“ประยุทธ์” ปลื้ม! ลงพื้นที่ได้กำลังใจจากประชาชน ทำให้พร้อมเดินหน้าประเทศต่อโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ชวนเยาวชนติดตามบอลโลกเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการเล่นกีฬา แต่อย่าเล่นการพนัน
วันนี้ (15 มิ.ย.) เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงการลงพื้นที่ตามจังหวัดต่างๆ ว่า ไม่ใช่งานการเมือง แต่เข้าไปเพื่อรับฟังปัญหา และสนับสนุนอย่างใกล้ชิด ให้ตรงกับความต้องการ จัดลำดับความเร่งด่วน ความเดือดร้อน โดยจะต้องปรับแผนงานโครงการของรัฐบาลที่จัดทำไว้แล้วล่วงหน้า เพราะว่าทำจากข้อมูล ฐานข้อมูล แต่ทั้งนี้ ต้องไปฟังประชาชนด้วย
เมื่อกลับมาจากการลงพื้นที่ทุกครั้ง เราก็ได้เห็นข้อมูลใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รับทราบถึงภูมิปัญญาของพี่น้องประชาชน ความร่วมมือของพี่น้องในชุมชน ความยากลำบากของประชาชน ที่สำคัญคือ ความมุ่งมั่นตั้งใจของพี่น้องหลายคน ในการที่พร้อมจะเรียนรู้ ปรับตัว เปิดใจ เพื่อพัฒนาตนเอง พัฒนาชุมชน และเชื่อมั่นในความพยายาม การใฝ่หาความรู้ เพื่อจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด เหมือนกับเราเข้าไปซึมซับพลังบวก และมิตรภาพ
“จากแววตา จากการแสดงออกของประชาชน ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจมากยิ่งขี้น ให้กำลังใจผม คณะรัฐมนตรีทุกคน เราก็พร้อมที่จะต่อสู้กับอุปสรรค พร้อมที่จะเดินหน้าประเทศของเราไปให้เกิดความยั่งยืนให้ได้โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
นายกฯ กล่าวอีกว่า การที่ลงไปดูนั้นหมายความว่า ในเมื่อเราคิดโครงการจากข้างบนลงไป จากข้อมูลพื้นฐานของหลายกระทรวง หลายหน่วยงาน เราก็ต้องจัดทำโครงการไว้ล่วงหน้า แต่เมื่อไปพบประชาชนแล้ว เราจะเห็นความต้องการของเขา ซึ่งก็อาจจะมีตรงกัน มีบางส่วนที่ไม่ตรงกัน ส่วนที่ไม่ตรงกันถ้าลำบากมากเราก็ต้องทำให้เขาก่อน มีการปรับแผนงาน งบประมาณให้เขาให้ได้
ถ้าเร่งด่วนจริงๆ ก็อาจจะต้องหางบกลาง หรืองบอื่นๆ เติมลงไปให้ได้ มิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่ตรง ไม่ทันเวลา แต่ก็ต้องเห็นใจกันบ้าง เพราะว่างบประมาณจำนวนมาก ถ้าทำพร้อมกันทั้งหมด มันคือปัญหา แต่ต้องทำให้พื้นที่ใดก็ตามที่มีความขาดแคลน พื้นที่ที่เดือดร้อนก่อน มีความเสียหายมาก เราก็ต้องแก้ไขดูแลเขาก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
สำหรับความทั่วถึง ก็คือ ใช้งบประมาณลงทุกภาคที่มีความใกล้เคียงกัน จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะภาคใดก็ตามใน 6 ภาคของเราในปัจจุบัน งบประมาณจะใกล้เคียงกัน เพราะมีการจัดงบประมาณในทั้งภาคกลุ่มจังหวัด และในส่วนของงบบูรณาการ งบประมาณตามนโยบายเข้าไปอีก
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า เข้าสู่ช่วงเทศกาลฟุตบอลโลก ตนอยากให้ใช้โอกาสนี้ส่งเสริมให้เยาวชนได้ติดตามเพื่อเป็นแรงบันดาลใจในเรื่องกีฬา แล้วก็นำมาพัฒนาตนเอง และวงการฟุตบอลของบ้านเรา แต่สิ่งที่จะต้องตามมาควบคู่กัน เปรียบเสมือนเหรียญ 2 ด้าน ก็คือ การเล่นการพนัน ก็เป็นห่วง ต้องช่วยกันตักเตือน ให้สติ ไม่มีใครรวยจากการพนันได้หรอก เอาแค่สนุกสนาน ดูให้สนุก เชียร์ทีมที่ตัวเองชอบ แล้วก็นำมาสู่การออกกำลังกาย อย่าไปเล่นเลยการพนัน
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [15 มิถุนายน 2561]
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันนี้นั้นผมอยากจะกล่าวถึงแนวทางของการสร้างความเชื่อมโยงเศรษฐกิจฐานราก จุลภาค กับระดับประเทศมหภาคของรัฐบาลนี้ ผมขอเริ่มจากการมองย้อนถึงการวัดผลงานรัฐบาลในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา หากว่าเราดูที่ตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว จะเห็นว่าไม่มีตัวไหนที่แย่ลง มีการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้นถึง 4 ล้านล้านบาท จีดีพีโตของเราโตขึ้นมา 2 ล้านล้านบาท การส่งออก การลงทุน ความเชื่อมั่นต่างๆ ปรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเพียงแต่ว่า 4 ปีที่ผ่านมานั้น ภาคเกษตรของเรากลับลำบากมาก ไม่เหมือนกับยุคต้มยำกุ้งที่ตลาดโลกดี พืชผลทางการเกษตรก็ดี ทำให้ขายได้ ประเทศมีรายได้มาช่วยจุนเจือให้เราพ้นวิกฤตในที่สุด แต่ครั้งนี้นั้นตลาดโลกยังซบเซา และราคาสินค้าเกษตรตกต่ำมาโดยตลอด ยิ่งกว่านั้นความไม่แน่นอนในนโยบายการค้าของต่างประเทศ และความไม่สงบในหลายพื้นที่ในโลก ช่วยกันซ้ำเติม ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการในตลาดโลก อาจจะยังไม่ดีขึ้นนัก สิ่งที่รัฐบาลต้องการทำคือ ในเรื่องของการกระจายรายได้ไปยังเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้สามารถโตจากภายในได้ดีขึ้น หมายถึงว่า 1. ราคาพืชผลต้องดี 2. เศรษฐกิจต้องเข้มแข็งพร้อมปรับตัว เราไม่อาจจะพึ่งพาแต่เพียงสินค้าเกษตร เพราะราคายังผันผวนมาก รายได้ก็ไม่แน่นอน
