xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” โวฟังเสียง ปชช.ตลอด 4 ปี ช่วยให้ปัญหาสารพัดโกงถูกเปิดโปง มั่นใจ “อีอีซี” ทำประเทศรุ่งเรือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” ย้ำฟังทุกความเห็นประชาชนตลอด 4 ปี ปลื้มช่วยให้ปัญหาสารพัดโกงถูกเปิดโปง เพราะที่ผ่านมาคนรู้เบาะแสกลัวภัยไม่กล้าแฉ มั่นใจ “อีอีซี” ทำประเทศเจริญรุ่งเรือง ยันอีก 3 ปีเมื่อโครงการต่างๆ ทยอยเสร็จจะเริ่มเห็นผล

วันที่ 8 มิ.ย. 2561 เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ช่วงหนึ่งว่า สุภาษิตโบราณว่าจิ้งจกทักเรายังต้องฟัง เพราะฉะนั้นทุกเสียง ทุกความเห็น โดยเฉพาะจากพี่น้องประชาชน เจ้าของประเทศ รัฐบาล และ คสช. ได้ยินและได้นำมาสู่กระบวนการแก้ไขอยู่ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เพราะเป้าหมายของเราคือการคืนความสุขให้กับคนในชาติ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่ได้ตีความความสุข แต่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ใช้อ้างอิงในวงวิชาการ วงการธุรกิจ หรือเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจต่างๆ แต่รัฐบาลมองและให้ความสำคัญในเรื่องอื่นๆ ที่กว้างกว่านั้น ทั้งเรื่องปากท้องความเหลื่อมล้ำความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาทุจริต การขาดโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอรวมไปถึงความแตกแยกอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นต้น ดังนั้น เสียงสะท้อนจากโพล หรือเสียงบ่นในใจก็ขอให้ถ่ายทอดมาเถิด ผ่านสายด่วนต่างๆ ตามที่ได้เคยบอกไปแล้วหลายครั้ง ทั้ง 1111 และศูนย์ดำรงธรรม 1567 รวมทั้ง สายด่วนไทยนิยม

ซึ่งตนก็ดีใจที่วันนี้หลายเรื่องหลายราว ซึ่งเป็นความทุกข์ใจได้รับการแก้ไขแล้ว แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็จะไม่ถูกมองข้าม แต่เรื่องยากๆ ซับซ้อน ก็ต้องขอเวลาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทำงาน ได้มีเวลาพิจารณาหามาตรการที่เหมาะสม หลายเรื่องซุกอยู่ใต้พรม คนรู้เบาะแสก็ไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวภัยจะมาถึงตัว ก็ถูกหยิบขึ้นมาสู่สังคม แล้วรัฐบาลนี้ก็เอาจริงเอาจังในการบังคับใช้กฎหมาย อาทิ เรื่องอาหารกลางวันเด็ก ขนมจีนน้ำปลา เรื่องเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ผู้ประสบภัย เรื่องกองทุนเสมา ไปจนถึงเรื่องเงินทอนวัด แม้กระทั่ง ความเดือดร้อนจากโครงการพัฒนาต่างๆ เช่น ถนนชำรุด เป็นต้น เราก็ได้พยายามแก้ไขมาตามลำดับ ก็ขอให้ทุกคนสามารถแจ้งเข้ามาตามช่องทางที่กล่าวไว้ได้ แต่อย่าโทร.มาโดยที่ไม่มีความจำเป็น มารบกวน มาว่ากล่าวเจ้าหน้าที่ บางทีก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าไร

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือการปฏิรูปเรื่องใหญ่ๆ ก็คงต้องอาศัยเวลาในการผลิดอกออกผล การปลูกข้าว ยาง อ้อย ยังต้องใช้เวลา ระหว่างรอชาวสวน ชาวนาก็หาอาชีพเสริมทำ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว วันนี้เราลงทุนเพื่ออนาคตจำนวนมาก นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนแล้ว ก็ยังเป็นการสร้างโอกาส สร้างสิ่งดีๆ เพื่อวันข้างหน้า อาทิ การเร่งสร้างรถไฟฟ้าเกือบ 10 สาย เพราะที่ผ่านมาเดินหน้าไม่ได้ อาจจะทำให้รถติด ต้องอดทน เพื่อความสะดวกสบายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

