นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 จำนวน 4 จังหวัด (อุบลฯ-ยโสธร-ศรีสะเกษ-อำนาจเจริญ) เน้นด้านการเกษตร แหล่งน้ำ โครงข่ายทางถนน ทางราง ทางอากาศ เน้นให้จัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของแผนงาน
วันนี้ (24 ก.ค.) เวลา 08.40 น. ณ ห้องประชุมมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ) โดยมีคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนภาคเอกชน ผู้แทนภาคการเกษตรกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 เข้าร่วมประชุม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวก่อนการประชุมว่า การประชุม ครม.นอกสถานที่ มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการต่างๆ ที่ได้มีการสั่งการไปแล้ว รวมถึงเพื่อติดตามรับฟังปัญหาจากประชาชน เพื่อให้ได้ข้อมูลนำไปแก้ไขปัญหาให้ตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอยู่ ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าภูมิภาคอื่นๆ จึงต้องการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากส่วนราชการและประชาชนในพื้นที่ พบว่ามีแต่ปัญหาเดิมๆ โดยกลุ่มจังหวัด เป็นกลุ่มจังหวัดที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่สามารถใช้ได้อย่างเต็มที่ จึงต้องร่วมมือกันพัฒนา เพิ่มศักยภาพ เพิ่มโอกาส สร้างความเท่าเทียม ไปสู่กลุ่มจังหวัดที่มีการพัฒนาในด้านต่างๆ อย่างเชื่อมโยง เพื่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในกลุ่มจังหวัด
สำหรับข้อเสนอการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย
1. ด้านการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ แบ่งออกเป็นดังนี้
1.1 โครงข่ายคมนาคมทางถนน เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการค้า การลงทุน การค้าชายแดนของกลุ่มจังหวัดฯ โดยขยายเป็น 4 ช่องจราจรตลอดสาย จัดทำเกาะกลางถนน และศึกษาออกแบบเส้นทางสำคัญเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ จำนวน 12 เส้นทาง
ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมชี้แจงว่า โครงข่ายคมนาคมทางถนน จำนวน 12 เส้นทางที่กลุ่มจังหวัดเสนอ บางโครงการอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการและมีงบประมาณแล้ว บางโครงการจะได้เร่งศึกษาความเป็นไปได้ต่อไป
นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการที่ได้ดำเนินการไปต้องสร้างการรับรู้สร้างความเข้าใจต่อประชาชนและสื่อมวลชนให้รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินโครงการ ส่วนการขยายถนนขอให้คำถึงผลประโยชน์ที่ส่วนรวมจะได้รับเป็นหลัก ในเรื่องของการสร้างเกาะกลางถนน นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้ใช้แบริเออร์แทนการสร้างเกาะกลางถนน เพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการ และเพื่อประหยัดพื้นที่ถนน
1.2 โครงข่ายคมนาคมทางอากาศ ขอขยายอาคารสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี เพื่อรองรับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคอินโดจีน โดยให้เร่งรัดดำเนินการให้เร็วขึ้นจากแผนที่กำหนดไว้เดิมในปี 2565 ประกอบด้วย ขอเพิ่มลานจอดเครื่องบินเพื่อรองรับเที่ยวบินเพิ่มขึ้น และสะพานเทียบพร้อมส่วนต่อเติม รวมถึงอาคารจอดรถยนต์ และปรับปรุงต่อเติมร้านค้า พร้อมขอให้ปรับปรุงและต่อเติมอาคารที่พักผู้โดยสาร จุดตรวจค้นรถยนต์และจุดตรวจค้นบุคคล โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมกล่าวชี้แจงว่า การขอขยายอาคารสนามบินอุบลราชธานีบางส่วนได้ดำเนินการแล้ว ในส่วนการจัดทำอาคารผู้โดยสารใหม่จะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2565 ส่วนการปรับปรุงอาคารจอดรถจะดำเนินการในปีงบประมาณ 2563
สำหรับการเร่งรัดศึกษาสนามบินมุกดาหารและสนามบินเลิงนกทานั้น จะเร่งดำเนินการศึกษาและนำผลมาพิจารณาความเป็นไปได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณาต่อไป
1.3 โครงข่ายคมนาคมทางราง ขอให้เร่งรัดศึกษาโครงการรถไฟทางคู่วารินชำราบ-ช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี และเร่งรัดศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการรถไฟจากสถานีวารินชำราบ-อำนาจเจริญ-เลิงนกทา เชื่อมโครงการรถไฟทางคู่ “บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม” เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวทางด้านตะวันออกของภาคอีสานกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวชี้แจงว่า ได้ดำเนินการศึกษาและบรรจุอยู่ในแผนการดำเนินการแล้ว
