“สนธิรัตน์” โชว์ผลงาน 6 เดือนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากสำเร็จตามเป้า เผยดันราคาสินค้าเกษตรทำนิวไฮหลายตัว ข้าวหอมมะลิ มันสำปะหลัง สูงสุดรอบ 10 ปี แก้ปัญหาปาล์มราคาตกได้ ทุเรียน ลำไยราคาพุ่ง เผยยังช่วยคืนชีพโชวห่วยดันเป็นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ แก้ปัญหาปากท้องผู้มีรายได้น้อย พร้อมปั้นคนตัวเล็กให้มีโอกาสด้วยการค้าออนไลน์ ระบุยอดส่งออกรุ่งไม่แพ้กัน โตสุด 7 ปี แถมปลดบัญชีดำสหรัฐฯ จาก PWL เหลือแค่ WL ได้ในรอบ 10 ปี
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการแถลงผลงาน 6 เดือนของกระทรวงพาณิชย์ว่า กระทรวงพาณิชย์ประสบความสำเร็จในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามที่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ในช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยเฉพาะการสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายรัฐบาล สามารถผลักดันราคาสินค้าเกษตรหลักหลายตัวทำสถิติราคาสูงสุด และช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋าให้แก่เกษตรกร โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ปัจจุบันอยู่ที่ตันละ 18,700 บาท เพิ่มจากเดิมตันละ 12,000-14,000 บาท เป็นราคาที่สูงสุดในรอบ 10 ปี ส่วนข้าวเปลือกเจ้าเฉลี่ยตันละ 8,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรพอใจ และเกษตรกรหลายรายได้แต่บ่นเสียดายว่าขายข้าวเร็วไป เพราะถ้ารู้ราคาจะดีอย่างนี้เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า
“ราคาข้าวที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลจากการทำงานอย่างหนักของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งการระบายข้าวในสต๊อกจนหมด และยังเร่งทำตลาด ทั้งผลักดันการส่งออกในรูปแบบรัฐต่อรัฐ ผลักดันให้เอกชนส่งออก และล่าสุดชนะการประมูลขายข้าวให้กับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ จนทำให้ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้น กลับมาเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งได้ และเพื่อที่จะรักษาระดับราคาข้าวให้ทรงตัวได้ต่อไป กระทรวงฯ กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนผลักดันทั้งระบบ และจะเสนอนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พิจารณาภายในเดือน มิ.ย.นี้” นายสนธิรัตน์กล่าว
สำหรับราคามันสำปะหลัง เป็นครั้งแรกที่ราคาสูงถึงกิโลกรัม (กก.) ละ 3.20 บาท เทียบกับปีก่อน กก.ละ 1.7 บาท สูงสุดในรอบ 10 ปีเช่นเดียวกัน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาอยู่ที่กก.ละ 9.5-9.7 บาท ราคาหน้าโรงงานสูงกว่า กก.ละ 10 บาท ขณะที่ผลไม้สำคัญ เช่น ทุเรียน ราคาปรับตัวสูงขึ้นมาก สูงจนคนบ่นว่ากระทรวงพาณิชย์ทำให้ทุเรียนแพง และลำไยปีที่แล้วราคาตกต่ำมาก แต่ปีนี้ราคาปรับตัวสูงขึ้น หลังจากที่ได้เข้าไปเชื่อมโยงตลาด และผลักดันส่งออก โดยเฉพาะการขายออนไลน์เข้าสู่ตลาดจีน และกำลังอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหาอินโดนีเซียห้ามนำเข้าลำไยไทย ซึ่งจะพิจารณาห้ามนำเข้าสินค้าบางตัวจากอินโดนีเซียเพราะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อไทย
ส่วนปาล์มน้ำมัน ได้ประกาศว่าราคาจะไม่ต่ำกว่า กก.ละ 3 บาท หลังเห็นสัญญาณไม่ดีจากปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และจากนั้นได้ทำงานร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำหนดให้โรงงานสกัดต้องสกัดน้ำมันปาล์มไม่ต่ำกว่า 18% ถ้าไม่ทำปิดโรงงาน และเร่งผลักดันส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ โดยชดเชยค่าขนส่ง เพิ่มกำลังการผลิตบี 20 เพื่อดึงดูดน้ำมันปาล์ม 2.5 แสนตัน และโค่นปาล์มแก่ ปลูกปาล์มใหม่พันธุ์ดี และกำลังพิจารณาผลักดันโรงงานบีที่สกัดแต่ลูกร่วง ให้เป็นโรงงานเอ ซึ่งสามารถผลักดันให้ราคาปาล์มดิบขณะนี้เพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 4.20 บาทแล้ว
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในด้านการดูแลปัญหาปากท้องประชาชน ได้ผลักดันโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โดยเข้าไปช่วยร้านโชวห่วยที่กำลังล้มลุกคลุกคลานให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ และยังใช้เป็นกลไกในการช่วยลดค่าครองชีพให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอยู่ 11.4 ล้านคน โดยจะติดตั้งเครื่องรูดบัตรใกล้ครบ 40,000 ร้านภายในเดือนนี้ และปัจจุบันมียอดขายกว่า 30,000 ล้านบาท ช่วยทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบสูงถึง 100,000 แสนล้านบาท และกำลังอยู่ระหว่างเพิ่มมุมสินค้าราคาถูก โดยได้เจรจากับผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น ยูนิลีเวอร์ และพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เพื่อจัดส่งสินค้าราคาถูกให้ โดยสินค้าจะถูกกว่าเทสโก้ โลตัส ถูกกว่าบิ๊กซี และยังได้มีการนำสินค้าจากเกษตรกร ผู้ผลิตชุมชนมาจำหน่ายด้วย มีร้านค้านำร่อง 500 แห่ง ทั้งนี้ ผู้ผลิตกะปิระยองถึงกับตกใจ มียอดสั่งซื้อทีเดียวสูงถึง 7 แสนบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีแผนผลักดันให้ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเป็นโชวห่วยไฮบริด ลักษณะร้านค้าจะเหมือนกับเซเว่นอีเลฟเว่น เพื่อให้มีระบบตรวจสอบการเข้าออกของสินค้า ต่อไปจะรู้หมด ขายอะไรไปบ้าง อะไรขายดี ต้องซื้ออะไรมาเติม และยังได้แก้ไขข้อจำกัดการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยในเดือน ก.ค.นี้จะสามารถใช้บัตรโดยใช้ผ่านแอปพลิเคชันในการซื้อสินค้าผ่านระบบคิวอาร์โค้ดจากตลาดสด เช่น ซื้อหมู ซื้อผัก หรือจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยว ค่าซื้อยาในร้านขายยาได้ด้วย ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาความได้เปรียบเสียเปรียบของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าที่ไม่ได้ร่วมโครงการ
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ในด้านการพัฒนาผู้ประกอบการ มีแผนผลักดันและยกระดับธุรกิจไทยด้วยเศรษฐกิจใหม่ โดยจะผลักดันให้เข้าสู่ระบบการค้าออนไลน์ สร้างแพลตฟอร์มไทยเทรดดอทคอมให้เป็นศูนย์กลางค้าออนไลน์ของประเทศ สามารถขายสินค้าได้ทั้งขายส่งระหว่างประเทศ ขายปลีกระหว่างประเทศ และซื้อขายภายในประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการไทยมีช่องทางในการขายสินค้าเพิ่มขึ้น และยังได้เชื่อมโยงไปยัง Tmall.com และแพลตฟอร์มอื่นๆ ส่วนผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มต้นหรือผู้ประกอบการท้องถิ่น ได้ผลักดันเข้าไปขายในเว็บไซต์ของดีทั่วไทย และหากเข้มแข็งแล้วก็จะดันเข้าสู่ไทยเทรดดอทคอมต่อไป