นายกฯกล่าวด้วยว่า การสร้างอีอีซีที่จะเริ่มทยอยเห็นผล ที่มีการจ้างงานหลายหมื่นอัตราในหลายสาขา มีการใช้วัตถุดิบในประเทศกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อปี จะมีการส่งออกสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 7 หมื่นล้านบาทต่อปี เป็นต้น ทุกคนที่เป็นคนไทยจะได้อานิสงส์ได้รับโอกาสร่วมกันเพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่ มันต้องมีความจำเป็น ในการที่จะต้องมีปรับตัวพัฒนาตนเองไปด้วย แล้วหาช่องทางที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ แรงงานและวัตถุดิบก็ไม่ได้มาจากไหนก็มาจากท้องถิ่น และทั่วประเทศ ผู้ผลิตรายย่อยเอสเอ็มอีสตาร์ทอัพก็ต้องเชื่อมโยงผู้ประกอบการรายใหญ่ในพื้นที่อีอีซี กิจกรรมต่างๆ นั้น คงไม่ได้เกิดแต่เพียงในอีอีซี แต่มันจะเชื่อมโยงไปทั่วประเทศ เชื่อมไปยังซีแอลเอ็มวี อาเซียน และโลก ลองมองย้อนไปยุคโชติช่วงชัชวาล เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา วันนี้เหมือนเรากำลังกินบุญเก่าอยู่ เมื่อใกล้จะหมดลง ประเทศเราจะมีอีอีซีเข้ามาทดแทน วันนี้ต้องการทำเพื่อลูกหลาน เพื่อคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมา วันนี้แม้อาจจะยังไม่เห็นผลก็ไม่เป็นไร แต่อีก 3 ปี ข้างหน้าเป็นต้นไป เมื่อโครงการต่างๆ ทยอยเสร็จสมบูรณ์ ท่านจะได้รู้ว่าสิ่งที่ตนพูดตอนนี้มันเป็นความจริงเป็นการสนองตอบสัญญาใจที่เรามีไว้ต่อกัน
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [6 สิงหาคม 2561]

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันอานันทมหิดล ตรงกับวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ผู้ทรงให้กำเนิดคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย โดยทรงมีพระราชปรารภให้มีการผลิตบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชน อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านสุขภาพยังคงเป็นปัญหาพื้นฐานในการดำรงชีวิตของเราทุกคน ซึ่งผมเห็นว่า การป้องกัน ย่อมจะดีกว่าการแก้ไข ที่ทำได้ยากกว่า สิ้นเปลืองเงินมากกว่าทรัพย์สินที่ได้มาสะสมมา อาจต้องหมดไปกับการรักษาพยาบาล อีกทั้งเสียเวลา เสียโอกาสในการทำมาหาได้และเป็นภาระให้กับคนรอบข้าง

ทั้งนี้ ไม่ว่ารัฐจะสามารถจัดสวัสดิการได้ดี ได้มากเพียงใด แต่หากพี่น้องประชาชนไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเอง เราก็จะไม่อาจหลุดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งๆ ที่เราสามารถป้องกัน หลีกเลี่ยงได้โดยง่าย อาทิ ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจนติดเป็นนิสัย ไม่กินหวาน มัน เค็มเกินพอดี จนเสี่ยงเป็นโรคอ้วนโรคไต ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ดูแลบ้านเรือนให้ถูกสุขลักษณะ จนเป็นแหล่งเพาะเชื้อ เป็นที่อยู่ของหนู แมลงสาบ ยุง หรือสัตว์พาหะนำโรคต่างๆ ไปจนถึงไม่มี ตู้ยาสามัญประจำบ้าน ติดไว้ใกล้มือ ที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่าทุกๆ การปฏิรูป ต้องเริ่มที่ตนเองก่อนเสมอ ปัจจุบันนโยบายด้านการแพทย์ บางอย่างก็เป็นการต่อยอดขยายผลทำให้ดีขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับสวัสดิการที่ดีมากยิ่งขึ้น บางอย่างก็เป็นมาตรการใหม่ๆ ที่ต้องอาศัยการบูรณาการกับหลายหน่วยงาน จนเป็นผลสำเร็จ

