รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายเผยขั้นตอนการเคาะเลือกวิธีทำไพรมารีจะทำหลังแบ่งเขตเลือกตั้งและก่อนถกพรรคการเมืองรอบ 2 ย้ำ ครม.สัญจรติดตามปัญหาและบริหารราชการ ตีมึนเรื่องดูดเป็นเรื่องส่วนตัวอย่าโยงรัฐบาล
วันนี้ (19 ก.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความชัดเจนของรูปแบบการทำไพรมารีโหวตว่า เรากำลังดูว่าจะทำอย่างไรให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำได้หลายรูปแบบ โดยเตรียมทางออกทุกทาง เช่น 1. ยกเลิกไพรมารี ในการเลือกตั้งครั้งแรก และจะนำไปใช้ครั้งต่อไป แต่อาจเสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ 2. ทำไพรมารีแบบเขต 3. ทำไพรมารีแบบจังหวัด ตามที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาล 4. ทำเป็นรายภาค ตามที่พรรคการเมืองบางพรรคเสนอมา และ 5. ไม่ทำในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ใช้วิธีอื่นให้สมาชิกมีส่วนร่วม เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ และทำอย่างเต็มรูปแบบในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแนวทางทั้งหมดเกือบเสร็จแล้ว คิดว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้ก่อนการหารือกับพรรคการเมืองรอบสอง เพราะเรารับฟังความคิดเห็นพอแล้ว และไม่จำเป็นต้องหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อีก โดยจะประสานกับเลขาธิการ กกต.เพื่อถามถึงความต้องการของกกต.ชุดใหม่ ทั้งนี้ การพิจารณาเลือกแนวทางใด คสช.จะดูว่าขัดกฎหมายหรือไม่ กกต.สามารถนำไปปฏิบัติได้หรือไม่ พรรคการเมืองให้การยอมรับและปฏิบัติได้หรือไม่ เพราะวันนี้พรรคการเมืองบางพรรคบ่นว่าไม่สามารถทำไพรมารีโหวตเต็มรูปแบบได้
นายวิษณุกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ เพราะการจะทำไพรมารีโหวตได้ต้องแบ่งเขตเลือกตั้งก่อน และเมื่อแบ่งเขตเสร็จแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเอาทั้ง 5 แนวทางไปฟังความเห็นพรรคการเมืองอีก ไม่ใช่รัฐบาลไม่แคร์หรือไม่แยแส แต่พรรคการเมืองได้สะท้อนความต้องการของตัวเองมาหมดแล้ว จึงไม่มีอะไรต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช ย้ำถามไปหลายหน อย่างไรก็ตามไม่ทราบว่าเรื่องดังกล่าวจะได้คำตอบสุดท้ายเมื่อใด
นายวิษณุยังกล่าวถึงการลงพื้นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งไม่มีการพบปะผู้นำท้องถิ่นว่า ถ้ารัฐบาลคุยกับนักการเมือง สื่อก็จะมาด่า การเมืองมันมีอยู่ 2 ภาค คือ ภาคการบริหารราชการแผ่นดิน กับภาคการเมือง ซึ่งเป็นกิจกรรมของคนที่จะเล่นการเมือง โดยอาจไปต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกัน แต่การไปลงพื้นที่ไม่ว่าจะรัฐบาลใด ถือเป็นการเมืองภาคบริหารราชการแผ่นดิน คือ ลงไปทำงาน แต่จะมีการลงไปคุยระหว่างที่ลงพื้นที่หรือที่สื่อเรียกว่าไปจีบ ดูด ถือเป็นกิจกรรมส่วนตัวของแต่ละคน จะบอกว่ารัฐบาลลงไปทำไม่ได้ แต่ปัญหาคือตัวบุคคลที่ลงไปนั้น มันซ้ำกัน ซึ่งจะเป็นปัญหามากในรัฐบาลเลือกตั้ง เช่น การวิจารณ์ว่าการที่นายกฯหาเสียง สามารถทำอะไรในเวลาราชการได้หรือไม่ได้บ้าง
“การลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจรของรัฐบาลมีเป้าหมายหลักคือ ประชุมคณะ ครม.รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน องค์กรในท้องที่ และหลังจากมีการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.สุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา จึงมีคำถามว่าเหตุใดจึงไม่ฟังเสียงของนักการเมืองและอดีตนักการเมืองบ้าง เพราะคนเหล่านี้รู้ปัญหาและรู้ว่าที่ผ่านมาทำไมถึงแก้ปัญหาไม่ได้ ซึ่งเขาสามารถเสนอแนะแนวทางให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาได้ การประชุมครม.สัญจรที่ จ.สุโขทัย จึงเป็นครั้งแรกที่มีการนัดหมายนักการเมืองมาพูดคุย นำโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนักการเมืองท้องถิ่น โดยมาประมาณ 30 คน พูดคุยกันแล้วก็จบไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ถ้าเขาจะทำกันเขาคงไม่ทำอย่างประเจิดประเจ้อ เพราะไปทำที่อื่นก็ได้ แต่ครั้งนี้ที่ไม่มีกำหนดการพบผู้นำท้องถิ่นและนักการเมือง ผมไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไร” นายวิษณุกล่าว
เมื่อถามว่าการไม่มีกำหนดการเช่นนี้เป็นเพราะรัฐบาลหลบเลี่ยงเสียงวิจารณ์หรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ไม่ทราบ อาจจะพบแล้ว รู้สึกว่าไม่ได้ประโยชน์ เพราะแต่ละคนพูดได้ไม่กี่คำ ตรงนี้ไม่ทราบ แต่ทุกครั้งที่พบกัน มีนักการเมืองมาร่วมเยอะแต่รัฐบาลมีเวลาน้อย นักการเมืองก็กลับไปบ่นว่ามาทั้งที แต่ไม่ได้พูดอะไร รู้อย่างนี้ไม่มาดีกว่า ดังนั้นจึงไม่จัดดีกว่า
เมื่อถามความเคลื่อนไหวของกลุ่มสามิตรที่พบปะตัวแทนชาวนาจะขัดกฎหมายหรือไม่ นายวิษณุตอบว่า ตนไม่ขอออกความเห็นในเรื่องนี้ ส่วนจะมีการเชื่อมโยงว่าเป็นการสัญญาของรัฐบาลหรือไม่นั้น ตนตอบไม่ถูกเพราะไม่รู้เรื่อง
นอกจากนี้ นายวิษณุยังให้สัมภาษณ์กรณีทางการญี่ปุ่นตรวจสอบพบว่าบริษัท มิตซูบิชิ ฮิตาชิ พาวเวอร์ ซิสเต็มส์ จ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ไทยประมาณ 20 ล้านบาท เพื่อแลกกับการชนะประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนในไทยปี 2556 ว่าตนเห็นเพียงจากที่เป็นข่าว แต่ไม่ทราบรายละเอียดในเรื่องดังกล่าว รู้เพียงว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงไปตรวจสอบแล้ว และไทยมีกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกนและปราบปรามการทุจริตจำนวนมาก