่าน ยกเรื่องนี้จี้มาอีกด้วย เพราะทั้งสองเรื่อง "ยาและหมูเร่งสารเนื้อแดง" เป็นตัวทำเงินทำทอง ที่เป็นสาเหตุให้สหรัฐฯ จะนำมาเป็นข้ออ้างตัดจีเอสพีสินค้าไทยเพิ่มได้อีกในอนาคต
กดดันไทยทางตรงไม่พอ เรื่องใหญ่ขัดผลประโยชน์ของสหรัฐฯ แบบนี้ ด้วยเล่ห์การค้าของ"ทรัมป์" เชื่อว่าจะต้องใช้ทุกท่ามาบีบเราทางอ้อม ด้วยและเตรียมถล่มทุกเวทีแน่
"ทรัมป์" ย่อมรู้ว่า การที่ไทยเป็นประธานอาเซียน มีบทบาทอย่างสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในระดับภูมิภาคเอเชียด้วย ซึ่งเอเชียเองกำลังเป็นที่จับตาจากนักลงทุนทั่วโลก ผนวกกับความร่วมมืออย่างเข้มแข็งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น ความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (RCEP), เส้นทางสายไหม และเส้นทางสายไหมทางทะเลศตวรรษที่ 21 (Belt and Road Initiative : BRI), และ แนวคิดอินโด-แปซิฟิก ที่เสรี และเปิดกว้าง(Free and Open Indo-Pacific)
ทั้งหมด CLMVT, อาเซียน และเอเชีย ล้วนแต่อยู่ในบริบทความร่วมมือแทบทั้งสิ้น ถ้าสหรัฐฯ เล่นบทอันธพาลเหมือนที่เปิดสงครามการค้ากับจีน ไทยก็คงต้องทำใจรับมือ
ของแบบนี้ทุนนิยมแบบอเมริกา ย่อมไม่คำนึงถึงอะไรมาก อย่าว่าแต่ชีวิตคน นอกจากรายได้ และกำไร
"ยืนยง โอภากุล" หรือ "แอ๊ด คาราบาว" ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก แฟนเพจ Add Carabao ว่า “เห็นสันดานอเมริกาหรือยังครับพี่น้อง มันหาได้คำนึงถึงชีวิตของคนอื่นเลย มุ่งแต่จะเอาประโยชน์เพื่อตนฝ่ายเดียว รัฐบาลไทยอย่าไปยอมมันนะครับ มันจะเเบนสินค้าเราก็ช่างแม่ง เวลานี้ คุณสมคิด คุณจุรินทร์ ได้ออกเดินสายหาคู่ค้ารายใหม่ๆ ในประเทศต่างๆ ที่มีคุณธรรม เเละไม่เอาเปรียบข่มเหงรังแกเรา
ขอให้พวกเราต้องร่วมกันสู้ นะครับ เพื่อเห็นเเก่ประโยชน์สุขของประชาชนคนไทย ถ้าไม่สู้ เราก็ตายผ่อนส่งต่อไปเรื่อยๆ ขอเป็นกำลังใจให้ทั้งภาครัฐ และเอกชน สู้ๆๆๆๆ ถึงเวลาที่ต้องทิ้งประโยชน์ส่วนตน เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแล้วละครับพี่น้อง"
นี่คือ "อเมริกันเฟิสต์" ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ต้องมาก่อนจริงๆ
จับตากันดีๆจากนี้ประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" จะงัดอะไรออกมากดดันไทยอีก.
** "อนาคตใหม่"ลงเร็ว จากที่เคยสร้างปรากฏการณ์เป็น"ขวัญใจ" ของคนรุ่นใหม่ มาบัดนี้ ส่วนใหญ่รู้สึก "เฉยๆ" ถ้าพรรคจะถูกยุบ ยืนยันได้ด้วยผลโพล ที่เพิ่งออกมาล่าสุด
นับจากวันเลือกตั้ง 24 มี.ค.62 ที่พรรคอนาคตใหม่ ภายใต้การนำของ3ตัวชูโรง "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรค "ปิยบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรค และ "พรรณิการ์ วานิช" โฆษกพรรค ได้สร้างปรากฏการณ์เอาชนะใจคนที่อยาก เปลี่ยนแปลงประเทศไทย โดยกวาด ส.ส.มาได้ถึง 80 ที่นั่ง ขึ้นเป็นอันดับ 3 ทั้งๆ ที่เป็นพรรคเกิดใหม่
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงแค่ 7 เดือน ความถดถอยในกระแสนิยมของพรรค ก็หล่นวูบให้เห็นอย่าง "เป็นรูปธรรม" ด้านหนึ่งนั้นเพราะ "อนาคตใหม่" เป็นฝ่ายค้าน ที่ดำเนินการทางการเมืองมุ่ง "ล้มรัฐบาล" แต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีวาระเกี่ยวกับแก้ปัญหาเศรษฐกิจ " เรื่องปากท้อง" ที่ประชาชนเห็นว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน...แต่แกนนำพรรคอนาคตใหม่ มักจะบอกกับประชาชนว่า การจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ต้องแก้รัฐธรรมนูญก่อน เพื่อเปลี่ยนกติกาการเข้าสู่อำนาจ ...ในช่วงที่ผ่านมาพรรคอนาคตใหม่ จึงพยายามเดินสายรณรงค์ แก้ไขรัฐธรรมนูญ... ที่บางครั้งบางเวลาก็ออกอาการเกินเลย ในประเด็นที่ "ล่อแหลม" ไม่ว่าจะเป็นวาทกรรม รัฐธรรมนูญ " เฮงซวยทุกมาตรา" การจะแก้ไข "มาตรา1" เรื่องราชอาณาจักรไทยจะแบ่งแยกมิได้ ... หรือพยายามจะโค่นล้ม "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยเรื่องถวายสัตย์ฯ ไม่ครบถ้วน