น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในด้านการค้าระหว่างประเทศ มีผลงานในการผลักดันการส่งออก โดยในช่วง 4 เดือนของปี 2561 (ม.ค.-เม.ยง) ส่งออกมูลค่า 81,780 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 11.5% สูงสุดในรอบ 7 ปี และมั่นใจว่าปีนี้จะผลักดันให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าหมายที่ 8% ได้แน่นอน โดยมีแผนที่จะดำเนินการอย่างเข้มข้น ทั้งการเร่งรัดขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดเฉพาะกลุ่มและตลาดเมืองรอง การใช้การเจรจาการค้า เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า และนโยบายหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในการขยายการค้าและการลงทุน รวมทั้งจะเร่งขยายความร่วมมือกับประเทศในกลุ่ม CLMV ซึ่งมีโครงการ YEN-D เป็นหัวหอกสำคัญ
นอกจากนี้ ยังสามารถผลักดันให้สหรัฐฯ ปรับสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยภายใต้กฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา 301 พิเศษ (Special 301) ให้ดีขึ้นจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ (PWL) เป็นบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (WL) หลังจากที่ไทยอยู่ในบัญชี PWL มาเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 ส่งผลดีต่อไทยในด้านภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นด้านการค้าการลงทุน
คำต่อคำ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลงาน 6 เดือน
ท่านสื่อมวลชน ท่านผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ วันนี้เป็นวันพิเศษ เพราะว่าผม ท่านรัฐมนตรีช่วยฯ และท่านปลัดกระทรวงฯ ก็ต้องการที่จะสื่อสารสาธารณะกับท่านสื่อมวลชนว่าเราได้ทำอะไรไปบ้างในรอบ 6 เดือนของการเข้ามาดำรงตำแหน่ง และการทำงานของเรานั้นจะเป็นข่าวออกมาตลอดระยะเวลา วันนี้ก็จะถือเป็นการประมวลภาพต่างๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการไป และอะไรที่เราประกาศเป็นนโยบาย เราได้ทำไปถึงไหนแล้ว เพื่อให้สื่อมวลชนได้เห็นภาพเดียวกันทั้งหมด และจะเปิดโอกาสให้ท่านสื่อมวลชนได้มีโอกาสซักถาม หรือถ้าติดใจข้อสงสัยต่างๆ ก็เชิญ
ผมเรียนว่า 6 เดือนของการมาทำงานที่กระทรวงพาณิชย์ โดยที่ผมเข้ามาดำรงตำแหน่ง ผมต้องขอบคุณท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ท่านชุติมา ท่านเป็นตัวนำหลัก เป็นคนปิดทองหลังพระของการทำงาน ช่วยผมทุกอย่างในการขับเคลื่อนอยู่ข้างหลัง อาจจะไม่ค่อยยอมเป็นข่าว เพราะว่าเป็นคนไม่ชอบเป็นข่าว เขายกภาระให้ผมเป็นข่าว ซึ่งบางเรื่องท่านก็เป็นคนทำ แต่ก็ใส่ชื่อผม ท่านก็เป็นกำลังที่แข็งแรงมาก และเป็นความโชคดีของผมที่มีรัฐมนตรีช่วยที่เชี่ยวชาญ รู้งาน เข้าใจงานทุกๆ เรื่อง เพราะท่านเป็นอดีตปลัดกระทรวง และยังไปเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรฯ ทำให้การเชื่อมโยงการทำงานกับกระทรวงเกษตรฯ ราบรื่น
ส่วนปลัดกระทรวงที่สวยที่สุดของประเทศไทย ก็คือปลัดนันทวัลย์ ผมดูแล้วทั้งประเทศนี่ท่านปลัดนันทวัลย์สวยที่สุด ถ้ารัฐมนตรีผู้หญิงที่สวยที่สุดใน ครม.ก็ท่านชุติมาของผมนี่ล่ะครับ ก็เป็นโอกาสดีที่เรามีทั้งรัฐมนตรีที่สวยที่สุด และมีปลัดกระทรวงที่สวยที่สุดอยู่กับเรา
ถ้าทุกท่านจำได้ วันที่ผมเข้ามารับตำแหน่ง ผมได้เคยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า ภารกิจหลักของรัฐบาลในการมอบให้กระทรวงพาณิชย์ขับเคลื่อน โดยท่านรองนายกรัฐมนตรี และท่านนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ ได้มอบเอาไว้ ผมได้บอกว่า แนวการทำงานของกระทรวงพาณิชย์ จะเน้นผลงานที่เป็นรูปธรรม อันนี้เป็นสิ่งที่พูดไว้ตั้งแต่วันแรก อันที่สองก็คือว่า เราจะบูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งวันนี้ผมคิดว่าท่านสื่อมวลชนคงจะพิสูจน์ชัดว่า 6 เดือนที่ผ่านมานั้น กระทรวงพาณิชย์ กรม กองต่างๆ เราบูรณาการกัน ผมถือว่าเป็นการบูรณาการที่ดีที่สุด ที่ผมเคยอยู่กระทรวงพาณิชย์มา ตอนเป็นรัฐมนตรีช่วยฯ และได้สังเกตการเปลี่ยนแปลง อันนี้ก็ต้องชมท่านปลัดที่ท่านช่วยเชื่อมโยงการบูรณาการของกรมต่างๆ เราทำงานเป็นภารกิจเดียวกัน เชื่อมการทำงานด้วยกัน และสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยไม่ได้มองว่าเป็นงานของกรมใด ไม่ได้ลดบทบาทว่ากรมไหนจะต้องเป็นเจ้าของงาน แต่เราเอาเป้าหมายความเป็นรูปธรรม ความสำเร็จ เป็นตัวตั้ง
เรื่องที่สามก็คือ เราจะมีการสื่อสารการรับรู้กับประชาชนควบคู่กันไป เราก็ได้ทำโดยต่อเนื่อง ซึ่งน้องๆ นักข่าวบางคนก็ต่อว่า ว่ามีแต่ข่าวแจก แจกข่าวเยอะ ก็ต้องสารภาพว่ามันไม่มีเวลาพบกัน ขอฝากไปถึงน้องๆ ที่บางทีชอบค่อนขอดผมบ้าง ค่อนขอดท่านชุติมาบ้าง ค่อนขอดท่านปลัดบ้าง ว่าพบนักข่าวหน่อยสิ อะไรๆ ก็ข่าวแจก ท่านดูให้ดีนะครับ กระทรวงพาณิชย์มีข่าวทุกวันเลย มันไม่สามารถที่จะพบนักข่าวได้ทุกวัน และถ้าท่านสังเกต อธิบดีทุกคนพยายามอย่างยิ่งที่จะสื่อสารกับท่าน ในเรื่องท่านรับผิดชอบ ภาพนโยบายของการสื่อสารสาธารณะของเราคือ อย่างเรื่องนโยบายนี่ เป็นเรื่องของทางฝ่ายนโยบาย หลายเรื่องก็เป็นเรื่องของกรม เรื่องของการปฏิบัติการนั้น ท่านอธิบดีจะเป็นผู้สื่อสารให้ข่าวกับท่านในรายละเอียด ไม่ได้ต้องการหลบหลีกหนี หรือจะไม่ให้ข่าวแต่อย่างใด แต่เป็นการแบ่งหน้าที่ในการสื่อสาร เพื่อให้การสื่อสารครอบคลุม
สำหรับเรื่องที่สี่ ก็คือว่า ผมได้เน้นว่า 1 ปีที่เหลือ (เมื่อตอนธันวาคมที่แล้ว) จะเป็นปีแห่งการปฏิรูปของรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ก็จะต้องเน้นการปฏิรูป
นั่นก็คือแนวดำเนินการที่ผมได้เข้ามาในวันแรก ที่ได้แถลงกับท่านสื่อมวลชนไป
ทีนี้ภารกิจจริงๆ ในตอนเที่เราเข้ามารับหน้าที่กัน จะเห็นว่าภารกิจหลักของกระทรวงพาณิชย์และภารกิจของรัฐบาลก็คือว่า เราจะต้องเร่งในการทำเรื่องของเศรษฐกิจฐานราก หรือที่เรียกว่า Local Economy เพราะเราต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจฐานรากนั้นเป็นปัญหาของรัฐบาล ตลอดเวลา 3 ปีกว่า เกือบ 4 ปี ที่รัฐบาลเข้ามานั้น รัฐบาลต้องแก้ปัญหาของโครงสร้างทั้งระบบบนความยับเยินทางเศรษฐกิจ อันนี้ไม่ได้ไปต่อว่ารัฐบาลใดนะครับ ย้อนหลังไปว่า เมื่อวันที่รัฐบาลท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามานั้น ประเทศไทยกำลังจะเป็น Failed State คือมันล้มเหลวทั้งระบบ มันมีความแตกแยก มันมีความเหลื่อมล้ำ มันมีกระทั่งเศรษฐกิจมหภาคเติบโต GDP ต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย Export ติดลบ ความเชื่อมั่นประเทศไม่หลงเหลืออะไรเลย การลงทุนกำลังย้ายฐานไปที่อื่นหมด นั่นคือสถานการณ์ตอนนั้น
รัฐบาลก็เข้ามาช่วยกันทำงาน โดยการที่จะแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านั้น สิ่งหนึ่งที่เป็นนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ที่นอกเหนือจากมหภาคที่จะทำแล้ว เราก็จะต้องเร่งทำเรื่องของเศรษฐกิจฐานราก หรือที่เรียกว่า Local Economy ไปด้วย
โดยเศรษฐกิจฐานรากตอนที่ได้รับเข้ามา เราก็จะเน้นในการยกระดับ ไม่ว่าจะเป็น OTOP , SMEs ที่มีอยู่ ในภาคของการค้าและบริการ ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งการจะทำอย่างไรที่จะสร้างให้คนข้างล่างนั้นมีอาชีพ สร้างรายได้ สร้างให้เกิดการหมุนเวียน