อาทิ นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิทุกที่ เพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตในช่วง 72 ชั่วโมงแรก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการมีชีวิตรอด ต้องได้รับการปฐมพยาบาลทันที โดยสามารถเข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุที่สุด รวมถึงโรงพยาบาลเอกชน แม้จะไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพก็ตาม เพราะชีวิตคนไม่ว่ายากดีมีจนก็มีคุณค่าเท่ากัน ทั้งนี้เมื่อครบ 1 ปีที่มีการประกาศใช้นโยบายนี้ มีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับบริการ รอดชีวิตจากวินาทีวิกฤติได้ กว่า 15,000 รายแล้ว ผมถือว่าสิ่งนี้คือการสร้างความเสมอภาคในสังคม และเป็นการรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานของพวกเราทุกคนอย่างเท่าเทียม หากใครยังไม่คุ้น ยังไม่รู้จัก อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ก่อนนะครับ หาความรู้ไว้ล่วงหน้าฉุกเฉินขึ้นมา ไม่ว่าที่ไหนกับใคร เราทุกคนสามารถช่วยชีวิตเขาได้ โทร.สายด่วน 1669 นะครับพี่น้อง

ประชาชนที่รักครับ สุภาษิตโบราณกล่าวว่าจิ้งจกทักเรายังต้องฟัง เพราะฉะนั้นทุกเสียง ทุกความเห็น โดยเฉพาะจากพี่น้องประชาชน เจ้าของประเทศ ผม รัฐบาล และ คสช. ได้ยินและได้นำมาสู่กระบวนการแก้ไขอยู่ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เพราะเป้าหมายของเรา คือ การคืนความสุขให้กับคนในชาติ ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่ได้ตีความความสุข แต่เพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ใช้อ้างอิงในวงวิชาการ วงการธุรกิจ หรือเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจต่างๆ แต่รัฐบาลมองและให้ความสำคัญในเรื่องอื่นๆ ที่กว้างกว่านั้น ทั้งเรื่องปากท้องความเหลื่อมล้ำความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาทุจริต การขาดโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอรวมไปถึงความแตกแยกอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นต้น ดังนั้น เสียงสะท้อนจากโพล หรือเสียงบ่นในใจก็ขอให้ถ่ายทอดมาเถิด ผ่านสายด่วนต่างๆ ตามที่ผมได้เคยบอกไปแล้วหลายครั้ง ทั้ง 1111 และศูนย์ดำรงธรรม 1567 รวมทั้งสายด่วนไทยนิยม ซึ่งผมก็ดีใจที่วันนี้หลายเรื่องหลายราว ซึ่งเป็นความทุกข์ใจได้รับการแก้ไขแล้ว แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็จะไม่ถูกมองข้าม แต่เรื่องยากๆ ซับซ้อน ก็ต้องขอเวลาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทำงาน ได้มีเวลาพิจารณาหามาตรการที่เหมาะสม หลายเรื่องซุกอยู่ใต้พรม คนรู้เบาะแสก็ไม่กล้าเปิดเผยเพราะกลัวภัยจะมาถึงตัว ก็ถูกหยิบขึ้นมาสู่สังคม แล้วรัฐบาลนี้ก็เอาจริงเอาจังในบังคับใช้กฎหมาย อาทิ เรื่องอาหารกลางวันเด็ก ขนมจีนน้ำปลาเรื่องเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ผู้ประสบภัย เรื่องกองทุนเสมา ไปจนถึงเรื่องเงินทอนวัด แม้กระทั่ง ความเดือดร้อนจากโครงการพัฒนาต่างๆ เช่น ถนนชำรุด เป็นต้น เราก็ได้พยายามแก้ไขมาตามลำดับ ก็ขอให้ทุกคนสามารถแจ้งเข้ามาตามช่องทางที่กล่าวไว้ได้ อย่าทำให้เสียเวลา อย่าโทรมาโดยที่ไม่มีความจำเป็น มารบกวน มาว่ากล่าวเจ้าหน้าที่ บางที่ก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าไร

สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือการปฏิรูปเรื่องใหญ่ๆ ก็คงต้องอาศัยเวลาในการผลิดอกออกผล การปลูกข้าว ยาง อ้อย ยังต้องใช้เวลา ระหว่างรอชาวสวน ชาวนาก็หาอาชีพเสริมทำ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว วันนี้เราลงทุนเพื่ออนาคตจำนวนมาก นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนแล้ว ก็ยังเป็นการสร้างโอกาส สร้างสิ่งดีๆ เพื่อวันข้างหน้า อาทิ การเร่งสร้างรถไฟฟ้าเกือบ 10 สายในวันนี้ เพราะที่ผ่านมาเดินหน้าไม่ได้ อาจจะทำให้รถติด ต้องอดทน เพื่อความสะดวกสบายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การสร้างอีอีซีที่จะเริ่มทยอยเห็นผล ที่มีการจ้างงานหลายหมื่นอัตราในหลายสาขา มีการใช้วัตถุดิบในประเทศกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อปี จะมีการส่งออกสร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 7 หมื่นล้านบาทต่อปี เป็นต้น ทุกคนที่เป็นคนไทยจะได้อานิสงส์ได้รับโอกาสร่วมกันซึ่งเพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่ มันต้องมีความจำเป็น ในการที่จะต้องมีปรับตัวพัฒนาตนเองไปด้วย แล้วหาช่องทางที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ แรงงานและวัตถุดิบก็ไม่ได้มาจากไหนก็มาจากท้องถิ่น และทั่วประเทศ ผู้ผลิตรายย่อยเอสเอ็มอีสตาร์ทอัปก็ต้องเชื่อมโยงผู้ประกอบการรายใหญ่ในพื้นที่อีอีซี กิจกรรมต่างๆ นั้น คงไม่ได้เกิดแต่เพียงในอีอีซี แต่มันจะเชื่อมโยงไปทั่วประเทศ เชื่อมไปยังซีแอลเอ็มวี อาเซียน และโลก ลองมองย้อนไปยุคโชติช่วงชัชวาล เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา วันนี้เหมือนเรากำลังกินบุญเก่าอยู่ เมื่อใกล้จะหมดลง ประเทศเราจะมีอีอีซีเข้ามาทดแทน วันนี้ผมต้องการทำเพื่อลูกหลาน เพื่อคนรุ่นใหม่ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมา วันนี้แม้อาจจะยังไม่เห็นผลก็ไม่เป็นไร แต่อีก 3 ปี ข้างหน้าเป็นต้นไป เมื่อโครงการต่างๆ ทยอยเสร็จสมบูรณ์ ท่านจะได้รู้ว่าสิ่งที่ผมพูดตอนนี้มันเป็นความจริงเป็นการสนองตอบสัญญาใจที่เรามีไว้ต่อกัน

พี่น้องประชาชนที่รักครับ สัปดาห์ก่อนเราคนไทยคงได้รับทราบข่าวที่นำมาซึ่งความสุขในการคว้าแชมป์เมเจอร์รายการยูเอส วีเมน โอเพ่น 2018 ของ โปรเม เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวขวัญใจชาวไทย ซึ่งปัจจุบันขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 ของโลก สิ่งที่ผมต้องการชี้ให้เห็น นอกจากความขยัน อดทน มีวินัยในระหว่างการฝึกซ้อมแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การครองสติ มีสมาธิ ที่ทำให้เกิดปัญญา มีการตัดสินใจ มีการแก้ปัญหาได้ในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งผมอยากจะเรียกว่า ความมั่นคงทางจิตใจ หากพูดในเรื่องความมั่นคงแล้ว หลายคนอาจจะคิดถึงเรื่องชีวิต ทรัพย์สิน บ้านเมือง แล้วมักทิ้งภาระให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งอาจไม่ถูกต้องมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงทางจิตใจที่จะต้องเริ่มสร้างจากบวร บ้าน วัด โรงเรียน ซึ่งก็เป็นศาสตร์พระราชาในการจะสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ และพลเมืองดีให้กับประเทศชาติตั้งแต่ต้นทาง ที่สอดคล้องกับวิถีความเป็นไทยที่เรียกว่า ไทยนิยมนั่นเอง

ดังนั้น วันนี้ผมจึงอยากจะชวนคุยเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องบ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และมีส่วนสำคัญโดยตรงต่อครอบครัว อันเป็นแหล่งบ่มเพาะ ปลูกฝัง สร้างภูมิคุ้มกันให้กับสมาชิกในครอบครัว ก่อนก้าวไปเผชิญโลก หรือสังคมภายนอกอย่างมีสวัสดิภาพ ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนมีบ้านเรือนที่เป็นหลักแหล่งมั่นคงแล้วจะมีความสุข มีความอบอุ่นในครอบครัว สมาชิกทุกคนจะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ปัญหาน้อยใหญ่ของสังคมของบ้านเมืองที่เรากำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้จะลดลง เพราะแทบทุกปัญหาเกิดจากคุณภาพของคน การแก้ปัญหาคงต้องเริ่มที่ต้นตอก็คือ คน

ในอนาคตการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร และการอพยพย้ายถิ่น จะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันครัวเรือนไทยกว่า 5 ล้านครัวเรือน ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ซึ่ง 3 ล้านครัวเรือน เป็นผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลมีทั้งมาตรการระยะสั้นในการช่วยจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ด้อยโอกาส พร้อมกับพัฒนาสิ่งแวดล้อมในชุมชน เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตไปด้วย สำหรับมาตรการระยะยาวได้มีการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี พ.ศ. 2560 - 2579 โดยมีเป้าหมายให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในปี 2579 โดยมีหลักในการดำเนินการ 5 ด้าน เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ ได้แก่

1. การพัฒนาและสนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน และขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น โดยมีการบริหารจัดการที่ดินอย่างเหมาะสมควบคู่ไปด้วย รวมถึงเร่งพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้านที่อยู่อาศัย เพื่อจะรับทราบข้อมูลความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงในการจัดทำนโยบายสนับสนุน หรือแก้ไขได้อย่างตรงจุด ตรงความต้องการ

2. การเสริมสร้างระบบการเงินและสินเชื่อ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสการมีที่อยู่อาศัย อาทิ กองทุนที่อยู่อาศัยแห่งชาติ กองทุนเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับชุมชน ระดับเมือง และกองทุนค้ำประกันความเสี่ยงในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็นต้น

3. การยกระดับการบูรณาการด้านบริหารจัดการ ที่อยู่อาศัยในทุกระดับ โดยภาคเอกชนและท้องถิ่นต้องมีส่วนร่วม รวมถึงจัดตั้งศูนย์บริการร่วมแบบเบ็ดเสร็จ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อน

4. การส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งได้อย่างยั่งยืน โดยมีการจัดสวัสดิการในชุมชนเพื่อให้เกิดการพึ่งพากันภายใน และสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน และ

5. การจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีโดยส่งเสริมการจัดการที่ดินและผังเมือง รวมทั้งระบบสาธารณูปโภค มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ภายใต้แผนแม่บทนี้รัฐบาลได้จัดทำแผนงานแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย และยกระดับคุณภาพชีวิต เพื่อรองรับผู้มีรายได้น้อย กว่า 1 ล้านครัวเรือน ทั้งในเมืองและชนบท และอีกประมาณ 2 ล้านครัวเรือน ก็จะจัดให้มีการเช่า หรือเช่าซื้อ เช่น บ้านประชารัฐ บ้านเอื้ออาทร ที่ปรับระบบการบริหารจัดการใหม่ เป็นต้น จะครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัด ประมาณ 6,500 ชุมชน 700,000 กว่าครัวเรือน

ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นภาพการทำงานของรัฐบาลได้ชัดเจนขึ้น ผมขอยกตัวอย่างโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการไปแล้ว สำหรับพี่น้องประชาชนในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้

กลุ่มแรก คือ โครงการที่อยู่อาศัย สำหรับผู้มีรายได้น้อยในชุมชนเมือง ได้แก่

1. บ้านประชารัฐริมคลองลาดพร้าว ยาวเกือบ 32 กิโลเมตร โดยที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นการปลูกสร้างบ้านเรือนโดยไม่ได้รับสิทธิการเช่าที่ดินจากทางการอย่างถูกต้อง และบ้านเรือนทรุดโทรมเพราะปลูกสร้างในน้ำ ซึ่งโครงการบ้านประชารัฐ ได้ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างรัฐกับพี่น้องประชาชน ในการย้ายบ้านเรือนออกจากแนวก่อสร้างเขื่อน แล้วรวมตัวกันเช่าที่ดินอย่างถูกต้อง

ระยะเวลาช่วงแรก 30 ปี เมื่อครบ 30 ปีแล้ว ก็สามารถทำสัญญาต่อได้คราวละ 30 ปี ค่าเช่าก็ไม่แพง ปีละไม่กี่ร้อยบาท หรือเดือนละ 50 ถึง 100 บาทต่อครัวเรือน เท่านั้น รวมถึงมีการให้สินเชื่อเพื่อการสร้างที่อยู่อาศัยในรูปแบบสหกรณ์ ครัวเรือนละไม่เกิน 360,000 บาท ผ่อนชำระ 15 ปี ซึ่งโครงการนี้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย มีสถานที่พักผ่อนในชุมชน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพี่น้องชุมชนริมคลอง ส่งเสริมการฝึกอาชีพให้กับกลุ่มแม่บ้านรวมทั้งมอบทุนการประกอบอาชีพในหลายชุมชน