4 ปีที่ผ่านมา โครงการช่วยเหลือของภาครัฐไปยังเกษตรกรมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6 แสนล้านบาท ส่วนเอสเอ็มอีไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านบาท แต่เป็นเพียงการประคับประคองให้เดินหน้าต่อไปได้ ไม่ได้เป็นการช่วยเหลืออย่างยั่งยืน เพื่อให้โตจากภายในได้เท่าที่ควร ทั้งนี้การจะแก้ปัญหาระยะยาวให้ได้ผลนั้น เราจำเป็นต้องเปลี่่ยนประเทศให้มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เน้นเพิ่มมูลค่าของการผลิต เน้นการพัฒนาเชิงมาตรฐาน เพิ่มคุณภาพ มีการแปรรูป มีการปรับใช้เทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มรายได้ เพื่อจะสร้างความสามารถในการแข่งขัน และหาตลาดได้ง่ายขึ้น
10 ปีที่ผ่านมาเราพลาดโอกาสหลายๆ อย่างในการพัฒนาประเทศ เพราะเปรียบเสมือนกับชีพจรของประเทศนั้นเต้นแผ่ว ประเทศในภาพรวมไม่มีเสถียรภาพ อาจจะไม่มีใครกล้าลงทุนมากนัก แม้แต่นักท่องเที่ยวก็ยังขาดความเชื่อมั่นในเรื่องความปลอดภัย วันนี้เราต้องมาพลิกฟื้น และสร้างความเข้มแข็งใหม่ ต้องช่วยกันเร่งพัฒนาศักยภาพให้ทัน ชดเชยกับโอกาสกับโอกาสที่เราสูญเสียไปแต่ทั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเราต้องทำหลายๆ อย่างพร้อมๆ กัน สิ่งที่สำคัญในวันนี้ เราต้องเร่งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กระจายลงไปจนถึงฐานราก ไปถึงประชาชน เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อยทุกกลุ่มทุกฝ่าย ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาตนเองไปด้วย อาทิ 1. ภาคการผลิตเราต้องเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ 2. โครงการขนาดใหญ่ลักษณะเช่นเดียวกับอีอีซี ที่จะเป็นฐานให้ทุกภาคการผลิตได้มีการกระจายไปทั่วทุกภูมิภาค เพื่อจะช่วยดึงดูดนักลงทุน และสร้างการจ้างงาน 3. เพิ่มโอกาสสร้างความเชื่อมโยงผ่านโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านคมนาคม ถนนหนทาง อินเทอร์เน็ต ไปจนถึงการเข้าถึงสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุน และการให้บริการต่างๆ ในพื้นที่ของภาครัฐ
ทั้งนี้ เพื่อจะให้พี่น้องเกษตรกรและชุมชนในเศรษฐกิจฐานราก สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการปรับตัว ในการพัฒนาตนเอง พัฒนาผลผลิตเพื่อสร้างรายได้ เปิดช่องทางการค้าขายของตนเอง วันนี้รัฐบาลเองได้เร่งดำเนินการสำเร็จทุกเรื่อง บางอย่างเริ่มต้น บางอย่างทำถึงระยะที่ 2 แล้ว บางอย่างต้องเดินต่อไประยะที่ 3 4 ต่อไป เพราะว่ามันเป็นการทำในเชิงโครงสร้างไปด้วย พร้อมกับการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ทุกกระทรวงต้องเข้าใจ ประชาชนต้องเข้าใจและปรับตัวเข้าหากัน ที่เขาเรียกว่า การเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ ทั้งคน กฎหมาย วิธีการดำเนินการทั้งหมด จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทั้งหมด เช่น การท่องเที่ยว เดิมเราเคยไปกระจุกตัวในเมืองหลักเท่านั้น วันนี้เราต้องไม่ให้กระจุกตัวอย่างนั้น ต้องกระจายไปยังเมืองรอง เมืองที่ติดต่อกัน เช่น แต่ละจังหวัด กลุ่มจังหวัด และภาคต้องเชื่อมโยงกับภาคอื่นๆ ด้วย
ผมขอให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ได้มีการเสนอแนะหนทางแก้ไข หรือปรับปรุงให้ดีขึ้น อะไรที่ไม่ดีก็ดำเนินการตามกฎหมาย ให้ความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ ติเพื่อก่อด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ ทั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลสามารถให้การสนับสนุนพี่น้องประชาชนได้อย่างตรงความต้องการมากยิ่งขึ้น
