เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าจะไม่อาจระบุได้ชัดว่า “เขา” คนนั้นคือใครกันแน่ ที่เริ่มส่งเสียงดังขึ้นว่า “อาจจะไม่มีเลือกตั้ง” ตามกำหนด คือ “เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด” แต่หากพิจารณาจากการประเมินสถานการณ์ทั้งจากฝ่ายพวก “กองแช่ง” จากนักการเมือง และฝ่ายที่มองจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ รวมไปถึงปัญหาสารพัดที่เริ่มรุมเร้าเข้ามาถี่ยิบในช่วง 4 ปีของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพราะแม้แต่กรณีล่าสุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการกองปราบปรามนำกำลังบุกจู่โจมเข้าจับกุมอดีตพระพุทธะอิสระ ที่วัดอ้อน้อย จังหวัดนครปฐม ว่า เป็นการกระทำที่ “น่าเกลียด” แรงเวอร์ จนเป็นคำถามตามมาหลายอย่างว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะคดีที่ถูกตั้งข้อหานั้นล้วนเป็นข้อหาเก่าตั้งแต่ปี 2556 - 2557 ผ่านมาตั้งหลายปีตำรวจมัวทำอะไรกันอยู่
จากนั้นก็จะมีคำถามที่น่าสนใจที่ตามมา ก็คือ งานนี้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ถูก “วางยา” หรือเปล่า หรือว่ามีเจตนา “กวาด” อดีตพระพุทธะอิสระไปพร้อมกัน คิดว่า เมื่อมีการจับกุมพระเถระในคดีทุจริตที่เรียกให้เข้าใจว่า “เงินทอนวัด” เหมือนกับการเดินหน้าปฏิรูปวงการสงฆ์ ปฏิรูปในมหาเถรสมาคม (มส.) ลดอิทธิพลของการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่เข้ามาใช้วงการสงฆ์ขยายฐานทางการเมืองและผลประโยชน์มานาน
แน่นอนว่า หากพูดกันแบบตรงไปตรงมา ก็ต้องสรุปในเบื้องต้นเอาไว้ก่อน ว่า การปฏิรูปวงการสงฆ์รวมทั้งการดำเนินคดีกับบรรดาพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในคดีทุจริตเงินทอนวัดแม้ว่าจะ “ไม่ได้ใจ” จากเครือข่ายมวลชนจากฝ่ายการเมืองตรงข้าม ซึ่งก็คือฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร เพราะหากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้วตั้งแต่วัดสระเกศ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ต่อเนิ่องไปถึงวัดพระธรรมกาย ย่อมต้องมองเห็นภาพกันอยู่แล้ว
แต่สำหรับการจับกุมอดีตพระพุทธอิสระจาก “คดีค้างเก่า” เมื่อปี 56 - 57 มองในมุมไหนก็ไม่เห็นได้แต้ม หากพิจารณาจาก “ทางการเมือง” ซึ่งแน่นอนว่า การดำเนินคดีกับคนที่ถูกกล่าวหาในทางกฎหมายแล้วตำรวจย่อมจับกุมได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังไม่หมดอายุความ แต่คำถามก็คือทำไมต้องจับกุมพร้อมกับคดีเงินทอนวัด และทำไมถึงเพิ่งจะมาจับ และหลังเข้าจับกุมทำไมถึงมีการเผยแพร่คลิปออกมาไม่ต่างจากการประจานผู้ต้องหา จนกลายเป็น “กระแสด้านลบ” ไปถึงฝ่ายตำรวจและกระทบชิ่งไปถึงรัฐบาลที่ถูกมองว่ามี “ไฟเขียว” ให้ “กวาดไปพร้อมกัน”
อย่างไรก็ดี เมื่อกระแสด้านลบแผ่ออกไปในวงกว้างจนประเมินแล้ว ว่า “ส่งผลกระทบทางการเมือง” แน่นอนจึงทำให้เข้าใจกันว่าทำให้ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องรีบออกมา “ขอโทษ” เพื่อดับกระแสความไม่พอใจและลดเสียงวิจารณ์ โดยในคำขอโทษดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่าได้ “เรียกตำรวจชุดจับกุมและผู้บังคับบัญชามาตำหนิ” พร้อมกับยืนยันว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก
มันก็น่าสนใจ เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าการจับอดีตพระพุทธะอิสระย่อมส่งผลสะเทือนจิตใจมวลชนฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่แล้วส่วนจะมากหรือน้อยค่อยมาว่ากัน เพราะรับรองว่าฝ่ายเครือข่ายทักษิณ ย่อมอยู่ตรงข้ามตามธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น ภาพจึงออกมาในแบบที่ว่า “ฝ่ายกองหนุนหดหายจนแทบเหี้ยน” ไปเลย
จนทำให้น่าคิดว่างานนี้ “ใคร” กันแน่ “ที่วางยา” หรือเปล่า เพราะไม่ว่ามองในมุมไหนดูแล้ว “ไม่ฉลาด” เอาเสียเลย
อย่างไรก็ดี การออกมาขอโทษดังกล่าวย่อมทำให้เกิดอารมณ์ผ่อนคลายลงไปบ้างจากสังคมที่ได้เห็นคลิปการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่หลังจากนั้น ในโลกโซเชียลก็มีการเผยแพร่ภาพในอดีตที่มีระดับบิ๊กอย่างน้อย 3 คน ที่มีทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ร่วมเฟรมอยู่กับอดีตพระพุทธะอิสระ แม้ว่าภาพดังกล่าวนี้เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นมาแล้วหลายรอบและเคยเผยแพร่มานานแล้ว แต่คราวนี้หลังจากเกิดเรื่องการจับกุม แต่คำอธิบายของ ทั้ง 3 บิ๊กในปัจจุบันดังกล่าวที่ออกมาในแบบ “ตัดเยื่อใย” ในลักษณะที่ว่าเคย “กราบไหว้ในฐานะห่มผ่าเหลือง” เท่านั้น ไม่เคยรู้จักสนิทชิดเชื้อมากไปกว่านั้น
ความหมายจึงไม่ต่างจากการ “ชิ่ง” ออกห่างให้มากที่สุด แม้ว่าจะพยายามเข้าใจว่ากรณีที่เกิดขึ้นนั้นมันวางตัวลำบาก เหมือนกับว่า “พลาด” แล้วทำอะไรไม่ถูกอะไรประมาณนั้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งแก้ตัวกลับยิ่งเสียแต้ม เพราะไปทำลายความรู้สึกของคนที่เคารพศรัทธาในอดีตพระพุทธะอิสระ ซึ่งก็เชื่อมโยงมาถึงมวลชน กปปส. ได้ไม่น้อย
ดังนั้น จากเรื่องราวที่เกิดขึ้น เหมือนกับว่า เวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แทบจะไม่เหลือกองหนุนเหลืออยู่เลย นี่ยังไม่นับเรื่องใหญ่ คือ เรื่อง “ปากท้อง” ที่ประดังเข้ามาจนสลัดออกได้ยาก โดยเฉพาะเรื่องปัญหาราคาน้ำมันและแก๊สหุงต้มที่กู่ไม่กลับแล้ว!!