นอกจากนั้น ในการจะสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากนั้น สินค้าเกษตร คือสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องดูแล เรื่องที่สาม คือดูแลเรื่องค่าครองชีพ นั่นคือเรื่องของเศรษฐกิจฐานราก ขณะเดียวกัน เราจะเร่งความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ก็คือการรักษาโมเมนตัมของการส่งออก ซึ่งถ้าท่านจำได้ ปีที่แล้วเป็นปีที่เรากลับมาเติบโตการส่งออกได้ดีมาก ที่ 9.9 เปอร์เซ็นต์ ณ ตอนปลายปี ดังนั้น นโยบายหนึ่งตอนที่มารับตำแหน่ง คือเราจะรักษาโมเมนตัมของการส่งออกให้ดำรงเอาไว้ เพื่อที่จะให้เกิด road ในการเดินตามแผนของประเทศให้ได้
เรื่องที่ห้าที่ได้ดำเนินการ คือเรื่องของ Big Data อันนี้เป็นนโยบายรัฐบาล เพราะว่าประเทศไทยบริหารประเทศโดยขาด Big Data มายาวนาน และข้อสำคัญก็คือว่า เราจะเน้นในการพัฒนาบุคลากรของกระทรวงให้เป็นบุคลากรที่ปรับตัวจากบทบาทที่เคยเป็นแต่ regulator ให้เป็นตัวที่จะเป็น transferator ให้เท่าทันกับการสนับสนุนการค้าของประเทศไทย นั่นก็คือสิ่งที่ได้พูดเอาไว้ ณ วันที่เข้ารับตำแหน่ง พร้อมกับท่านรัฐมนตรีช่วยฯ
ทีนี้มาดูผลงาน 6 เดือนที่ผ่านมา ท่านจะเห็นว่าจากที่เราพูดนั้น สิ่งที่เราได้ลงมือทำก็คือ ในเชิงยุทธศาสตร์เราจะทำก็คือ เพิ่มความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน อันนี้เป็นสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ เรื่องที่สอง คือ เราจะเพิ่มรายได้ และหาทางลดรายจ่ายไปพร้อมๆ กัน เพื่อที่จะให้เกิดเงินในกระเป๋า เกิด wealth เกิดความมั่นคงกับพี่น้องข้างล่าง ซึ่งรู้ว่ายากลำบาก และสำคัญคือ เพิ่มคุณภาพชีวิต
สิ่งที่เราทำมี 3 เรื่องเชื่อมโยงกัน เรื่องแรกก็คือ Local Economy ที่ผมได้อธิบายแล้ว แต่เดี๋ยวจะอธิบายลงรายละเอียด ก็คือสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน จริงๆ แล้วเราได้เอาศาสตร์ของพระราชามาใช้ ก็คือ แข็งแกร่งจากภายใน หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Strength from within และสำคัญที่สุดคือการที่จะเติบโตไปข้างหน้า ต้อง Balanced Growth ในการที่จะสร้างความสมดุล เมื่อกี้ก็เพิ่งทะเลาะถกเถียงมา เรื่องข้าวโพด เรื่องอะไรต่างๆ ก็จะไปในแนวนั้นทั้งหมด คือการบริหารงานทั้งหมดจะดูทั้งระบบ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง
เรื่องที่สอง กระทรวงพาณิชย์ต้องปรับตัว เพราะขณะนี้โลกการค้าเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่กระทรวงพาณิชย์เมื่อ 30 ปีที่แล้ว มันเป็นการค้ายุคใหม่ที่เราเรียกว่า The New Economy ซึ่งความจริงแล้วท่านรองนายกฯ สมคิด ได้ตั้งสถาบัน NEA หรือ New Economy Academy มาแล้ว 2 ปี ขณะนี้กำลังยกเครื่อง เร่งสปีดในเรื่องที่สองนี้
New Economy นี้จะต้องมาทำการ Up grade และ Connect ธุรกิจเดิม ปรับตัว อันนี้สอดรับกับนโยบาย Thailand 4.0 ของประเทศไทย ซึ่ง Thailand 4.0 ตอนประกาศตัวเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก็มีคนค่อนขอดว่าไปลอก Industry 4.0 มา ฟังไม่รู้เรื่อง ชาวบ้านจะเอา 4.0 มาใช้อะไร วันนี้มาแล้วครับ Alibaba ก็มา อะไรก็มา มันกำลังพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ของรัฐบาลเรื่อง 4.0 ว่า สัญญาณนี้ส่งสู่คนไทยทั้งประเทศว่า ถ้าไม่ปรับตัว ประเทศไทยจะไปต่อไม่ได้ ดังนั้น New Economy คือหัวใจสำคัญเรื่องที่สองที่เราได้ทำ
เรื่องที่สาม แน่นอนครับ จะต้อง Connect ไปสู่โลก เพราะประเทศไทยประเทศเดียวอยู่โดดๆ ไม่ได้ มันจะต้องมองถึง Global Economy ท่านจะเห็นว่าใน 6 เดือนนี้ Global Economy มันจะแคบ เยอะแยะไปหมด อเมริการบกับจีน ต่อสู้กัน นี่ยังดีว่าไปจับมือกันที่สิงคโปร์ จบเมื่อสองวัน ถ้ายังยิงกันต่อมันก็ต้องรบอีก กระทบการค้าทั้งหมด เราจะ Connect local ผ่านกลไกของ New Economy ไปสู่ Global Economy นั่นคือทิศทางการทำงานของเราใน 6 เดือนที่ผ่านมา
ในเรื่องเศรษฐกิจฐานราก จะเห็นว่าผลงานกระทรวงพาณิชย์ในตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ต้องถือว่าเป็นการทำงานร่วมกันของข้าราชการทั้งกระทรวง และเป็นความทุ่มเทของพวกเรา
สิ่งที่เราทำสิ่งแรกก็คือ ราคาพืชผลเกษตร เป็นผลงานที่อยากจะสื่อสัมพันธ์ไปยังสื่อมวลชน พี่น้องประชาชน ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ทำทุกทาง ถึงเราจะเป็นกระทรวงปลายน้ำที่ต้องดำเนินการ แต่เราได้ทุ่มเททุกอย่าง ปีนี้เราทำ New high ของสินค้าหลักๆ ที่กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบ ได้อย่างเป็นประวัติศาสตร์ เช่น ข้าว ปีนี้ข้าวหอมมะลิราคาตอนนี้ทะลุไปถึง 18,000 จากแต่เดิมต้วมเตี้ยมๆ อยู่ 12,0000 - 13,000 - 14,000 ปีนี้พี่น้องชาวนาที่ปลูกข้าวหอมมะลิ บ่นเสียดาย ขายข้าวเร็วเกินไป เพราะไม่คิดว่าข้าวหอมมะลิจะขึ้นถึง 18,000
อันนี้คือประวัติศาสตร์ว่า ในอดีตมันย่ำแย่ ยับเยิน กระทรวงพาณิชย์ก็อิรุงตุงนัง นัวเนีย จำนำข้าวติดคุกกันเป็นแถว ข้าวเต็มยุ้ง เต็มสตอก ก็ขอบคุณผู้บริหารรุ่นก่อนหน้านี้ที่ทุ่มเท ระบายสตอกข้าว จนกระทั่งหมดในปัจจุบัน และก็เป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้ราคาข้าวถูกยกระดับขึ้นมา เป็นกลไกหนึ่งในการปฏิรูประบบการข้าวทั้งหมด และทำให้ข้าวนั้นแพงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ข้าวขาวปีนี้ก็เฉลี่ยอยู่ที่ 8,000 บาท ก็เป็นราคาที่พี่น้องเกษตรกรพอใจ อยู่ได้ แต่ที่บ่นกับผมก็คือว่า ขายไปหมดแล้วตั้งแต่ 6,000 กว่าบาท เพราะกลัวเป็นหนี้เป็นสิน กลัวไม่มีสตางค์ ปีนี้กระทรวงพาณิชย์ก็จะรณรงค์ว่าราคาข้าวจะดีอย่างต่อเนื่อง ขอให้อย่ารีบขายไปใช้หนี้ มันก็จะทำให้พี่น้องมีรายได้ที่ดีขึ้น อันนี้เป็นคำมั่นสัญญาของกระทรวงพาณิชย์ว่า ราคาข้าวปีนี้จะดีขึ้น เรากำลังประชุมกัน เราจะทำทุกวิถีทางที่จะดำรงราคาข้าว ซึ่งเป็นหัวใจหลักของพี่น้องเกษตรกรทั้งประเทศ ให้มีราคาที่ดี และกำลังทุ่มเททำเรื่องนี้ รายละเอียดจะออกมาในเร็วๆ นี้ ผมจะทำเรื่องเสนอท่านรองฯ สมคิด สิ้นเดือนนี้ กับมาตรการข้าวทั้งหมด และจะยกมาตรฐานราคาข้าวให้ได้ อย่างน้อยให้ดีไม่น้อยกว่าปีนี้
ในเรื่องของข้าว นอกจากเราทำราคาข้าวดีแล้ว เรายังกลับมาเป็นแชมป์ส่งออกข้าวอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่สูญเสียแชมป์มาหลายปี เราเป็นอันดับ 1 ของโลก ในการส่งออกข้าวถึง 10 ล้านตันโดยประมาณ และที่น่าภูมิใจอย่างยิ่ง อันนี้ต้องชมกรมการค้าต่างประเทศ เรากลับมาทวงแชมป์ชนะประมูลข้าว ทั้งอินโดนีเซีย ทั้งฟิลิปปินส์ ซึ่งสมัยก่อนเราไม่เคยได้เลย เวียดนามเอาไปหมด อ้างว่าข้าวไทยแพง สู้ไม่ได้ ปีนี้กลับมาทวงแชมป์ ริบ จนส่งสัญญาณราคาข้าวในปีนี้ว่า ราคาข้าวจะดีขึ้น เพราะเราได้ประมูล และก็ชนะการประมูล
ข้าวโพด เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ข้าวโพดหน้าโรงงานมีราคา 10 บาทกว่า เมื่อกี้สมาคมอาหารสัตว์ก็ทะเลาะกับผมในการประชุม นบขพ. เลยเข้ามาช้า ต่อว่าผมว่าข้าวโพดแพงเกินไป แต่นั่นคือกลไกที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการ มีโชคดีครับ ผลผลิตข้าวโพดปีนี้มีน้อย เพราะว่าเสียหายไปเยอะ แต่ควบคู่กับการทำงานหนักของกระทรวงพาณิชย์ในการปราบการลักลอบการนำเข้า ทำให้เราสามารถดำรงเสถียรภาพของ supply กับ demand และยกระดับราคาขึ้นมาได้ และเป็นเป้าหมายกระทรวงพาณิชย์ที่จะรักษาเสถียรภาพของราคาข้าวโพด ทั้งที่ทราบว่าปีนี้มีการปลูกข้าวโพดเพิ่มขึ้นตามวงจรของเกษตรกร เมื่อราคาดีก็จะปลูก เรากำลังดำเนินการ ผมกับทางกระทรวงเกษตรฯ ท่านรัฐมนตรีฯ กฤษฎา ได้คุยกันแล้ว แล้วเดี๋ยวทางกรมการค้าภายในจะเป็นแม่งานหลัก จัดประชุมกับ สศก. ประชุมวางแผนผลผลิตเกษตรทั้งหมดทุกตัว เพื่อที่จะดำเนินการวางแผนตั้งแต่การผลิต register วางแผนต้นทุน เพราะฉะนั้นเกษตรกรจะเอาแต่ราคา ต้นทุนก็ไม่ดู และราคาขายเป็นหลัก ซึ่งไม่ใช่ ความคิดใหม่ที่ให้เกษตรกร คือ ต้องเพิ่มผผลลิต ต้องต้นทุนต่ำ และทำราคาขายให้มีกำไร และสามารถแข่งขันกับราคาของตลาดโลกได้ เดี๋ยวแผนนี้จะแถลงหลังจากเรื่องนี้ทำเสร็จ ท่านอธิบดีบุณยรัตน์ รับเรื่องนี้อยู่