ปัจจุบันดำเนินการแล้ว 29 ชุมชน 2,600 กว่าครัวเรือน ซึ่งก่อสร้างที่อยู่อาศัยแล้วเสร็จ ทั้งสิ้น 1,190 ครัวเรือน อีก 1,200 กว่าครัวเรือน อยู่ระหว่างการก่อสร้างเป็นต้น

ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องในชุมชนริมคลองเท่านั้น แต่จะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากได้อีกด้วย

2. โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงจากพื้นที่อาคารแฟลตดินแดงเดิมที่ทรุดโทรม และไม่ปลอดภัยแก่การอยู่อาศัยมาเป็นเวลานาน ที่ผ่านมาได้มีความพยายามที่จะดำเนินการปรับปรุงมาต่อเนื่องนานถึง 16 ปี

รัฐบาลนี้ได้เข้ามาสานต่อเพื่อเร่งแก้ไข ปรับเปลี่ยนเพิ่มคุณภาพชีวิต และยกระดับการอยู่อาศัยของคนในพื้นที่ ให้ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อช่วยขับเคลื่อนและให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และความจำเป็นการฟื้นฟูชุมชนดินแดง

จนในที่สุดก็สามารถทยอยเริ่มดำเนินการได้ช่วงปลายปี 2559 ซึ่งหากโครงการเสร็จสิ้น จะสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ได้ทั้งหมด 20,000 กว่าหน่วย แยกเป็นการรองรับผู้อยู่อาศัยเดิม ประมาณ 6,500 หน่วย ซึ่งการก่อสร้างในระยะแรก คาดว่าจะแล้วเสร็จ ในเดือนมิถุนายนนี้

สำหรับการรองรับผู้อยู่อาศัยใหม่ ที่เป็นข้าราชการ และประชาชนทั่วไป ประมาณ 13,000 หน่วย อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมทุนกับเอกชน

โครงการนี้ นอกจากจะทำให้ประชาชนในชุมชนมีความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นการสร้างทัศนียภาพเมืองให้น่าอยู่ เพิ่มพื้นที่นันทนาการ สวนสาธารณะ อีกทั้ง ยังจัดพื้นที่ร้านค้าชุมชน เพื่อจะสร้างโอกาสให้ผู้อยู่อาศัยในชุมชนมีรายได้มีสุขภาพที่ดี ทั้งด้านจิตใจ ร่างกาย เศรษฐกิจ สังคมและ สิ่งแวดล้อมอีกด้วย

3. โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในเมืองที่ไร้บ้าน เพื่อฟื้นฟูศักยภาพบุคคล และช่วยเหลือให้คนไร้บ้าน กลับคืนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และสังคม มีการดำรงชีวิตประจำวันดีขึ้น

ได้มีการสร้างศูนย์คนไร้บ้าน เพื่อดำเนินกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และกรุงเทพมหานคร โดยในปี 2560 มีการก่อสร้างศูนย์ฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพคนไร้บ้านจังหวัดเชียงใหม่ สามารถรองรับกลุ่มคนไร้บ้าน 80 ราย

ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็มีการปรับปรุงศูนย์แรกรับคนไร้บ้าน เขตตลิ่งชัน รองรับกลุ่มคนไร้บ้าน 50 ราย และในปี 2561 ดำเนินการจัดซื้อที่ดินพร้อมอาคารในพื้นที่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี รองรับกลุ่มเป้าหมาย 120 ราย

พื้นที่ จ.ขอนแก่น กำลังดำเนินการจัดซื้อที่ดินและออกแบบศูนย์ร่วมกันระหว่างเครือข่ายคนไร้บ้าน นักวิชาการ และภาคีในพื้นที่ เพื่อจะรองรับกลุ่มเป้าหมายอีก 125 ราย นะครับ ก็คงต้องทำต่อไปนะครับ จำนวนเรามีมากพอสมควร

สำหรับโครงการในกลุ่มที่สอง เป็นโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับคนยากจน ผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มผู้เปราะบาง ผมขอยกตัวอย่าง ได้แก่

1. โครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการเพื่อขจัดอุปสรรค และสนับสนุนให้คนพิการสามารถดำรงชีวิต และปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้