2. ด้านการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ขอรับสนับสนุนโครงการการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร จำนวน 40 โครงการ และการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย จำนวน 5 โครงการ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติกล่าวชี้แจงว่า โครงการต่างๆ ที่กลุ่มจังหวัดเสนอสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์น้ำ และอยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ในแผนแล้ว
3. ด้านการยกระดับการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เพื่อยกระดับการผลิตและการแปรรูปผลผลิตด้านเกษตรไปสู่การเป็น Smart Farmer จึงขอรับการสนับสนุนโครงการจำนวน 3 โครงการ ดังนี้ 3.1 โครงการก่อสร้างโรงงานต้นแบบด้านการแปรรูปสินค้าเกษตร นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาเรื่องงบประมาณในการทำโครงการก่อสร้างโรงงานต้นแบบ โดยเฉพาะโรงงานด้านการแปรรูปเนื้อสัตว์ ส่วนด้านเครื่องดื่มและเครื่องสำอาง มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์ศึกษาความเป็นไปได้ เน้นผลประโยชน์และความคุ้มค่าเป็นหลัก 3.2 โครงการยกระดับกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ให้เป็นกลุ่มคลัสเตอร์ต้นแบบด้านเกษตรอินทรีย์ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและส่วนราชการกำหนดพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์ให้ชัดเจน กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนว่ามีพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์เท่าไร และจะขยายไปอีกจำนวนเท่าไร เน้นการทำการเกษตรอินทรีย์แบบปลอดสารพิษให้ได้จริง
4. ด้านคุณภาพชีวิต ขอรับการสนับสนุน ดังนี้ 4.1 โครงการเพิ่มศักยภาพให้บริการของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ 4.2 ขอรับการสนับสนุนและยกระดับศูนย์การแพทย์แผนไทย-พนา เป็นศูนย์การแพทย์ครบวงจรบริการคลินิกแพทย์แผนไทยเพื่อส่งเสริมสุขภาพ รักษา และฟื้นฟู ผลิต จำหน่ายยาสมุนไพรที่มีคุณภาพเน้นการใช้สมุนไพรคุณภาพดีในท้องถิ่น ยกระดับเป็นศูนย์ศึกษาพัฒนาคุณภาพด้านการแพทย์แผนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 4.3 ขอรับการสนับสนุนครุภัณฑ์ทางการแพทย์ สำหรับการพัฒนาศักยภาพโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเดชอุดม นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขรับหลักการไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และนำเสนอให้รัฐบาลพิจารณาต่อไป
5. ด้านการท่องเที่ยว กลุ่มจังหวัดมีแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมขอมโบราณ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร สถานที่สำคัญทางศาสนา รวมถึงวัฒนธรรมชนเผ่าในพื้นที่หลากหลาย แต่สภาพเส้นทางคมนาคมติดต่อบางช่วงยังเป็น 2 ช่องจราจรและไม่มีเกาะกลางถนน เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุแก่นักท่องเที่ยว จึงขอรับการสนับสนุนโครงข่ายคมนาคมรองรับการท่องเที่ยว และการพัฒนาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ขอให้จัดลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของแผนงาน อะไรที่สามารถดำเนินการได้ขอให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาไปก่อน อย่ารอให้รัฐบาลช่วยเหลือฝ่ายเดียว พร้อมกล่าวย้ำว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประชาชนขอให้เร่งดำเนินการ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนที่จะได้รับ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว พร้อมให้การสนับสนุน ในส่วนเรื่องการสนับสนุนงบประมาณจะสนับสนุนโครงการที่มีความเชื่อมโยงในกลุ่มจังหวัดเป็นหลัก เพื่อให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณแบบบูรณาการ โดยจะไม่เน้นสนับสนุนงบประมาณเพื่อหวังผลทางการเมืองให้แต่ละจังหวัดตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวในสื่อต่างๆ