พี่น้องประชาชนที่รักครับ สำหรับการสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่นนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก คำว่าท้องถิ่นหมายถึง อปท. ประกอบด้วย อบจ. เทศบาล อบต. ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว สำหรับภูมิภาคนั้นในการบริหารราชการแผ่นดินจะมีส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ก็ให้เข้าใจด้วย ส่วนภูมิภาคที่เล็กที่สุดก็คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในการลงพื้นที่ของผมนั้น ประกอบไปด้วย ทั้งผม คณะรัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ก็ลงไปเพื่อจะพบปะพี่น้องประชาชน รวมทั้งได้ติดตาม และประเมินผลการทำงานของเจ้าหน้าที่ระดับผู้ปฏิบัติการ ซึ่งให้ทุกกระทรวงได้ปรับปรุงพัฒนาด้วย เพิ่มการเรียนรู้ ในเรื่องของการหลักการต่างๆ ทั้งหมดที่รัฐบาลได้ทำลงไปใหม่ พร้อมทั้งให้เข้าใจถึงกฎหมายใหม่ๆ เพื่อเขาจะได้สร้างความเข้าใจกับประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ต้องสร้างความไว้วางใจระหว่างกันทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ ทุกคนเท่าที่ผมเห็นก็ความพยายามตั้งใจการทำงานของทุกคน แม้อาจมีบกพร่องอยู่บ้าง ขอให้ทุกหน่วยงานได้มีการปรับแก้ ให้ตรงความต้องการของประชาชน ข้าราชการก็ต้องเสียสละ ต้องอดทนในการพูดคุย และเตรียมความรู้ของตนเองให้พร้อม ผมเองนั้นไม่ต้องการทำงานเพียงแค่คิดนโยบาย แล้วนั่งอยู่บนหอคอยงาช้างอย่างที่เขาว่ากัน
เมื่อเราคิดโครงการมาแล้วลงพื้นที่ไม่ทั่วถึงมันก็พัฒนายาก ที่ผ่านมาเป็นอย่างนั้น เพราะว่าอาจไปลงในพื้นที่ของฝ่ายรัฐบาลมากเกินไป พื้นที่ฝ่ายค้านไม่ได้หรือได้น้อย เพราะฉะนั้นเราได้มีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณไปสู่ภาค ไปสู่กลุ่มจังหวัด ไปสู่จังหวัด แล้วก็ท้องถิ่น ทั้งหมดคืองบประมาณที่ต้องมาเสริมกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ไม่ใช่มุ่งหวังเพียงแค่ทำกิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่งเท่านั้น การทำโครงการต่างๆ นั้นต้องทำเพื่อสอดคล้องกับภารกิจพันธกิจของหน่วยงาน ขณะเดียวกันต้องเสริมภารกิจของหน่วยงานอื่นไปด้วย อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ ปลัด อปท. ทั้งหมดนี้จะต้องมีความเข้มแข็ง เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และมีการพัฒนาต่อยอดออกไปได้ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่เท่าเทียม มันต่ออะไรก็ไม่ได้ บางพื้นที่มันขยายได้เพิ่มอาชีพ เพิ่มรายได้ บางพื้นที่มันไม่ได้ ในความต้องการพื้นฐานยังไม่ครบเลย อันนี้อาจจะเป็นข้อเสียของในช่วงการทำงานที่ผ่านมา แม้กระทั่งวันนี้ในปัจจุบัน เราไม่อยากจะกวดขันในเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องของประชาชนที่จะช่วยได้ตรงนี้ เพราะว่าวันนี้รัฐบาล คสช. กอ.รมน. ก็ได้ไปสัมผัสพื้นที่ ทั้งด้วยตัวผมเอง และหน่วยงานที่ผมกล่าวไปแล้ว ได้ไปทำงานพบปะพี่น้องประชาชนกลุ่มต่างๆ
ทั้งนี้ ไม่ใช่งานการเมือง เข้าไปเพื่อรับฟังปัญหา เข้าไปสนับสนุนอย่างใกล้ชิด ให้ตรงกับความต้องการ จัดลำดับความเร่งด่วน ความเดือดร้อน โดยจะต้องปรับแผนงานโครงการของรัฐบาลที่จัดทำไว้แล้วล่วงหน้า เพราะว่าทำจากข้อมูล ฐานข้อมูล แต่ทั้งนี้ ต้องไปฟังประชาชนด้วย
เมื่อกลับมาจากการลงพื้นที่ทุกครั้ง เราก็ได้เห็นข้อมูลใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รับทราบถึงภูมิปัญญาของพี่้น้องประชาชน ความร่วมมือของพี่น้องในชุมชน ความยากลำบากของประชาชน ที่สำคัญคือความมุ่งมั่นตั้งใจของพี่น้องหลายคน ในการที่พร้อมจะเรียนรู้ ปรับตัว เปิดใจ เพื่อพัฒนาตนเอง พัฒนาชุมชน และเชื่อมั่นในความพยายาม การใฝ่หาความรู้ เพื่อจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด เหมือนกับเราเข้าไปซึมซับพลังบวก และมิตรภาพ
จากแววตา จากการแสดงออกของประชาชน ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจมากยิ่งขี้น ให้กำลังใจผม คณะรัฐมนตรีทุกคน เราก็พร้อมที่จะต่อสู้กับอุปสรรค พร้อมที่จะเดินหน้าประเทศของเราไปให้เกิดความยั่งยืนให้ได้โดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
การที่ลงไปดูนั้น หมายความถึงว่า ในเมื่อเราคิดโครงการจากข้างบนลงไป จากข้อมูลพื้นฐานของหลายกระทรวง หลายหน่วยงาน เราก็ต้องจัดทำโครงการไว้ล่วงหน้า แต่เมื่อไปพบประชาชนแล้ว เราจะเห็นความต้องการของเขา ซึ่งก็อาจจะมีตรงกัน มีบางส่วนที่ไม่ตรงกัน ส่วนที่ไม่ตรงกันถ้าลำบากมากเราก็ต้องทำให้เขาก่อน มีการปรับแผนงาน งบประมาณให้เขาให้ได้