โดยพิจารณาคนพิการที่มีฐานะยากจน มีที่อยู่อาศัยไม่มั่นคง ไม่มีคนดูแล ไม่ปลอดภัย หรือ ไม่เหมาะกับสภาพความพิการ โดยจะมีการปรับสภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อการดำรงชีวิต

เช่น การปรับปรุงห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ บันได ทางเดิน ห้องนอน และอื่นๆ ตามความจำเป็น มีเป้าหมายในการดำเนินการ จำนวน 132,700 หลัง

นอกจากนี้ ผมได้สั่งการให้ทุกโครงการเพื่อสาธารณะ จะต้องสอดคล้องกับแนวทางอารยสถาปัตย์ แม้จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่เราจะต้องลดความเหลื่อมล้ำทางกายภาพ ให้ได้เสียตั้งแต่วันนี้

2. โครงการเสริมสร้างชีวิตใหม่ให้คนไร้ที่พึ่ง เร่ร่อน และผู้ทำการขอทานภายใต้โครงการบ้านน้อยในนิคมสร้างตนเอง โดยที่รองรับกลุ่มเป้าหมายที่ผ่านกระบวนการฟื้นฟูศักยภาพ ตามธัญบุรีโมเดล จำนวน 347 หลัง ในพื้นที่นิคมสร้างตนเอง 23 แห่ง ใน 17 จังหวัด

พร้อมทั้งพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพ และทักษะการใช้ชีวิตอิสระเพื่อให้พร้อมในการกลับคืนสู่ครอบครัว และชุมชน

ปัจจุบันมีผู้เข้าสู่กระบวนการพัฒนา 224 ราย ส่งกลับบ้านแล้วในปีงบประมาณ 2561 ทั้งหมด 10 ราย และยังมีผู้เข้าร่วมโครงการ 202 ราย อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมด้านอาชีพ เช่น การทำงานในสถานประกอบการ การจ้างงานตามบ้าน และพื้นที่การเกษตร

ในกลุ่มที่สาม เป็นการบูรณาการการแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้กับเกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และที่อยู่อาศัยในชนบท ผมยกตัวอย่างดังนี้

1. โครงการบ้านมั่นคงชนบทในพื้นที่ ส.ป.ก. ที่ดำเนินการใน 7 จังหวัด 10 โครงการ จำนวน 982 ครัวเรือน ดำเนินการแล้ว 497 ครัวเรือน เช่น โครงการบ้านมั่นคงในพื้นที่ ส.ป.ก. จังหวัดอุทัยธานี ที่มีการจัดสรรที่ดิน 3 พันกว่าไร่ให้เกษตรกรเกือบ 500 แปลง ครอบครัวละประมาณ 5 ไร่ ซึ่งภาครัฐสนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้างบ้านหลังละ 4 หมื่นบ้าน และเจ้าของบ้านสมทบส่วนที่เหลือ โดยการก่อสร้างบ้านจะใช้วิธีการลงแรงร่วมกันเพื่อประหยัดงบประมาณ ซึ่งครัวเรือนจะปลูกพืชผักสวนครัวไว้ทานเอง ส่วนในแปลงเกษตรจะปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นอาชีพหลัก และเป็นเกษตรผสมผสาน เป็นต้น ซึ่งก็เป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนระดับฐานราก ด้วยการทำงานอย่างบูรณาการกันของภาครัฐ สิ่งสำคัญก็คือพลังของประชาชนในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งการระเบิดจากข้างในตามศาสตร์พระราชา

2. โครงการบ้านพอเพียงในชนบท เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนยากจนในพื้นที่ชนบทที่มีปัญหาความเดือดร้อนด้านที่ดินและที่อยู่อาศัย รวมทั้งพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ และที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหาย โดยในปี 2560 ได้ดำเนินการไปแล้วประมาณ 10,000 ครัวเรือน และในปี 2561 มีเป้าหมายจำนวน 15,000 ครัวเรือน แต่ดำเนินการได้มากกว่าเป้าหมาย ที่ 16,260 ครัวเรือน ซ่อมสร้างเสร็จแล้ว 4 พันกว่าครัวเรือน งบประมาณรวมราว 340 ล้านบาท โดยรัฐสนับสนุนงบประมาณซ่อมแซม หรือสร้างใหม่โดยใช้วัสดุเก่าที่มีอยู่บางส่วน ครัวเรือนละไม่เกิน 18,000 บาท ส่วนที่เกิน เจ้าของบ้านหรือชุมชนอาจต้องร่วมสมทบ โดยใช้แรงงานในชุมชนร่วมกันลงแขก สร้างความสามัคคีในชุมชนของตน ในบางตำบลก็ร่วมกันก่อตั้งกองทุนพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นกองทุนนำไปช่วยผู้อื่นต่อไปอีกด้วย