และครั้งนี้เป็นประวัติการณ์ที่ข้าวโพดทะลุ 10 บาท พี่น้องเกษตรกรยิ้มแย้มแจ่มใส ก็มีคนต่อว่าบ้างว่าขายเร็วอีก น่าสงสารเกษตรกรขายเร็ว เพราะว่าเป็นหนี้ ต้องขายแล้ว ก็ได้น้อยแบบนั้นไป แต่เขารู้แล้วว่าปีนี้ต้องขายช้า
ที่น่าภูมิใจอีกตัวหนึ่งคือ มันสำปะหลัง เป็นครั้งแรกที่มันสำปะหลังราคาทะลุ 3.20 บาท จากสมัยก่อน 1.80 , 1.70 บาท จนกันถ้วนหน้า ปีนี้มันสำปะหลังทะลุ 3.20 บาท จนกระทั่งพี่น้องเกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังบอกว่า "มีทองคำอยู่ในดิน ชื่อว่ามันสำปะหลัง" แล้วก็ภูมิใจมาก เร็วๆ นี้จะทำอนุสาวรีย์มันสำปะหลังให้กับชุติมาที่หน้ากระทรวงฯ ก็เป็นความภูมิใจมากที่มันสำปะหลังราคาดี
นอกจากสินค้าเกษตรเหล่านี้แล้ว ตั้งแต่ปีที่แล้วถึงปีนี้เราทำงานได้ดีมากกับเรื่องของผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุเรียน เราได้ทำทุเรียนฟีเวอร์ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว มาถึงปีนี้ ปีนี้กระแทกด้วย New Economy ที่เป็น digital ที่เป็น e-Commerce ตอนนี้ทุเรียนราคาขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 30-40 บาท ตอนนี้คนกินทุเรียนกลับมาต่อว่ากระทรวงพาณิชย์ว่า กระทรวงพาณิชย์เป็นสาเหตุกินทุเรียนแพง ก็ต้องบอกว่ามันเป็นทิศทาง และขณะนี้ทั้งประเทศกลับมาปลูกทุเรียน เพราะว่าคนปลูกทุเรียนออกรถกระบะกันเป็นแถวเลย แถวจันทบุรี แถวระยอง ล้มต้นยาง ปลูกทุเรียน ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ
ทุเรียนไม่ใช่เป็นเรื่องเดียว แต่ทุเรียนควบคู่มากับกระทรวงพาณิชย์ได้ผลักดันนโยบายเรื่องของ "มหานครผลไม้แห่งโลก" เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา จะยกระดับให้ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจด้านผลไม้ของโลก มีความหมาย 4 อย่างใหญ่ๆ คือ 1. จะเป็นมหาอำนาจด้านของคุณภาพ ด้านของรสชาติ ด้านของปริมาณ 2. จะเป็นมหาอำนาจที่จะเป็น Trading Nation ด้านผลไม้ของโลก 3. จะเป็นมหาอำนาจด้าน Branding ว่าผลไม้จากประเทศไทยคือผลไม้ชั้นเลิศของโลก ไม่ใช่ขายผลไม้เป็น commodities สร้างแบรนด์ และผลไม้อะไรก็ตามที่ติดแบรนด์ made in Thailand จะต้องเป็นผลไม้ที่มีราคาแพงและต้องการทั่วโลก และ 4. จะต้องเป็นผลไม้ที่ครอง market share สูงที่สุดของโลก นี่คือวิสัยทัศน์ของมหานครผลไม้ของโลกที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และมอบให้กระทรวงพาณิชย์ และมอบให้ผมเป็นประธานผลไม้ หรือบางคนเขาแซวกันใน ครม.ว่า รัฐมนตรีผลไม้ของรัฐบาลนี้ คือดูแลผลไม้
มีผลไม้หลายตัวที่ต้องแก้ปัญหา เช่น ลำไย ปีที่แล้วลำไยตกต่ำมาก กระทรวงพาณิชย์กำลัง pro-active อันนี้ไม่ใช่ผลงานที่ผ่านมา แต่กำลัง pro-active ได้ดำเนินการในการที่จะไม่ให้ราคาลำไยตกต่ำเหมือนปีที่แล้ว ปีที่แล้วลำไยตกต่ำมาจากหลายสาเหตุ คือ ผลผลิตดีมาก ล้ง ปั๊ว กดราคา และขาดการเตรียมการที่ดี ขณะนี้กรมเจรจาการค้าฯ อันนี้เป็นความลับ แต่เขียนก็ได้ เมื่อปีที่แล้วปัญหาเกิดขึ้นจากอินโดนีเซียไม่ให้ลำไยไทยส่งออกไปตอนต้นฤดูกาล ประมาณเดือนมิถุนายน ไปสู่มาเลเซีย โดยไม่ให้เข้าดื้อๆ ขณะนี้ท่านอธิบดีกำลังดำเนินการแล้ว สัปดาห์นี้ (เป็นความลับแต่พูดดังหน่อยก็ได้) กำลังตอบโต้อินโดนีเซีย โดยการที่จะไม่ให้อินโดนีเซียนำเข้าผลผลิตบางตัว (แต่ยังไม่เปิดเผย) ที่เขาต้องพึ่งประเทศไทย และมีมูลค่ามากพอ เราจะไม่ให้เอาเข้าเช่นกัน โดยกำลังออกมาตรการไม่อนุญาตให้เข้าประเทศไทย เราจะตรวจเข้มจนเข้าไม่ได้ แล้วขอตั้งโต๊ะเจรจากับประเทศไทย แต่ถ้าไม่เจรจาเราเรื่องลำไย ปีนี้เขาเสียหายแน่ เราไม่ให้เข้า อันนี้ไม่ได้รบกันนะ แต่เป็นการต่อสู้ทางการค้า กระทรวงพาณิชย์ยุคนี้มองลึกลงไปถึงราก ที่บอกบูรณาการการทำงานกระทรวง ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของ คนร. ไปแก้ปัญหาลำไย แต่เรารู้ว่ารากของปัญหาอยู่ตรงไหน กรมเจรจาการค้ามาช่วย และวันนี้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กำลังเกิดขึ้นแล้ว
เรื่องต่อไปคือ เวียดนาม ในเรื่องของรถยนต์ กำลังจะทำการต่อไป เรากำลังบูรณาการการทำงาน เขียนข่าวให้ดีนะ ไม่ใช่ว่ากระทรวงพาณิชย์ขณะนี้ตอบโต้ ต่อสู้ ชกกับเขาทั่วประเทศ ไม่ใช่ เราจะใช้มาตรการที่เป็นธรรม อะไรที่ไม่เป็นธรรมเราจะต่อสู้เพื่อประเทศให้สามารถที่จะแข่งขันได้
ผลไม้ปีนี้ส่วนใหญ่ดี มีบางตัวที่มีปัญหา เรากำลังช่วยกันอยู่ ก็หวังว่าจะแก้ปัญหาหลายๆ อย่างได้ เช่น สับปะรด มันไม่เป็นสับปะรดมาตลอดชีวิตเลย ก็มีปัญหา กระเทียม นี่ผมเพิ่งไปแก้มา มันจะไปสู่อย่างไรครับ ต้นทุนกระเทียมเกษตรกร 44 บาท กระเทียมนำเข้าจากจีน 22 บาท แล้วก็ยื่นหนังสือร้องว่า ให้ซื้อกระเทียม ไม่ให้กระเทียมนำเข้า แก้ไม่ได้หรอกครับ ผมกำลังสั่ง ร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ บูรณาการใหม่หมดเลย จัดทำเกษตรแปลงใหญ่ เอามา register ทำต้นทุนตั้งแต่พันธุ์ ตั้งแต่ปุ๋ย target ต้นทุน แล้วทำร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กับกระทรวงพาณิชย์ และต้นทุนเท่านี้จะ matching ตลาดให้ทั้งหมด แล้วก็แยกกัน กระเทียมจีนมันเป็นกระเทียมเม็ดใหญ่ เปลือกปอกง่าย กระเทียมอุตสาหกรรม แต่ถ้าเป็นไทยตำน้ำพริก ทำอาหาร มันต้องกระเทียมไทย เพราะมันแซ่บอีหลีกว่า แยกตลาดไว้ชัดเจน เกษตรกรไหนไม่ register กับเรา ก็ไปตามยถากรรม ประเทศไทยแย่ที่สุดคือ ไม่จัดระบบเกษตรเลย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม แล้วผลผลิตก็ออกมา เห็นกระเทียมเป็นกระเทียม ไม่ได้มองว่ากระเทียมมีกี่แบบ แต่เอาราคาเท่านี้ เอาราคาเท่านั้น ซึ่งถ้าคิดอย่างนี้ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจด้านอาหารของโลกไม่ได้ เรื่องของเกษตร ผมคิดว่าปีนี้กระทรวงพาณิชย์ทำได้ดี
เรื่องสุดท้ายที่จะแถลงสื่อมวลชนก็คือเรื่องปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นภาระรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์โดยตรง ปาล์มน้ำมันเป็นมา 30 ปีแล้วครับ ราคาขึ้นๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ผมมาเป็นรัฐมนตรี แล้วผมก็ตัดสินใจเดินทางไปมาเลเซียกับท่านปลัดฯ นันทวัลย์ และคณะ เพราะผมอยากจะรู้ว่าอนาคตของปาล์มประเทศไทยมันมีจริงหรือไม่ อินโดนีเซียใหญ่ที่สุดของโลก รองลงมาคือมาเลเซีย ไทยเป็นติ่งเล็กๆ ของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันเท่านั้นเอง และปาล์มน้ำมันที่ผ่านมาก็วนเวียนอยู่กับปัญหา เดี๋ยวราคาขึ้น เดี๋ยวราคาตก อยู่แค่นี้ล่ะ ตอนผมไปดูงานที่มาเลเซียกับท่านปลัดฯ ท่านปลัดฯ ถามผมตอนจะไปขึ้นเครื่องบินกลับ ถามว่าท่านรัฐมนตรีมีความรู้สึกอะไร ผมตอบท่านว่า Hopeless ไม่เห็นอนาคต Hopeless ไม่เห็นอนาคตปาล์มของประเทศไทยเลย ไอ้ที่ไปส่งเสริมปาล์ม เกษตรกรปาล์มจะร่ำรวย ไม่รู้พรรคไหน ส่งเสริมไป จะรวย ปลูกปาล์ม ล้มยางปลูกปาล์ม ไม่จริงเลยครับ ปาล์มทั้งระบบไม่มีการดูแลเลย แล้วก็เป็นฝันลมๆ แล้งๆ มา 2 ปีแล้ว ว่า พ.ร.บ.ปาล์มฉบับใหม่ออกมา จะแก้ปัญหาปาล์มให้ได้ ไม่จริงทั้งสิ้น
เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาปาล์มดิ่งเหว เพราะว่า supply ใหม่กำลังจะออก ราคาปาล์มดิ่งเหวจาก 3.70-3.80 บาท ดีใจกันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ดีๆ ร่วงรูดลงมาเหลือ 3.20 บาท ตกลงมา ต่ำกว่า 3 บาท ท่านนายกรัฐมนตรีไลน์หาผม ไลน์หารัฐมนตรีช่วยฯ ทั้งวันเลย บอกเกษตรกรจะม็อบแล้ว ปาล์มจะตายหมดแล้ว ต่ำกว่า 3 บาท ผมต้องลุกขึ้นมาประกาศว่า ถ้าผมเป็นรัฐมนตรี ปาล์มจะไม่มีวันต่ำกว่า 3 บาท ใจถึงมากเลยนะ ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไง ประกาศฟอร์มไปก่อนว่า ต่ำกว่า 3 บาท ผมจะไม่ยอม หลังจากนั้นขอเครดิตให้กระทรวงพาณิชย์ เราได้เชิญประชุมรัฐมนตรีเกษตรฯ เชิญประชุมรัฐมนตรีพลังงาน เชิญประชุมรัฐมนตรีอุตสาหกรรม และทำงานร่วมกัน 3 กระทรวง แก้ปัญหา 1. เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่กระทรวงอุตสาหกรรมยอมออกระเบียบว่าโรงสกัด A หากสกัดน้ำมันปาล์มต่ำกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ จะปิดโรงงานนั้น ไม่ต่อใบอนุญาตให้ ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้นที่โรงสกัดไม่มีมาตรฐานของน้ำมัน แล้วปล่อยให้ทลาย ถีบจากเขาลงมา เหลือแต่ทลาย ผลสุกร่วงไปหมด แล้วไม่รู้ใครเป็นคนคิด มีลานเท เลือกซื้อลูกร่วง ไปฉีกเอาลูกร่วง แล้วเอาลูกร่วงไปเข้าโรง B ที่เหลือลูกอ่อนส่งเข้าโรง A โรง A สกัดมาเหลือ 16 เปอร์เซ็นต์ 17 เปอร์เซ็นต์ กดราคาเกษตรกร ทั้งที่ราคามาตรฐาน 18 ไม่มีทาง 18 เปอร์เซ็นต์ได้ ทั้งที่ปาล์มที่แท้สกัดจริงๆ 18-19-20 ก็ทำได้ แล้วเราจะยกระดับ 18-19-20 ต่อไป
ปรากฏว่ามาตรการที่ 1 ต่อไปนี้ โรงสกัด A โรงใดก็ตามที่สกัดต่ำกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ จะไม่ต่อใบอนุญาตให้โรงงานนั้น นี่มาตรการที่ 1 มาตรการที่ 2 ปีนี้ผลผลิตปาล์มล้นสตอก CPO จะล้นสตอกอยู่ 600,000 ตัน ถ้าปล่อยให้เกิดอย่างนี้ขึ้น ปลายปีนี้เกษตรกรเหลือ 2 บาทกว่าแน่นอน ม็อบเกษตรกรจะมาเต็มประเทศ ไม่มีทางออก เพราะ supply เหนือ demand เราทำมาตรการที่ 2 ประเทศไทยไม่เคยส่งออกปาล์มได้มายาวนานแล้ว ยกเว้นเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่กระทรวงพาณิชย์ทำงานได้ดีมาก พยายามทุกอย่าง แล้วก็โชคดีอยู่ดีๆ ราคาปาล์มของมาเลเซีย อินโดนีเซีย แพงกว่าเรา เราก็ส่งออกไปได้ กระทรวงพาณิชย์ได้ทำมาตรการที่ 2 Balance ที่จะทำการส่งออกปาล์มให้ได้อย่างน้อย 400,000-500,000 ตัน ในปีนี้ โดยการนำเข้า ครม. กำลังจะเข้า เราจะหาทาง subsidy ให้ผู้ส่งออกสามารถแข่งขันในการส่งออกกับปาล์มของมาเลเซียได้ แล้วจะให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศหาตลาดใหม่มารองรับตลาดที่ต้องใช้ปาล์ม เพื่อให้เรายกระดับกลับมาเป็นประเทศที่ส่งออกปาล์มได้อีกครั้งหนึ่ง และขณะเดียวกัน กำลังจะทำความร่วมมือ ปัญหาปาล์มของประเทศไทย ไม่ใช่เพียงราคาอย่างเดียว แต่ปัญหาคือ facility ในการส่งออกไม่มี มันต้องใช้รถแทงก์ขน มันไม่มีท่อ shore tank ที่มันเป็นท่อปล่อยออกไปแล้วลงเรือออกไปเลย ประเทศไทยไม่มี ขนรถวิ่งกันไป แล้วถึงเวลาอยากจะส่งเพิ่มเท่าไร มันก็ได้ 60,000-70,000 ตัน เพราะรถขนมีอยู่แค่นั้น อันนี้ต้องแก้ทั้งระบบ เราจะต้องทำให้ประเทศไทยมี cost ที่แข่งขันได้ ต่อไปต้องไม่ subsidize แต่จะต้องแข่งขันได้ไปข้างหน้า
เรื่องที่ 3 ตอนนั้นก็ราคาตกต่ำ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายในประกาศนโยบาย fix ราคา CPO ให้ราคารับซื้อห้ามต่ำกว่า 19 บาท เพราะคำนวณแล้วว่า 19 บาท จะสะท้อนสู่ราคาผลปาล์มที่ 3.20 บาท ตอนนี้ไม่ต้อง fix แล้ว มันไป 20-21 บาทแล้ว ตอนนี้ผู้ใช้ปาล์มโวยผมอีกแล้ว ราคาปาล์มแพงขึ้นไปอีกแล้ว
แต่มาตรการทีเด็ดที่สุดที่ออกมา และกรกฎาคมนี้จะใช้ ท่านคงได้ทราบข่าวแล้ว คือ กระทรวงพลังงานได้ให้ความร่วมมือในการที่จะพัฒนาเป็นครั้งแรก เป็น B20 เราได้คุยเรื่องของ B7, B10, B5 คุยมา 3 ปีแล้ว ปรากฏว่า B5 ไป B7 B7 ไป B10 มันใช้ CPO เพิ่มขึ้นแค่ 4-5 หมื่นตันต่อปีเอง มันไม่ได้แก้ปัญหาใดเลย ท่านรัฐมนตรีศิริก็กรุณาผม ได้ออกมาตรการทำ B20 มันจะดูดซับ CPO ทั้งระบบ ต่อปีประมาณ 250,000 ตัน และเขากำลังมี insentive ใครที่ใช้ B20 จะมี insentive ถูกกว่าดีเซลธรรมดา 3 บาท จะเริ่มใช้แล้วเดือนกรกฎาคมนี้ ก็จะดูดซับ CPO หน้าที่กระทรวงพาณิชย์คือ ต้อง balance สตอก CPO ให้ได้ เพื่อให้เขาเกิดเสถียรภาพด้านของพลังงาน อันนี้เป็นหน้าที่ที่ผมรับปากเขาไว้
ทางกระทรวงเกษตรฯ ก็จะเข้ามาจัดระบบใหม่ โดยการที่เกษตรกรที่เข้าสู่ระบบจะพัฒนากันใหม่ ตั้งแต่สายพันธุ์ ตั้งแต่การปลูก ตั้งแต่การยกระดับของผลผลิตให้มันขึ้นมาสู่มาเลเซียให้ได้ และขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ กับกระทรวงเกษตรฯ กำลังร่วมกันศึกษาที่จะหาทางปรับปรุงเรื่องของ supply ของปาล์ม โดยการดูว่าปาล์มที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งเรียกว่าปาล์มแก่ ถ้าเป็นผู้หญิงก็แก่แล้ว ไปไหนไม่ค่อยรอดแล้ว เอาปาล์มแก่เหล่านั้นมาดู จะตัด supply กำลังคำนวณตัวเลขอยู่ โดยรัฐจะ subsidize โดยการล้มปาล์มแก่ แล้วปลูกใหม่ แต่ปลูกใหม่อย่างมีระบบ โดยการที่กระทรวงเกษตรฯ เข้ามาดูตั้งแต่สายพันธุ์ ดูตั้งแต่ปุ๋ย ดูตั้งแต่การพัฒนาพันธุ์ ให้ yeild มันสูง หรือดูตั้งแต่การเป็นปาล์มผสมผสาน มีพริกไทยมีอะไร เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้น แล้วใครที่ register กับเรา ก็จะมีผลผลิตและมีกำไรดีขึ้น ไม่ได้ขายแค่ปาล์ม สุดท้ายก็ได้เรียนท่านรองฯ ประวิตรไปแล้วด้วยว่า มันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะทำ ถ้าทำได้ ขณะนี้กำลังทำการศึกษาอยู่ คือ ทำไมต้องมีโรงสกัด B ทั้งที่โรงสกัด B มันเป็นประเทศเดียวที่มีโรงสกัด B ประเทศอื่นเขาก็ไม่มีโรงสกัด B และโรงสกัด B นี่ก็ทำให้เกิดปัญหา ที่เกิดลูกร่วงแล้วไปขายให้โรงสกัด B ผมได้เรียนท่านรองฯ ประวิตร ท่านบอกว่าไปหาทางมาซิ ยกระดับโรงสกัด B 50 กว่าโรง ให้มันเป็น A ให้หมดทำยังไง ตอนนี้กำลังไปศึกษาอยู่ และถ้าทำได้ จะยกระดับไม่ให้มีโรงสกัด B เกิดขึ้นเลยในประเทศไทย ทำให้เหลือแต่โรงสกัด A อย่างเดียว แล้วทำ 18 เปอร์เซ็นต์เท่ากันหมด มันก็จะมีแนวโน้มว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ปาล์มถูกแก้ทั้งระบบ และด้วยการทำงานแค่นี้ เพียงไม่ถึง 10 วัน ราคาปาล์มน้ำมันจาก 3 บาท ตอนนี้ 4.20 บาทแล้ว อันนี้ก็เป็นผลงานของกระทรวงพาณิชย์บูรณาการร่วมกับกระทรวงอื่นๆ
นี่คือผลงานด้านสินค้าเกษตร ก็ตอบสนองนโยบายในการยกระดับราคาพืชผลเกษตร ซึ่งสำคัญมาก สิ่งเหล่านี้มันจะค่อยสะท้อนถึงกำลังซื้อของพี่น้องเกษตรกรข้างล่าง