ถ้าเร่งด่วนจริงๆก็อาจจะต้องหางบกลาง หรืองบอื่นๆ เติมลงไปให้ได้ มิฉะนั้นแล้วก็ไม่ตรง ไม่ทันเวลา แต่ก็ต้องเห็นใจกันบ้าง เพราะว่างบประมาณจำนวนมาก ถ้าทำพร้อมกันทั้งหมด มันคือปัญหา แต่ต้องทำให้พื้นที่ใดก็ตามที่มีความขาดแคลน พื้นที่ที่เดือดร้อนก่อน มีความเสียหายมาก เราก็ต้องแก้ไขดูแลเขาก่อน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
สำหรับความทั่วถึงก็คือ ใช้งบประมาณลงทุกภาคที่มีความใกล้เคียงกัน จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะภาคใดก็ตามใน 6 ภาคของเราในปัจจุบัน งบประมาณจะใกล้เคียงกัน เพราะมีการจัดงบประมาณในทั้งภาคกลุ่มจังหวัด และในส่วนของงบบูรณาการ งบประมาณตามนโยบายเข้าไปอีก
ในการลงพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง 2 จ.พิจิตร และ จ.นครสวรรค์ ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ขอบคุณทุกคนที่ให้การต้อนรับ ทั้งบรรยากาศที่มิตรไมตรี ผมขอยกตัวอย่างของพลังบวกในพื้นที่ ที่ผมได้ไปพบได้ไปรับทราบมา เพื่อให้เป็นแนวคิด หรือแรงบันดาลใจให้กับพี่น้องประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน และนำไปปประยุกต์ใช้ในส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างเหมาะสม
อันนี้ จ.พิจิตร ที่เขาเรียกว่าเมืองเล็ก แต่น่ารัก บางคนเรียกเมืองทางผ่าน ที่น่าสนใจคือการขับเคลื่อนของ จ.พิจิตร ยึดหลักการระเบิดจากข้างใน ตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
การมีส่วนร่วมของประชาชน ตามกลไกประชารัฐ และไทยนิยมยั่งยืน กล่าวคือ ภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่ ได้ร่วมมือกันลงมือทำ และต้องใช้ 3 ท. คือ ทำ ทัน ที โดยไม่ได้มุ่งหวังที่จะรอรับงบประมาณ หรือความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวคิดที่รัฐบาลต้องการส่งเสริมการมีส่วนร่วม และพลังของชุมชนด้วย
ผมขอยกตัวอย่างการพัฒนาบึงสีไฟ ซึ่งน้ำในบึงแห้งขอด ในช่วงปี 2559 ก็ได้มีการตั้งกลไกประชารัฐ ในการช่วยแก้ไขปัญหา ร่วมมือกันเปิดเส้นทางน้ำ มีการกำจัดผักตบชวา จนทำให้แม่น้ำที่เคยแห้งขอด และอุดตัน ได้ไหลผ่านตลอดทั้งสาย 127 กิโลเมตร เปิดทางน้ำให้เข้ามาเติมในบึงสีไฟได้
ทำให้เราได้เห็นถึงความร่วมมือ ระหว่างองค์กรเครือข่ายภาครัฐ และภาคประชาชน เช่น จังหวัดคุณธรรม โรงเรียนผู้นำตามรอยพ่อ ชมรมผู้สูงอายุ ชมรมคนรักในหลวง ชมรมดูนกพิจิตร กลุ่มคนพิจิตรได้คืนชีวิตให้กับบึงสีไฟ เหล่านี้เป็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแล้ จนส่งผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมดังกล่าว
สำหรับในส่วนของรัฐบาลเองนั้น ก็ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณ มากกว่า 300 ล้านบาท ในการขุดลอกบึงสีไฟ ระยะแรก และงบประมาณการก่อสร้างทางจักรยานรอบบึงสีไฟ ระยะทาง 12 กิโลเมตร อีกราว 65 ล้านบาท
หากแล้วเสร็จ จะทำให้บึงสีไฟ จากเดิมกักเก็บน้ำได้ ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถเป็นแก้มลิง กักเก็บน้ำเพิ่มขึ้น ได้มากถึง 12 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มถึง 10 ล้านลูกบาศก์เมตร แล้วเราก็จะมีมีเลนจักรยาน ที่เป็นเส้นทางธรรมชาติ สวยงามและปลอดภัย อีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย
สิ่งที่คาดหวังต่อไปก็คือ การเตรียมความพร้อมสู่การพัฒนายกระดับบึงสีไฟ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และแหล่งเพาะพันธ์สัตว์น้ำที่สำคัญของประเทศ จะมีการก่อสร้าง ปรับปรุง และพัฒนาอาคารพิพิธภัณฑ์จระเข้ รวมไปถึง การปรับปรุงอาคารพิพิธภัณฑ์จัดแสดงพันธุ์ปลาอาคาร 9 เหลี่ยม เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้สมบูรณ์แบบ ซึ่งต้องใช้งบประมาณ อีกส่วนหนึ่ง ราว 500 ล้านบาท ก็ทยอยดำเนินการไป
สำหรับการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตร ก็จะเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่จะแสดงออกถึงความร่วมมืออย่างเข้มแข็งและน่าชื่นชม ของภาคประชาชน โดยเริ่มจากการที่นายรักกี้ สุขประเสริฐ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 ตำบลย่านยาว ร่วมกับแกนนำชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่งนะครับ ได้มีการพัฒนาแม่น้ำพิจิตร ด้วยการทำความสะอาดและนำน้ำลงมาเติมให้กับแม่น้ำอย่างต่อเนื่อง