นอกจากโครงการที่ผมยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างแล้ว ยังมีอีกหลายโครงการที่ภาครัฐดำเนินการโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ก็คือสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนในทุกกลุ่มมีโอกาสได้ปรับปรุงที่อยู่อาศัย และยกระดับการดำรงชีวิตให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการซ่อมแซมปรับปรุงที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ หรือการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้แก่ราษฎรยากจนและด้อยโอกาสในชุมชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งหมดนี้ถือเป็นความคืบหน้าการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังของภาครัฐ ซึ่งก็จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีให้กับการขับเคลื่อนแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัย และยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ในการลดความเหลื่อมล้ำ และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ยกระดับความเป็นอยู่ และสร้างภาวะแวดล้อมที่ดีให้กับลูกหลานของเราต่อไปด้วย

ขอชมเชยคณะทำงานแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ IUU หรือ ICAO ต่างๆ ที่ได้มีการดำเนินการก้าวหน้ามาตามลำดับ ผมพอใจในการทำงาน เข้าใจ และเห็นใจ ทั้งข้าราชการ ทั้งพี่น้องชาวประมง ที่ทำในสิ่งที่เป็นปัญหามายาวนานได้สำเร็จมาตามลำดับขั้น ก็ต้องมีผู้ได้รับผลกระทบอยู่บ้าง แต่เราก็จำเป็นต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาต่อไป เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมืองของเรา

สุดท้ายนี้ ผมขอยกย่องและร่วมแสดงความยินดีกับนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม ที่ทุกคนรู้จัก ที่ได้รับการพิจารณาให้เข้ารับพระราชทานรางวัลพระราชทานบันเทิงเทิดธรรม รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปีนี้ ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่สำคัญที่สุดจากเวที Nine Entertain Awards จากกิจกรรมเพื่อสังคม ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ที่คนไทยทุกคนรับทราบเป็นอย่างดีแล้ว ผมเห็นว่าเป็นการปฏิรูปของคนบันเทิงครั้งสำคัญ ครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ ตามแนวคิด “หน้าบ้านคุณภาพ หลังบ้านคุณธรรม” ในการประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนในสังคม ทั้งหน้ากล้อง และหลังกล้อง ทำให้คนไทยตระหนักถึงการรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลัง และการมีจิตอาสา ทำเพื่อส่วนรวม สอดคล้องกับช่วงเวลาของการปฏิรูปประเทศของเราในเวลานี้ ที่จะต้องเกิดขึ้นในทุกวงการและในทุกๆ ด้าน

สัปดาห์หน้ามีกิจกรรมที่สำคัญ 2 กิจกรรมด้วยกัน ก็คือ

1. ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดนครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 11 - 12 มิถุนายน ที่จะลงพื้นที่เพื่อพบปะพี่น้องประชาชนกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย นครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี และจะไปดูเรื่องของการฟื้นฟูแม่น้ำพิจิตร การพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญ บึงสีไฟ บึงพอระเพ็ด การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบลอจิสติกส์ การพัฒนาปัจจัยการผลิตเพื่อลดต้นทุน และการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ตลอดจนการพัฒนาการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพและความยั่งยืน เป็นต้น

2. มีการประชุมผู้นำ ACMECS หรือยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ระหว่างวันที่ 15-16 มิถุนายน 2561 ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเราเป็นเจ้าภาพ โดยมี 5 ประเทศสมาชิก ก็คือ CLMVT ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เป็นจุดยุทธศาสตร์ระหว่างจีนกับอินเดีย และระหว่างมหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิก สำหรับประเด็นที่จะนำมาพูดคุย และผลการประชุม ผมจะนำมาเล่าในโอกาสต่างๆ ต่อไป สิ่งสำคัญที่ดีก็ขอความร่วมมือจากคนไทยทุกคนให้มีความร่วมมือร่วมใจในการเป็นเจ้าบ้าน เป็นเจ้าภาพที่ดีด้วย

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น