นอกจากเรื่องของสินค้าเกษตรแล้ว กระทรวงพาณิชย์ก็ได้ทำในเรื่องของการฟื้นชีวิตโชห่วย ภายใต้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อย่างที่ผมพูดมาตลอดว่าโชห่วยไทยมีแต่ตายกับตาย แล้วก็ตาย ทั้งโชห่วย และค้าปลีก-ค้าส่ง ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์เลยที่โชห่วยจะต่อสู้กับร้านสะดวกซื้อได้ ร้านสะดวกซื้ออย่างเดียวไม่พอ ร้านห้างขนาดใหญ่ยังแตกตัวเป็นร้านสะดวกซื้อ กินทุกหัวระแหงโดยไม่มีกฎหมายควบคุม ปล่อยให้กินพื้นที่ ปาป้าชอป มาม่าชอป จนตายเรียบ วันนี้ร้านสะดวกซื้อฟื้นแล้วครับ ขณะนี้ 20,000 กว่าแห่ง ภายใต้ร้านธงฟ้าประชารัฐรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ฟื้นตัวขึ้นมา และกำลังจะมีครบ 40,000 แห่ง ในเดือนนี้ ขณะเดียวกัน ในนั้นจะมีเป็นร้านชุมชนของกองทุนหมู่บ้าน 10,000 แห่ง ร้านทั้งหมดติดตั้งเครื่อง EDC รับโดยตรง และขณะนี้โชห่วยกำลังเริ่มฟื้นขึ้นมา นั่นก็คือสิ่งที่กำลังไปยกรายได้จากคนที่กำลังจะล้มหายตายจาก และที่สำคัญคือทำให้พวกค้าส่ง-ค้าปลีกกลับมามีบทบาท
ในร้านธงฟ้าประชารัฐ รัฐบาลได้ใส่เงินลงไปแล้วกว่า 30,000 ล้านบาท กระชาก GDP ขึ้นมาถึง 100,000 กว่าล้านบาท อันนี้คือผลงานรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ที่สำคัญกว่านั้นร้านสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ตอนนี้ร้านเหล่านี้กำลังพัฒนาโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเริ่มเอาสินค้าชุมชน คัดสินค้าที่ดีๆ เข้าสู่ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ โครงการแรกเพิ่งทำมาไม่ถึง 3 อาทิตย์ เอาร้านค้าธงฟ้าประชารัฐที่ให้ความร่วมมือเบื้องต้น 500 แห่ง และเอาสินค้าคัดเลือกทดลอง 3 ตัว ที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อวานแล้ว ที่กองทุนหมู่บ้านฯ เอากะปิจากระนอง คัดคุณภาพดี มีมาตรฐาน กระจายเข้า 500 ร้านค้าของร้านธงฟ้าประชารัฐ ไม่เคยมีในชีวิต รับ order วันแรก 700,000 บาท ร้องไห้จนถึงวันนี้เลย ทำไม่ทัน ร้องไห้อยู่คนเดียว ทำกะปิมาทั้งชีวิต นี่คือความหวังของสินค้าชุมชนของประเทศไทย มี 40,000 แห่ง สินค้าตัวหนึ่งเข้าได้ 500 ร้านค้า 700 ร้านค้า เขาจะฟื้นทั้งระบบ แต่ต้องเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานและคุณภาพ ซึ่งกรมการค้าภายใน กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กำลังจะทำ จะฟื้นครั้งใหญ่กับชุมชนที่ไม่เคยมีโอกาสชีวิต ขณะเดียวกัน สินค้าชุมชนเหล่านี้ ที่เรียกว่า offline สินค้าชุมชนเหล่านี้ก็ถูกยกระดับเข้ามาสู่เว็บไซต์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรียกว่า "ของดีทั่วไทย" กำลังทำกันอยู่ ผมตามตัวเลขทุกวันจากอธิบดี
ของดีจริงๆ ของประเทศไทย ที่หาซื้อไม่ได้ หาซื้อยาก ของจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ตอนนี้กำลังเริ่มทำ อีกไม่เกิน 1 เดือน เปิดมา ดีทุกชิ้น จะโปรโมทใหญ่ รัฐมนตรีจะไปยืนหน้าเว็บไซต์ การันตีดีทุกชิ้น แล้วของดีทั้งหมดจะเข้าสู่เว็บนี้ อยากกินหอยนางรมดีๆ อยากกินปลาส้ม อยากกินทุเรียนพันธุ์เลิศ คัดมาแล้ว ซื้อเว็บไซต์นี้ที่เดียว เป็นการพัฒนาคนข้างล่างให้เข้าสู่ e-Commerce แล้วจะต้องเชื่อมกับ Thaitrade.com
นอกจากนั้น ร้านค้าธงฟ้าประชารัฐทั้งหมดจะเข้าในโหมดของการลดค่าใช้จ่าย โดยการที่จะมีที่เรียกว่า discount corner โชห่วยไม่เคยมี discount corner ในชีวิตเลย เพราะว่าซื้อของเขามาต้นทุนแพง จะเห็นว่าตอนเปิดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดนด่า โดนว่า ของแพง กะปิแพง น้ำปลาแพง โดนด่า เพราะต้นทุนเขาแพง เขาขายถูกไม่ได้ ผมได้ขอความร่วมมือทั้ง ยูนิลีเวอร์ พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล สหพัฒน์ ร่วมกัน กำลังเริ่มแล้ว ท่านอธิบดีฯ รับผิดชอบอยู่ จะมีมุม discount store ของสินค้าอุปโภคบริโภค ถูกกว่าท้องตลาด สู้กับเทสโก้ สู้กับโลตัส สู้กับบิ๊กซี coming soon เร็วๆ นี้ จะเป็นผลงาน 6 เดือนต่อไป เพื่อให้พี่น้องประชาชนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากจนแล้ว ยังต้องซื้อของถูกได้ ไม่ใช่จนแล้วซื้อของแพง และข้อสำคัญก็คือว่า คนไม่มีบัตรสวัสดิการฯ ก็ยังไปซื้อของถูกที่อยู่ใกล้บ้านตัวเองได้ ที่เรียกว่ายกระดับขึ้นมา แล้วร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ 40,000 แห่งนี้ จะถูกพัฒนาขึ้นมา อาจจะไม่ได้ครบทั้ง 40,000 แห่ง แต่พัฒนาขึ้นมาที่เรียกว่า โชห่วยไฮบริด เป็นแบบอูเล่โมเดล ของประเทศจีน คือมีทั้ง offline ขายของแบบดั้งเดิม พัฒนาธุรกิจการค้าไปยกระดับ POS ใช้ปิ๊บๆ แบบห้าง ตัดสตอก รู้เลยว่าวันนี้ขายไปกี่ตัว ขายไปกี่อัน ได้กี่บาท ทุกคนรู้หมด ยกระดับให้แข่งขันกับร้านสะดวกซื้อได้ ภาษาผม (ห้ามเขียน) ผมเรียกว่า "เซเว่น-อีเลฟเว่นชุมชน" อย่าไปเรียกนะ เดี๋ยวเขาฟ้องผม ยกระดับขึ้นมา เป็นความหวังหมดแล้วครับ เรากำลังช่วยพัฒนา
ถ้าร้านเหล่านี้ยกระดับได้ เงินสวัสดิการแห่งรัฐลงไป สินค้าชุมชนเข้าได้ ของถูกมี ฐานรากจะกลับมาเติบโต และกำลังจะเริ่มไป ประชาสัมพันธ์เสียเลยครับ ในเร็วๆ นี้ คิดว่ากรกฎาคม ประมาณกลางเดือน (เขียนข่าวล่วงหน้าเลยครับ) กระทรวงพาณิชย์จะแก้ข้อจำกัดของการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ได้รูดเฉพาะเครื่อง EDC 40,000 แห่งเท่านั้น จะเป็นการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อของผ่านแอปฯ จะไปซื้อหมูที่เขียงหมูที่ตลาดก็ได้ จะซื้อผักในตลาดก็ได้ จะไปกินก๋วยเตี๋ยวก็ได้ จะไปซื้อยาร้านขายยาก็ได้ จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ คาดว่ากลางเดือนกรกฎาคม เงินจะ split ทั่วประเทศ ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบอีกต่อไป อันนี้ไม่ใช่ผลงาน 6 เดือน แต่เป็นผลงาน 6 เดือนต่อไป
อันนี้ก็ทำให้เราเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากข้างล่างอย่างค่อนข้างเป็นระบบ และข้อสำคัญก็คือว่าเรามีพลังของ MOC DISCOUN (**นาทีที่ 40.42***) เป็นหมื่นคน เข้ามาบูรณาการการทำงานกันในเรื่องของ Micro SMEs และเร็วๆ นี้ผมจะไปอังกฤษกับฝรั่งเศสกับท่านนายกฯ สิ่งหนึ่งที่กระทรวงพาณิชย์จะทำและจะแถลงข่าวต่อไป เราจะให้ความสำคัญมากขึ้นกับ Micro SMEs โดยจะทำความร่วมมือกับ FSB หรือ Federation of Small Business ที่อังกฤษ มี know how ดีมาก จะเป็นองค์กรที่คาดว่าจะมี SMEs เป็นสมาชิกมากกว่า 100,000 ราย และมีทั้งระบบ research ข้อมูล และมีทั้งระบบ counselling และยกระดับตัว Micro SMEs ทั้งประเทศขึ้นมา อันนี้เป็นภารกิจต่อไปของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
จะเห็นว่าที่ทำนั้นทำให้เกิดความกินดีอยู่ดี เพิ่มทางเลือก ลดราคา สร้างความจำเป็น และใช้กลไกของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอยู่ แล้วก็ทำให้พี่น้องที่พัฒนาสินค้านั้นมีความหวังในชีวิต และกระทรวงพาณิชย์ก็ยังมี brand ใหญ่ที่ไม่ได้เลิกเลย คือ มหกรรมธงฟ้าราคาประหยัด ก็กระจายถึงปีละ 1,000 กว่าครั้ง ไปปลอบขวัญ ไปให้กำลังใจพี่น้องที่ยากจน แต่ต่อไปธงฟ้าในลักษณะนี้ก็จะทำน้อยลง จะทำเฉพาะอุบัติภัย อุทกภัย ที่มีความจำเป็น แล้วแปลงงบเหล่านั้นมาโปรโมทให้เป็นสินค้าถาวร ภายใต้แบรนด์ของธงฟ้าประชารัฐ