โดยการผันน้ำจากคลอง และปรับปรุงอาคารบังคับน้ำดงเศรษฐี ที่กั้นระหว่างแม่น้ำน่าน กับแม่น้ำพิจิตร จนทำให้น้ำจากแม่น้ำน่าน ไหลเข้าแม่น้ำพิจิตรได้เป็นครั้งแรก ในปี 2560 ซึ่งก็ก่อให้เกิดความตื่นเต้น และความหวังในใจประชาชน ใน 4 อำเภอ 13 ตำบล สองฝั่งแม่น้ำพิจิตร ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า เป็นสายน้ำแห่งความหวัง ที่จะนำมาซึ่งคุณภาพชีวิต ไม่ใช่แค่เพียงของชาวพิจิตร แต่กับชาวไทยในพื้นที่ตอนล่างของลุ่มน้ำนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ต่างก็ตื่นตัวในการพัฒนาแม่น้ำพิจิตร จนมีการก่อตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำที่ใช้ชื่อว่า ขุนศึกลูกพ่อปู่ กอบกู้แม่น้ำพิจิตร ขึ้น ประกอบด้วย ตัวแทนจากทุกภาคส่วน รวมถึงคณะสงฆ์ ที่เข้ามาร่วมหารือ และวางแผนงาน โดยใช้งบประมาณจากการบริจาค และการประมูลพระเครื่อง
ทั้งนี้ งานหลักของกลุ่มขุนศึกฯ ก็คือ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนผู้เกี่ยวข้องกับแม่น้ำพิจิตร ให้มีความตระหนักรู้ ถึงความเปลี่ยนแปลงในด้านดี ที่กำลังเกิดขึ้นกับแม่น้ำพิจิตร ซึ่งต้องการความเสียสละจากภาคประชาชนมากพอควร ทั้งการเสียสละจากความสะดวกสบาย จากการใช้ทางข้ามที่ถมแม่น้ำ การเสียสละที่ดินที่รุกล้ำลงไปในแม่น้ำ และการสละแรงกายเพื่อช่วยเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการฟื้นฟูแม่น้ำ
ทางกลุ่มก็ได้รายงานสภาพน้ำ ปัญหาต่างๆ และการสำรวจเพื่อการขุดลอก รวมถึงขอให้ชาวบ้านร่วมมือเปิดทางข้าม วางท่อลอด และยกย้ายบ้านที่รุกล้ำลงไปกีดขวางทางน้ำ ก็จะทำให้น้ำไหลได้สะดวกขึ้น กล่าวได้ว่าเป็นโครงการที่อาศัยพลังประชาชนเป็นหลัก
ทั้งนี้ โครงการขุดลอกแม่น้ำพิจิตร ในระยะต่อไป รัฐบาลได้เข้ามาสนับสนุนผ่านการบูรณาการความร่วมมือ ระหว่างสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมทรัพยากรน้ำสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 9 กรมชลประทาน กอ.รมน.จังหวัด ท้องที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการขุดลอก ซ่อมแซมและติดตั้งระบบของประตูระบายน้ำดงเศรษฐีให้มีรากฐานมากยิ่งขึ้น ใช้งานได้ 100% และจะทำประตูระบายน้ำทุกจุดเพื่อจะผันน้ำสู่ระบบนิเวศวิทยาของแม่น้ำพิจิตร เป็นเงิน 380 ล้านบาท
นอกจากปลัดชุมชนที่ช่วยกันขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม และตรงกับความต้องการของประชาชนแล้วนั้น ผมยังมีความประทับใจในความมุ่งมั่นในการนำความรู้มาพัฒนาพื้นที่ และช่วยเหลือชุมชน ผมรับทราบถึงปราชญ์ชาวบ้านใน อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์ คือคุณสุพจน์ โคมณี เป็นผู้น้อมนำศาสตร์พระราชามาปรับใช้ เพื่อปรับปรุงการผลิตพืชผลให้มีคุณภาพและลดต้นทุน จากเดิมที่ปลูกข้าวและทำไร่ข้าวโพด ใช้หลักพึ่งพาธรรมชาติ แต่ด้วยฤดูกาลที่ไม่แน่นอน บางปีน้ำหลาก บางปีน้ำแล้ง การเพาะปลูกที่ผ่านมาจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก
ทั้งนี้ คุณสุพจน์ ซึ่งผ่านการฝึกอบรมการนำเกษตรผสมผสานจึงทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนทัศนคติและวิธีเกษตรกรรม จากที่เน้นปริมาณผลผลิตเพื่อการค้าขาย เป็นแบบพึ่งต้นเอง เพื่อบริโภคในครัวเรือนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คุมพื้นทีเพาะปลูก ริเริ่มทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ รวมทั้งซื้อที่ดินเพิ่ม 20 ไร่ และแบ่งที่ดินเป็นสัดส่วนตามหลักการ 30 30 30 และ 10 กล่าวคือ นาข้าว 6 ไร่ น้ำ 6 ไร่ ไม้ผล 6 ไร่ ที่อยู่อาศัย พืชผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์ 2 ไร่ จนในที่สุดทำให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้น มีผลผลิตเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน หรือแลกเปลี่ยนผลผลิตแบ่งปันเพื่อนบ้าน ส่วนที่เหลือก็นำไปขาย จนสามารถชดใช้หนี้สินกู้ยืมมาหมดภายใน 4 ปี
นอกจากนี้ สิ่งที่เรามาปรับใช้ยังมีอีกมากมาย เช่น การเพาะปลูกที่เน้นปลูกข้าวอินทรีย์ โดยใช้ปุ๋ยหมัก และน้ำหมักชีวภาพเพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนการผลิต อีกทั้งปลอดภัยต่อตนเองและผู้บริโภคด้วย