ล่าสุด ยังพาลูกพรรคโหวตสวน ร่าง พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ "ละเอียดอ่อน" แม้แต่พรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นๆ ยังต้องโหวตหนุน เพราะรู้ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเอาชนะคะคานกันในเกมการเมือง
นอกจากพฤติกรรมทางการเมืองของพรรคแล้ว ความเป็นเอกภาพภายในพรรค ก็เริ่มมีรอยร้าวปริแตกให้เห็น เพราะมีการ "เลือกที่รักมักที่ชัง" การบริหารพรรคเป็นไปในลักษณะ "รวบอำนาจ" อยู่ที่ "2คู่หู" ธนาธร-ปิยบุตร จนสมาชิกพรรค และ อดีตผู้สมัคร ส.ส. จำนวนหนึ่ง ประกาศจะไปยื่นใบลาออก ต่อ กกต.ในวันนี้ (28 ต.ค.)
ขณะที่ตัวหัวหน้าพรรค "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ยิ่งนานวันก็เปลือยตัวตนให้เห็นแบบ "ล่อนจ้อน" ไม่ว่าจะเป็นกรณีไปเดินสาย "ชักศึกเข้าบ้าน" ทั้งที่สหรัฐฯ-ยุโรป และฮ่องกง จนคนในโลกโซเชียลฯ เปรียบว่าเป็นพฤติกรรม "ชังชาติ" ... อีกทั้งยังมีกรณี ถือหุ้นสื่อ"วี ลัค มีเดีย" ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพิ่งเรียกไปชี้แจงเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่สิ่งที่ "ธนาธร" ชี้แจงต่อศาลฯ ดูจะไม่เป็นคุณกับตัวเองเสียเลย จนมีการคาดกาณ์ว่า การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ ดูแล้วน่าเป็นห่วง อาจจะลามไปถึงขั้นยุบพรรคได้
เพื่อเป็นการเช็กกระแสว่า "อนาคตใหม่" อยู่ในช่วง"ขาลง" จริงหรือไม่ ... "ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา" ผอ.สำนักวิจัย"ซูปอร์โพล" จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ในเรื่อง"คนคิดอย่างไรถ้าพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ" ผลก็ปรากฏออกมาว่า ประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งเพศ และช่วงอายุ ส่วนใหญ่ "รู้สึกเฉยๆ" ถ้าพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ โดยคนส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 77.4 บอกว่า รู้สึกเฉย ๆ ในขณะที่ร้อยละ 10.5 บอก มีผลดี และ ร้อยละ 12.1 บอกมีผลเสีย
เมื่อจำแนกตามเพศ พบว่าส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 74.0 ของเพศชาย และร้อยละ 79.8 ของเพศหญิง ก็ "รู้สึกเฉยๆ" เหมือนกัน ถ้าพรรคถูกยุบ ที่น่าสนใจคือ แม้ในกลุ่มคนที่ "อายุต่ำกว่า 20 ปี" ส่วนใหญ่ หรือ ร้อยละ 81.8 ก็ยังรู้สึกเฉยๆ ถ้าพรรคนี้ถูกยุบ
คราวนี้มาดูผลจากการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เชิงคุณภาพ ในกลุ่มคนที่ "รู้สึกเฉยๆ" ว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น... คำตอบที่ได้รับ คือ ...ถึงอยู่ไปก็ไม่เกี่ยวอะไรกับชีวิตความเป็นอยู่ และความเดือดร้อนที่กำลังเจอ ประชาชนเงินกำลังขาดมือ ทำมาหากินขัดสน แต่ถ้าพรรคไหนทำงานดี ช่วยเหลือประชาชน ไม่ซ้ำเติม ถ้ามาถูกยุบ ก็จะทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นทุกข์ ... ตอนนี้อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด เพราะรู้สึกผิดหวังกับการเมืองที่คิดว่าหลังเลือกตั้งจะดีขึ้น แต่กลับแย่ลง ...
ทั้งภาพที่เห็น ทั้งผลโพลที่ออกมาเช่นนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า "อนาคตใหม่" อยู่ในช่วงขาลงจริงๆ และลงเร็วเสียด้วย