ในเรื่องเศรษฐกิจยุคใหม่ ที่ผมบอกแล้วนะครับ วิสัยทัศน์กระทรวงพาณิชย์จากนี้ไปต้องลืม 30 ปีที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ยุคหน้า คือ News Economy และได้ทำให้ท่านเห็นแล้วคือ เราได้ปลุก Thaitrade.com ขึ้นมา เป็น National Platform ของชาติ หลายคนบอกว่า Alibaba มา , เจดีดอทคอม มา , Amazon มา กลืนชาติหมด กระทรวงพาณิชย์ไปจับมือกับ Alibaba ก็มีพวกปรารถนาไม่ดีด่าพวกเราขายชาติ ให้ Alibaba มาปล้นชาติ เราเป็นขี้ข้า Alibaba ไม่จริง Thaitrade.com คือตัวเชื่อมกับ Alibaba เชื่อมกับเจดีดอทคอม ทุกอย่างที่ Thaitrade.com จะต้อง register ผ่าน Thaitrade.com Thaitrade.com จะเป็นคนร่วมพัฒนาสินค้า ตั้งแต่มาตรฐาน มีแบรนด์ ขึ้นทะเบียน คัดเลือก แล้วเอา soucer ของ Alibaba เข้ามา จับมือร่วมกัน แล้วต้องผ่าน Thaitrade.com ข้อมูลการค้าทั้งหมดที่ขายที่ Tmall ผ่าน (***นาทีที่ 43.32***) เป็นข้อตกลงที่ข้อมูลเหล่านั้นจะต้องแลกเปลี่ยนกับ Thaitrade.com เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ Alibaba ขายของแล้วต้องบอกเราว่าขายใคร แต่ก่อนพ่อค้าข้าวส่งออกข้าวไป ส่งให้ใครก็ไม่รู้ ต่อไปนี้ไม่ใช่ เราจะมีข้อมูลที่ Thaitrade.com ข้อมูลเหล่านั้นก็จะกลับมาพัฒนาเกษตรกร พัฒนาการปลูก พัฒนาการผลิต ให้สอดคล้องกับตลาด นี่คือการ change ครั้งใหญ่ของ News Economy
ในเรื่องของตรงนี้จะเห็นได้ว่า Tmall ที่เข้ามา เป็นเพียงตัวอย่างแรกของการเชื่อมโยงสินค้าเกษตร และต่อไปเป็นสินค้า SMEs , OTOP จะเป็นการปฏิวัติทั้งระบบ จากคนตัวเล็กที่ไม่เคยมีโอกาส ระบบล้ม ที่กดขี่ คนตัวเล็กที่รอคนมาซื้อ กำลังจะถูกปฏิวัติทั้งระบบผ่าน e-Commerce และ e-Commerce จะเป็นวิสัยทัศน์ใหม่ของกระทรวงพาณิชย์ โดยมีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกำลังปฏิรูปกระทรวงขึ้นมารองรับเรื่องนี้ และนี่คือการให้คนตัวเล็กเปรียบเสมือนคนป่า ต่อไปนี้คนป่าจะมีปืนในการค้า จะไม่อยู่ภายใต้การกดขี่ของกลไกการค้าแบบเดิม อันนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังจะทะลุทะลวงเรื่องนี้
เรื่องต่อไป เรื่องนี้รู้กันเยอะแล้ว Thaitrade.com เรื่องต่อไป MDA ถูกยกสถานภาพ จะเป็นศูนย์การค้ายุคใหม่ของภูมิภาค ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย จะเป็นศูนย์ของ CLMV ทั้ง startup ทั้ง e-Commerce ทั้งหลักสูตร เรามีทั้งหลักสูตร เอาคนมาเชื่อมโยง ประเทศไทยจะไม่เป็นประเทศโดดเดี่ยว แต่จะเป็นประเทศที่เป็นผู้นำของการค้ายุคใหม่ของ CLMV และจะสอดรับกับ ACMECS ที่จะเปิดประชุมพรุ่งนี้ ที่จะมีประเทศไทยเป็นผู้นำของภูมิภาค อิรวดี เจ้าพระยา อะไรตรงนี้ 4-5 ประเทศ นี่คือ strategic move ครั้งใหญ่ของประเทศไทยที่ยกตัวเองเป็นผู้นำของ CLMV และเราคือ gateway ของ CLMV เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากของประเทศไทย ฉะนั้น MDA ก็จะไม่ใช่เป็นเพียงสถาบันฝึกอบรม แต่เป็นสถาบันสร้างผู้ประกอบการให้สามารถทำการค้าขายได้ สร้าง startup สร้าง SMEs และขณะเดียวกันก็จะเป็นศูนย์รวมในการพัฒนาที่ไม่ใช่ startup คนไทย welcome startup ของภูมิภาค CLMV และอาเซียนทั้งหมดกลับสู่ประเทศไทย และยกไทยให้เป็นผู้นำของ startup บนระบบของ New Economy ของประเทศไทย
คำต่อคำ ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลงาน 6 เดือน
ขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ท่านบรรณาธิการ ท่านผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ส่วนของดิฉันที่รับต่อจากท่านรัฐมนตรีก็คือเรื่องของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งในการเข้ามาทำงานได้คุยกับท่านรัฐมนตรีตั้งแต่แรกแล้วว่าการทำงานในลักษณะ agenda ที่จะขับเคลื่อนด้วยการบูรณาการกันกับหลายๆ หน่วยงาน แล้วก็เป็น flagship ท่านรัฐมนตรีท่านรับทำ ดังนั้นท่านจึงต้องมีข่าวเยอะเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าดิฉันก็จะรับทำงานในลักษณะของฟังก์ชัน เพื่อให้กลไกทุกอย่างมันเคลื่อนต่อไปได้อย่างสอดรับและรวดเร็วขึ้น ในแง่ของท่านก็จะเน้นว่าจะทำยังไงให้เศรษฐกิจของบ้านเมืองเราเข้มแข็งขึ้น แล้วก็ได้ปรับปรุงวิธีการต่างๆ เยอะแยะมาก ดิฉันทำมาตั้งแต่เป็นปลัดกระทรวง จนวันนี้ได้มาช่วยงานในฐานะรัฐมนตรีช่วย ก็ต้องยอมรับว่า ไม่มีรัฐมนตรีว่าการที่ทำงานแล้วเข้าใจ และมีความคิดใหม่ๆ แบบนี้ในเชิงเอกชน ที่มาทำงานกับเราแล้วไม่ทำให้เรามีความรู้สึกอึดอัด เพราะตอบโจทย์ไม่ได้ว่าทำเพื่อใคร เพราะว่าอันนี้เราทำเพื่อส่วนรวมจริงๆ เพื่อเศรษฐกิจของประเทศจริงๆ แล้วก็ทีมเวิร์กดีมาก ขอยืนยันว่าทีมเวิร์กดีมาก เราได้รับความร่วมมือจากกระทรวงอื่นๆ และตัวท่านรัฐมนตรีกับดิฉันเองก็ทำงานกันอย่างแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
ในแง่ของการค้าระหว่างประเทศคงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะเราแถลงกันอยู่แล้วทุกเดือน แต่อยากจะสรุปให้ฟังว่าใน 6 เดือนที่ผ่านมา ทางเราก็รับนโยบายรัฐบาลว่าเราจะต้องเร่งรัดและขยายการส่งออก แล้วก็ต้องทำในลักษณะเชิงรุก ทั้งในรูปแบบของตลาดแบบเดิม คือเป็นตัวตลาด physical และในขณะเดียวกันก็ต้องทำในทาง digital ด้วย ซึ่งท่านรัฐมนตรีได้บอกแล้วว่าเราได้ทำอะไรบ้าง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้เริ่มดำเนินการไปแล้วเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว และ 6 เดือนต่อไปนี้ก็จะต้องผลักดันให้มันเกิดตัวสินค้าและการซื้อขายที่เป็นไปตามเป้าที่เราตั้งไว้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำโดยที่เป็นนโยบายใหม่ในเชิงของ New Economy เพราะเราจะอยู่อย่างเดิมอีกต่อไปไม่ได้แล้ว รวมทั้งการปรับตัวของภาคเกษตร ซึ่งที่ท่านรัฐมนตรีได้พูดเมื่อกี้นี้ เป็นสิ่งที่เราเห็นมานานและอยากจะทำ แต่ไม่สามารถทำได้ เราก็คิดว่าครั้งนี้่ล่ะจะเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ทำได้อย่างที่ท่านว่า ดิฉันเสียดายอยู่นิดเดียวว่า แล้วใครจะทำต่อ เพราะมันยังต้องทำต่อ ก็เชิญท่านรัฐมนตรีอยู่ทำต่อด้วยนะคะ ปีหน้าก็กรุณาอยู่ทำต่อด้วย เพราะไม่เช่นนั้นสิ่งดีๆ ที่ตั้งไว้ กลัวว่าจะเสียของ แต่ดิฉันมีความมั่นใจว่าสิ่งที่วางเอาไว้ มันเป็นทางเดินที่เห็นภาพชัดกว่าแต่ก่อน