สำหรับการปลูกข้าวใช้วิธีตีตารางในการปักดำข้าวในแปลงนา ให้มีช่องห่างและระยะพอดี เพื่อให้ปลาที่เลี้ยงในนาหากินได้ง่าย โดยจะปล่อยปลาประมาณ 500 - 800 ตัว/ไร่ รวมถึงการทำนาด้วยน้ำบาดาล ซึ่งมีสนิมเหล็กที่เป็นอันตรายต่อพืช จึงต้องทำให้ตกตะกอนก่อน ด้วยการสูบน้ำและนำมาพักในบ่อ และทำทางให้น้ำไหล และม้วนตัวเป็นระยะทาง 200 เมตร ให้สนิมเหล็กตกตะกอน เป็นต้น
อีกสิ่งที่สำคัญ คือ การพลิกฟื้นผืนดิน โดยคุณสุพจน์ พิสูจน์ให้เห็นว่า พื้นที่ที่เคยประสบปัญหา เราสามารถปรับปรุงเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ โดยหมู่บ้านหนองข่อย ประสบปัญหาน้ำท่วมและไม่มีน้ำใช้ในฤดูแล้ง และยังมีปัญหาดินเสียเนื่องจากเกษตรกรรายเก่าใช้สารเคมีทำการเกษตรมาก คุณสุพจน์ จึงเริ่มแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยการทำคันดินสูง 3 เมตรแก้ปัญหาน้ำขาดแคลนฤดูแล้ง ด้วยการสูบน้ำบาดาลมาใช้ในพื้นที่ และนำแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่มาใช้ในการวางแผนผังของพื้นที่ และทำการเกษตรแบเคลือบปูน และบริหารจัดการน้ำด้วยการวางระบบน้ำไหลวนรอบพื้นที่ เริ่มจากบ่อพักผ่านไปยังพื้นที่เลี้ยงไก่ เป็ด และใช้มูลไก่และเป็ดเพิ่มธาตุอาหารกับน้ำ และยังบริโภคไข่ได้ด้วย โดยน้ำจะอยู่ตรงพื้นที่นี้ 7 วัน และจึงปล่อยสู่บ่อพัก ก่อนจะปล่อยไปยังพื้นที่ทำการเกษตร และพื้นที่นาข้าว บ่อเลี้ยงปลา
สำหรับการเลี้ยงปลานั้น จะเป็นการเลี้ยงปลาแบบห่วงโซ่อาหาร โดยเลียนแบบระบนิเวศ โดยช่วงแรกคุณสุพจน์ใช้ข้าวเปลือกในการเลี้ยงปลา แต่พอเห็นปลาโตช้า จึงนำปลาที่เลี้ยงมาผ่าท้องดู จึงรู้ว่าในท้องปลามีหอยโข่ง เลยเลี้ยงหอยโข่งเพื่อเป็นอาหารของปลา และปล่อยน้ำให้ไหลเวียนไปยังบ่อพัก ส่วนผลผลิตที่เหลือจากการสีข้าว เช่นน้ำข้าว นำมาเป็นอาหารให้ไก่และเป็ด ส่วนแกลบนำมาปูในเล้าไก่ ส่วนที่นำไปปูในเล้าไก่เสร็จแล้ว จะนำไปเป็นปุ๋ยปลูกต้นไม้ต่อไป
เห็นได้ว่า การทำเกษตรกรรมของคุณสุพจน์ ทั้งหมดนั้น เน้นการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ และทรัพยากรที่อยู่ในพื้นที่อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ผมคิดว่าภูมิปัญญาของพี่น้องประชาชน พี่น้องเกษตรกรที่เป็นทุนอยู่แล้วขึ้นกับการนำมาปรับใช้แต่ละขั้นตอน ครบวงจร เพื่อจะเพิ่มผลผลิตและรายได้ ที่มีปัญหาสามารถพลิกฟื้นให้ผลผลิตได้มากขึ้น เพื่อให้รายได้พี่น้องเกษตรกร ผมอยากให้นำเป็นตัวอย่าง เป็นแรงบันดาลใจให้กับพี่น้องเกษตรกรนำไปประยุกต์ต่อสู้ปัญหาทางธรรมชาติ รวมถึงปัญหาราคาสินค้าเกษตรผันผวน
คุณสุพจน์ เป็นหนึ่งในปราชญ์ชาวบ้านหลายๆ ท่าน ที่เรามีอยู่ทั่วประเทศ ที่เราสมควรขยายผล นำความรู้ ความเข้าใจต่อพื้นที่ ผืนดิน และภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ไปใช้ในวงกว้างต่อไป อันนี้ เป็นไปตามแนวทางสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้วย ที่ทรงมีพระราโชบายให้มีการสืบสาน รักษา และต่อยอด สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานให้เรามาหลายสิบปีมาแล้ว
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ภาครัฐเอง ก็พร้อมสนับสนุนการปรับตัวของพี่น้องประชาชนในทุกมิติ เป็นต้นทาง จนถึงปลายทาง และมีการวางแผนเพาะปลูกให้เหมาะสมต่อพื้นที่ มีทั้งเรื่องน้ำ เรื่องดิน เรื่องความเหมาะสมการปลูกพืชชนิดต่างๆ และมีการให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะนำไปใช้ในการผลิต รวมแปลงเป็นแปลงใหญ่ มีการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ การช่วยเหลือด้านปุ๋ย และการเก็บเกี่ยว รวมถึงการแปรรูปด้านผลผลิต ด้วยการหาตลาด รวมถึงด้านการขนส่ง
ทั้งนี้ เพื่อลดต้นทุน ลดระยะเวลาที่ผลผลิตจะถึงมือผู้บริโภคด้วย และในเรื่องเงินทุน ภาครัฐมีการสนับสนุนหลายรูปแบบ อาทิ การเข้าถึงสินเชื่อ และเงินอุดหนุนให้พี่น้องเกษตรกรมีเงินทุนและสภาพคล่อง เมื่อประสบปัญหาภัยธรรมชาติ กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เรามีทุน 2,900 ล้านกว่าบาท ไปอำนวยการต่อ โดยจูงใจให้เกษตรกรมาลงทะเบียน ปลูกพืชผลตามประเภทและที่รัฐแนะนำ เมื่อเกิดปัญหาในอนาคต ไม่ว่าราคาจะตกต่ำ หรือเกิดภัยธรรมชาติจะได้รับการช่วยเหลือจากกองทุนนี้ มาตรการเหล่านี้จะเข้าไปช่วยอุดหนุน หรือช่วยเหลือเกษตรกรเมื่อประสบปัญหาต่างๆ โดยที่ทางราชการไม่สามารถเข้าไปควบคุมแต่เริ่มแรก ที่ผ่านมา เราใช้เงินส่วนนี้มากกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี แต่การช่วยเหลือตามแนวทางกองทุนนี้ จะประหยัดกว่า และเป็นการแก้ปัญหายั่งยืนด้วย
นอกจากนี้ กองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ 75,000 กว่ากองทุน ตามโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ ซึ่งการลงทุนมีการร่วมมือกัน เช่น โครงการท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำแก้มลิงทุ่งคลองพัน เกิดจาก 8 กองทุนๆ ละ 500,000 บาท รวมแล้วก็ 4 ล้านบาท เงินก้อนโตขึ้น ก็ลงทุนทำอะไรได้มากขึ้น เรื่องการปรับภูมิทัศน์สวนสาธารณะ อ่างเก็บน้ำ จัดหาแพกลางน้ำ จักรยานน้ำ และการจัดพื้นที่เช่า ทำร้านขายสินค้า ร้านอาหาร เป็นต้น
อีกช่องทางเพื่อสนับสนุนการปรับตัวของพี่น้องทางเศรษฐกิจในระดับฐานรากก็คือ การหาตลาดโดยอาศัยเทคโนโลยีและการเข้าเชื่อมโยงกับห่วงโซ่คุณค่า ยกตัวอย่าง Thaitrade.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสินค้าออนไลน์สำหรับคนตัวเล็ก ที่จะช่วยให้คนตัวเล็กมีโอกาสเติบโตได้ ช่วยให้รายย่อยนำสินค้ามาขายให้กับผู้บริโภค ดึงแบงก์ ลอจิสติกส์ เข้ามาช่วยเรื่องการจ่ายเงินและการจัดส่งสินค้า
ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการอยู่เกือบ 25,000 ราย โดยจะผลักดันให้เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ราย ภายใน 3 ปี และเพิ่มมูลค่าการค้าขายผ่านเว็บไซต์ ที่มีอยู่ประมาณ 5,000 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาท ภายในปีหน้า ซึ่งต่อไป "ชอปครบ จบในคลิกเดียว" ที่จะเป็นการขายออนไลน์แบบ B2C หรือ "ธุรกิจถึงผู้บริโภค" โดยได้รวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการรายย่อยมาให้เลือกซื้อได้ โดยตรง มีระบบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต - เดบิต ทุกธนาคาร และยังมีระบบลอจิสติกส์หลายรายเข้ามาร่วมในการจัดส่งสินค้า ซึ่งจะทำให้สินค้าจากผู้ประกอบการรายย่อยค้าขายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เว็บไซต์การค้าขายออนไลน์จะช่วยให้คนตัวเล็กอย่างเกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย ที่อยู่ห่างไกลได้มีโอกาสในการขายสินค้าแบบออนไลน์ ขจัดข้อจำกัดด้านระยะทางลงไป หลายคนคงได้เห็นตัวอย่างจากประเทศจีนมาบ้างแล้ว ตอนนี้เราได้เริ่มต้นแล้ว ต่อไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าไปช่วยขับเคลื่อน ทั้งค้นหาสินค้า พัฒนาสินค้า เพื่อนำเข้ามาขายออนไลน์ ให้ได้เพิ่มขึ้น และผมมั่นใจว่าเราจะทำได้สำเร็จเช่นกัน สรุปว่า ดิจิตอลเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับโลกในอนาคต ซึ่งเป็นที่มาของนโยบายไทยแลนด์ 4.0
ส่วนในด้านการตลาด นอกจากตลาดประชารัฐแล้ว การจัดนิทรรศการระดับชาติ ก็จะเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ที่ส่งเสริมการขาย การเข้าถึงสินค้า การจับคู่ทางธุรกิจ เป็นต้น โดยงาน OTOP Midyear 2018 ภายใต้ธีมงาน "เอกลักษณ์จากเสน่ห์วิถีไทยนิยม" ระหว่างวันที่ 9 - 17 มิถุนายนนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี ก็จะเป็นอีกโครงการที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ ให้กับพี่น้องประชาชน โดยการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ให้สามารถพัฒนา และยกระดับผลิตภัณฑ์ การบริการ ให้มีมาตรฐานและเข้าสู่การแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งตลาดท้องถิ่น ตลาดภูมิภาค ตลาดต่างประเทศ และตลาดออนไลน์ หรือการซื้อขายผ่านระบบ e-Commerce ที่เป็นเทรนด์ใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลนี้เข้าไปสนับสนุนในกลไกระดับชาติ เพื่อให้เกิดการบูรณาการกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง อย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 2546 - 2557 มีสถิติการเติบโตเฉลี่ยราวร้อยละ 11 แต่เมื่อรัฐบาลนี้เข้ามาบริหารจัดการใหม่ สนับสนุนอย่างเต็มที่ ช่วยให้อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ในระดับร้อยละ 22 ในปีที่ผ่านมา มียอดการจำหน่ายมากกว่า 153,000 ล้านบาท เฉพาะช่วงแรกของปีนี้ มียอดการจำหน่ายมากกว่า 116,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปีที่แล้ว ซึ่งก็ย่อมจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจฐานราก มีการกระจายตัวของรายได้มากขึ้นอีกด้วย
ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ และผู้ที่สนใจ ช่วยอุดหนุนสินค้าพื้นบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น งานฝีมือของคนไทยด้วย ทราบว่า 4 วันแรกของงาน มียอดการจำหน่ายสินค้ากว่า 500 ล้านบาท มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 170,000 คนแล้ว ก็น่าดีใจแทนผู้ผลิตของเราจริงๆ
ผู้ผลิตบางส่วน อาจยังไม่มีนามบัตรใช้ ก็ทำให้การทำการติดต่อซื้อขายในอนาคตติดขัด ผมก็ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า ท่านสามารถปรับตัวไปใช้ LINE ใช้ QR Code ก็ได้ จะได้ติดต่อธุรกิจกันได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดในโลก เพราะเป็นยุคไทยแลนด์ 4.0 แล้ว
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องที่เรากำลังพัฒนาอยู่ทั้งสิ้น ผมขอฝากพี่น้องข้าราชการในพื้นที่ ทั้งส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น จะต้องรู้ทั้งหมดที่ผมพูดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ว่ารัฐบาลทำอะไรไปบ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่งานของตัวเองก็ตาม ทั้งนี้ พวกท่านจะได้ใช้โอกาสไปสร้างความเข้าใจเวลาชาวบ้านถาม ไม่ใช่เกษตรก็ตอบได้แต่เกษตร พาณิชย์ก็ตอบได้แต่ค้าขาย ไม่ใช่ ทุกคนต้องรู้ในลักษณะของการบูรณาการว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไปแล้ว แล้วจะเชื่อมกันอยู่ตรงไหน ประชาชนจะเข้าได้ช่องทางไหน อาทิ ในช่วงที่เรามีการตั้งราคากลางข้าว สมมตินะครับ
เพราะฉะนั้นประชาชนต้องรู้ว่าข้าวหอมมะลิเป็นยังไง ข้าวขาวเท่าไหร่ ข้าวเหนียวเท่าไหร่ เพื่อเกษตรกรได้ตัดสินใจเองว่า เขาจะขายดีหรือไม่ ถ้าราคามันยังต่ำ เขาก็เอาไปจำนำยุ้งฉาง ฝากไว้กับธนาคาร ธ.ก.ส.เมื่อเขาพอใจ ราคาข้าวก็สูงขึ้น ก็จึงจะนำออกมาขาย ที่ผ่านมาหลายพื้นที่ บางคนอาจจะไม่ทราบตรงนี้ ต้องลงรายละเอียดให้มากยิ่งขึ้น ไม่งั้นที่เราทำไปทั้งหมด มันก็มีทั้งคนได้ คนไม่ได้ คนได้ก็พอใจ คนไม่ได้เขาก็เสียใจ เขาไม่ได้เพราะอะไร เขาไม่เข้าใจ หรือไม่รู้ ไม่รับทราบ ไปถามคนนี้ก็ตอบไม่ได้ ถามอีกพวกก็ตอบไม่ได้ เราไม่สามารถที่จะทำให้ประชาชนรู้พร้อมกันได้ทั้งหมด แต่ข้าราชการในท้องถิ่น ในพื้นที่ ผมขอฝากกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อปท. อบต. เทศบาล ทั้งหมดนั่นล่ะครับ ท้องถิ่นเป็นผู้ที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ท่านต้องรู้ทุกเรื่องที่รัฐบาลทำ ท่านต้องรู้ทุกช่องทาง ท่านต้องรู้ถึงโอกาส และรู้ถึงการแก้ปัญหาของรัฐบาลนี้ เพื่อท่านจะเชื่อมต่อความต้องการของประชาชนมาให้ถึงรัฐบาลได้
สุดท้ายนี้ เมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลฟุตบอลโลก ผมก็อยากให้ใช้โอกาสนี้ส่งเสริมให้เยาวชนของเราได้ติดตาม เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในเรื่องกีฬา แล้วก็นำมาพัฒนาตนเอง และวงการฟุตบอลของบ้านเรา แต่สิ่งที่จะต้องตามมาควบคู่กัน เปรียบเสมือนเหรียญ 2 ด้าน ก็คือ การเล่นการพนัน ผมเองก็เป็นห่วง ต้องช่วยกันตักเตือน ให้สติ ไม่มีใครรวยจากการพนันได้หรอกครับ เอาแค่สนุกสนาน ดูให้สนุก เชียร์ทีมที่ตัวเองชอบ แล้วก็นำมาสู่การออกกำลังกาย อย่าไปเล่นเลยการพนัน ไม่มีใครรวยจากการพนัน ผมขอย้ำอีกที ยิ่งกว่าโจรปล้นอีก แล้วก็เป็นหนี้เป็นสินเขา มีการติดตามทวงหนี้ แล้วก็เป็นภาระแก่เจ้าหน้าที่ในการดำเนินคดีลงโทษอีกมากมาย และหลายคนก็จะเสียโอกาส โดยเฉพาะเด็กนักเรียน เยาวชน
ผมขอฝากเตือนสติพวกเราทุกคน พี่น้องประชาชน เยาวชน ลูกหลาน อย่าไปเกี่ยวข้องเล่นการพนันเลย ต้องช่วยกัน ไม่อย่างนั้นทุกคนก็กลับมาโทษรัฐบาล เจ้าหน้าที่ก็ทำงานไม่ไหวหรอก เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันให้เหลือคนทำผิดให้น้อยลงหน่อย เราก็จะได้กวาดล้าง ได้ดำเนินคดีได้อย่างจริงจัง
โบราณเขาสอนไว้ว่า “ไฟไหม้บ้าน 10 ครั้งยังไม่เท่าเสียพนัน เพียงครั้งเดียว” ก็อยากหยิบยกมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจในช่วงท้ายรายการนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุขในการชมฟุตบอลโดยไม่เล่นการพนัน
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เดินทางปลอดภัย สวัสดีครับ