ในเรื่องของการเร่งรัดการขยายการส่งออก ก็ขอคุยนิดนึง ก็แถลงอยู่แล้วทุกเดือนว่า 4 เดือนที่ผ่านมา เราสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 11.5 ดูแล้วมันสูงสุด เอาไปเทียบใน 7 ปีที่ผ่านมา นี่ก็เป็นข่าวดีอย่างหนึ่ง แล้วเราก็จะผลักดันต่อไป ทำไมเราถึงขยายตัวได้ขนาดนั้น ก็เพราะว่ากรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการค้าต่างประเทศ ทั้งหลายนี้เขาทำงานร่วมกันเป็นทีมเวิร์ก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ท่านรัฐมนตรีดูแลเอง ท่านอธิบดีก็ขยันมาก ก็ต้องไปปรับหลายอย่างในที่ทำงาน เรามุ่งการทำงานลักษณะครบวงจร โครงการเหล่านี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยมี เคยมีแต่ว่าไม่ได้มีการไปปฏิบัติแบบเอาจริงเอาจังแบบนี้ เราสามารถที่จะเลือกกลุ่มสินค้าขึ้นมา และก็เลือกตลาดที่เรามุ่งเป้า เราพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็กของเรา ให้เข้ามาสู่การทำงานแบบครบวงจรได้ ที่ผ่านมา 6 เดือน 2,800 ราย มีมูลค่าการสั่งซื้อถึง 47,000 ล้านบาท อันนี้พิสูจน์ได้ ไปดูได้เลยว่าวิธีทำงานของเขา เขาก็จะจับกลุ่มขึ้นมาเลยว่ามีสินค้าประเภทไหนี่เป็นเป้าของเรา แล้วมีการเอาคนที่มีศักยภาพเข้ามารับการอบรม มีผู้เชี่ยวชาญมาโค้ชให้ มีการทำให้คนที่ผ่านการโค้ชนั้นรู้ว่าจะเข้าตลาดได้ ต้องมีการพัฒนา ปรับตัว แล้วยังไม่พอ เมื่อเขาพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นแล้ว เราพาเขาไปขายเลยในตลาดต่างประเทศ ซึ่งถ้าเป็น SMEs รายเล็กๆ หรือรายเล็ก ถ้า M ขนาดใหญ่หน่อย พอไหว แต่ถ้าไม่ใช่ เขาทำเองทั้งหมดนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางรัฐบาลที่จะเข้าไปดำเนินการกับเขา
ด้วยวิธีการทำงานแบบนี้ ใน 6 เดือนที่ผ่านมา เราก็สามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ อย่างที่ได้บอกตัวเลขไปแล้ว
สุดท้าย ในการจัดงาน THAIFEX 2018 ที่ผ่านมา ก็เป็นครั้งแรกที่เราจัดแบบเต็มพื้นที่ แล้วก็มีผู้เข้ามาร่วมเยอะแยะมาก ทั้งต่างประเทศและของในประเทศ เราได้ยอดขายที่มีการซื้อขายกันในงานถึง 11,000 ล้านบาท อันนี้ถือว่าเป็นความสำเร็จว่าเราได้พยายามผลักดันเรื่องนี้ เพื่อให้สมกับที่ประเทศไทยเราเน้นว่าเราเป็น Kitchen of the World เพราะฉะนั้นงานต่างๆ ที่เราทำรองรับ ก็ไปในทิศทางที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่แค่การเข้าไปขายของอย่างเดียว มันต้องดูในแง่ของนโยบายระหว่างประเทศด้วย ไม่ให้มาเป็นอุปสรรคในการทำงาน ซึ่งช่วงนี้ก็อาจจะเป็นช่วงที่ลำบากของทั้งโลกก็ว่าได้ เพราะว่ามีนโยบายแปลกๆ ออกมา โดยประเทศที่บอกว่าเป็นประเทศที่ส่งเสริมการค้าเสรี ก็เลยทำให้หลายๆ ประเทศเริ่มวุ่นวาย อาจจะเกิดสงครามการค้าขึ้น แต่ในบรรยากาศที่เราติดตามดู ก็คิดว่าน่าจะยังไม่เกิดขนาดที่เรากังวล ทิศทางดูจะดีขึ้น เพราะฉะนั้นนั่นก็จะหมายความว่า เป้าหมายที่เราตั้งไว้ว่าจะสามารถผลักดันการส่งออก ก็น่าจะเป็นไปตามที่เราวางเป้าไว้ในอีก 6 เดือนที่จะเกิดขึ้น
ในแง่ของตัวนโยบาย 6 เดือนที่ผ่านมา เรื่องที่เราตั้งใจไว้ในรัฐบาลชุดนี้ว่าต้องหลุดให้ได้ในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเราติด PWL มาเป็นสิบปี ด้วยวิธีการทำงานที่พัฒนาการทำงานแบบจริงจัง บูรณาการกัน และมีการตรวจ ลงไปดูแลอย่างใกล้ชิด และประสานกับทางฝั่งของสหรัฐอเมริกา ในที่สุดก็ได้หลุดออกมาแล้ว อย่างที่ได้เป็นข่าวไปแล้ว อันนี้เราก็อยู่ใน watch list ซึ่งถือว่าเป็นผลงานที่สำคัญมาก เพราะว่าได้ตั้งหลักมาเป็นเวลานาน ก็สามารถทำได้ในปีนี้
ในเรื่องของความร่วมมือระหว่างประเทศ นอกจากที่เราทำ FTA กับประเทศต่างๆ ซึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่ยังทำต่อเนื่องสำหรับสัญญาที่เสร็จแล้ว สัญญาที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ เราก็ขับเคลื่อนต่อไป ไม่มีรัฐบาลประเทศไหนไม่มาคุยกับเราเลย ทุกคนยินดีคุยกับเราหมด แม้กระทั่งสหภาพยุโรป ซึ่งเดิมเราจ่ออยู่แล้วว่าจะทำ FTA กัน ก็มีอุปสรรคเล็กน้อย ตอนนี้ก็ประกาศแล้วว่า พร้อมที่จะเริ่มดำเนินการ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวก็จะต้องมีการแบ่งคณะไปพูดคุยกันก่อนในระยะการทำ ground work ในอีก 6 เดือนข้างหน้า เราสามารถที่จะดึงเอาฮ่องกงให้มาเปิด TEO : Trade Economic Office ซึ่งแต่ก่อนนี้ฮ่องกงมีอยู่แล้วในประเทศเรา แต่เป็นเรื่องของ Trade Promotion แต่เรื่องของ Economic Office ที่เขาจะมาเปิดนี้ ถือว่าเราแซงคิวหลายๆ ประเทศที่ฮ่องกงเขาวางแผนจะไปเปิดขึ้นมา ขณะนี้เขาเปิดมีอยู่แค่ 2 แห่งในอาเซียนเอง ที่เขาเปิดอยู่ คือที่สิงคโปร์ กับอินโดนีเซีย ในอาเซียนมี 2 แห่ง แต่ที่เขาเปิดอยู่ทั่วโลกมีทั้งหมด 18 แห่ง แล้วประเทศไทยก็ได้รับการพิจารณา เพราะเขามองเห็นศักยภาพของเรา เขาก็มาเปิดกับเรา เข้าใจว่าทุกอย่างที่เราผลักดันใน ground work เสร็จหมดแล้ว คงจะเริ่มเปิดได้ประมาณ ที่คุยกันเอาไว้น่าจะเป็นมิถุนายน น่าจะเป็นต้นปี 62 แต่ว่าในช่วงนี้ที่เราช่วยกันผลักดันทำทุกอย่าง ตอนที่ได้รับรายงานครั้งสุดท้าย ในสิ้นเดือนมิถุนายน เรื่องที่เป็น ground work ทุกอย่างจะเสร็จ เรื่องเอกสิทธิ์ทางการทูต เรื่องอะไรต่ออะไรที่เขาจะเข้ามาตั้งออฟฟิศได้ ซึ่งเป็นการทำงานอย่างรวดเร็วมาก ถ้าเผื่อไม่มีการประสานงานกันและผลักดันแบบนี้ ก็คงจะต้องรออีกหลายปี อันนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เราพยายามผลักดันเพื่อให้เกิดการเร่งรัดการส่งออก ดึงให้เกิดการลงทุนมากขึ้นในประเทศไทย ได้รับความสนใจจากประเทศที่มีความ active ทางการค้าอย่างมาก อย่างฮ่องกง ที่เลื่อนแผนเขาแล้วมาเปิดของเราขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นคงรออีกหลายปี
สุดท้าย อีกเรื่องหนึ่งที่เราผลักดัน คือเราพูดถึงตลาดรองในแง่ของการส่งออกว่า เราก็จะไม่ได้มองแต่ตลาดหลักเดิมๆ ที่ไป เราก็จะมองว่า ในเมืองหลักที่เราหาอยู่ ต้องมุ่งถึงตลาดรองด้วย ก็จะมีโครงการที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ก็จะต้องพามิชชั่นเข้าไปดำเนินงานในตลาดเหล่านั้น ซึ่งเราก็มั่นใจว่าจะทำให้ยอดการส่งออกของเราได้เพิ่มขึ้นตามเป้า เผลอๆ อาจจะทะลุเป้าก็ได้ถ้าบรรยากาศการค้าดี ซึ่งตอนนี้ก็ดูทิศทางแล้วน่าจะดี แล้วเราได้สร้างเครือข่ายนักธุรกิจเพิ่มมากขึ้น จากโครงการที่เราเคยทำเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่ไปเอานักธุรกิจในแถบ CLMV ให้มาเป็นเน็ตเวิร์กกัน ขณะนี้เราขยายเน็ตเวิร์กของ EMD ออกไป ซึ่งจัดไปแล้ว 4 รุ่น สามารถมีคนที่จะมาเป็นเครือข่าย 980 คน ที่เป็นเครือข่ายกันในนักธุรกิจ CLMV ในจำนวนนี้สามารถที่จะทำการลงทุนค้าขายระหว่างกันไปแล้วถึง 2,800 ล้านบาท
ในปีนี้เราจะมีการทำการ reunion เอาทั้งหมดมาเจอกัน ซึ่งแต่ก่อนเขาทำเป็นรุ่นใครรุ่นมัน แต่ปีนี้จะทำรวม ซึ่งการทำแบบนี้จะขยายวงธุรกิจให้กว้างขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้ทำเพื่อเร่งรัดไปสู่เป้าหมายการส่งออกที่เราตั้งไว้
สุดท้ายเลย ประเทศไทยใน 6 เดือนข้างหน้าที่จะต้องเตรียมการในเรื่องของการค้าระหว่างประเทศ ในเรื่องเวทีระหว่างประเทศ เราก็จะต้องดำเนินการอีกหลายอย่าง เพื่อให้เราเข้าไปมีส่วนอยู่ในขบวนรถไฟของโลกที่เขาวิ่งอยู่ เรากำลังวิเคราะห์ว่าเราจะเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของ TPP ซึ่งเมื่อไรที่ TPP พร้อม เราก็คงจะดำเนินการตามแผนที่เราตั้งเอาไว้ ปีหน้าเราก็จะเป็นประธานอาเซียน ซึ่งก็จะเป็นจุดสนใจที่จะทำให้หลายๆ ประเทศมองความเคลื่อนไหวของประเทศไทย และบทบาทของประเทศไทยที่จะเป็นผู้นำอาเซียน ขณะนี้องค์การระหว่างประเทศที่อยู่ในแง่ของเศรษฐกิจ เขาก็อยากจะมาขอเป็นผู้สังเกตการณ์ในการประชุมอาเซียน ก็เป็นครั้งแรกที่เขาให้ความสนใจ ซึ่งเราในฐานะประธาน ก็ต้องไปประสานงานและคุยกับสมาชิกอาเซียนอื่นๆ ว่าจะให้องค์การเหล่านั้นเข้ามามีส่วนร่วม หรือเป็นผู้สังเกตการณ์ทำงานร่วมกับอาเซียนหรือไม่
นี่ก็เป็นผลงานที่ผ่านมาใน 6 เดือน และสิ่งที่จะต้องผลักดันต่อไปอีก 6 เดือนข้างหน้า