เมืองไทย 360 องศา
แน่นอนว่า การที่ตำรวจโดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ภายใต้ปฏิบัติการของกองปราบปรามบุกเข้าจับกุม “พระเถระชั้นผู้ใหญ่” จากวัดดัง วัดชั้นเอกพร้อมกันถึง 3 วัด และจับกุม “พระดัง” แห่งยุคในต่างจังหวัดพร้อมกันภายในวันเดียวย่อมต้องเป็น “เรื่องใหญ่” และข่าวใหญ่แน่นอน และเรื่องนี้จะต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ และพูดถึงกันอย่างครึกโครมต่อเนื่องกันไปอีกหลายวัน
สำหรับพระ 3 รูปจากวัดดังที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการกองปราบปรามเข้าจับกุมเมื่อตอนเช้าวานนี้ (24 พฤษภาคม) ที่ผ่านมา ประกอบด้วย พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะภาค 10 ถัดมา ก็คือ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และ เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
และแห่งที่สาม คือ วัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร จับกุม พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และ เจ้าคณะภาค 4 - 7
อย่างไรก็ตาม ในระดับพระเถระที่เป็นระดับกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ตำรวจสามารถจับกุมตัวได้แค่ 1 รูป คือ พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เท่านั้น ส่วนอีก 2 รูปที่เหลือ สามารถหลบหนีไปได้
แม้ว่าในการจับกุมตามหมายจับในครั้งนี้จะมีพระอื่นๆ อีกหลายรูป รวมทั้งฆราวาสอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกดำเนินคดีในคดีทุจริตเงินทอนวัด คดีความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินก็ตาม แต่จะขอโฟกัสแยกเอาเฉพาะพระสงฆ์ระดับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นกรรมการ มส. ก่อน
ส่วนอีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ การจับกุม พระสุวิทย์ ธีรธมโม หรือ “พระพุทธะอิสระ” เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ที่วัดอ้อน้อย อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ในข้อหาสนับสนุนให้มีการปล้นทรัพย์ ที่ต่อเนื่องจากการชุมนุมของ กปปส. เมื่อปี 2556 ซึ่งมีเหตุการณ์ชิงอาวุธปืนของสันติบาลไปในครั้งนั้นด้วย
ล่าสุด พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้เปิดเผยว่า ได้ตัวผู้ต้องหาทั้งหมดที่ถูกจับกุมได้ส่งศาลเพื่อขออำนาจฝากขังแล้ว โดยคัดค้านการประกันตัว
นั่นคือ เหตุการณ์และข้อหาโดยสรุปให้เห็น โดยแยกเป็นสองส่วน คือ กลุ่มแรก คือ พระสงฆ์ชั้นเถระที่ถูกดำเนินคดีในคดีทุจริตที่เรียกให้เข้าใจง่าย “ทุจริตเงินทอนวัด” นั่นแหละ กับอีกส่วนหนึ่ง เป็นการจับกุมตาม “หมายจับค้างเก่า” นั่นคือ กรณีของ พระพุทธะอิสระ นั่นเอง
อย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นว่า งานนี้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล “เล่นใหญ่” เพราะหากพิจารณาจากผู้ต้องหาที่โฟกัสมาเฉพาะ ผู้ต้องหาทั้ง 4 รูป (3+1) ก็ต้องรับรู้กันว่ามีความเป็นมาและสถานภาพในปัจจุบันล้วนไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
พิจารณากันในเรื่องผิวเผินแรกเสียก่อน แม้ว่าอาจจะคนละเรื่อง (เดียวกัน) นัก นั่นคือ ผลจากการจับกุมพระสงฆ์สำคัญทั้ง 4 รูปดังกล่าว ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ย่อมต้องเป็นที่โจษขานกันไปทั่ว ที่สำคัญ ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ซึ่งรับรองว่าต้อง “กลบ” เรื่องของพวก “คนอยากเลือกตั้ง” ที่แม้ว่าจะพ่ายจบสิ้นถูกจับกุมกันตั้งแต่วันแรกเมื่อวันครบรอบ 4 ปี ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความพยายามจุดเชื้อไฟให้ติดขึ้นมาใหม่ ที่ใช้ทั้งกระแสจากภายนอกและภายใน “สร้างข่าว” จนผิดสังเกตกว่าทุกครั้ง ดังนั้น เมื่อเจอกับเรื่องข่าวจับกุมพระสงฆ์ระดับเถระและพระดังเข้าไปในครั้งนี้ ก็ย่อมทำให้การพูดถึงเรื่องม็อบ “คนอยากเลือกตั้ง” ซาไปถนัดใจเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องหลักที่น่าจะเป็นเป้าประสงค์หลักสำหรับการจับกุมในครั้งนี้ เชื่อว่า ทางรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องการ “กินรวบพร้อมกันทีเดียวหลายต่อ” ไปอีกทางหนึ่งด้วย
ประการแรกหากพิจารณากันทางการเมือง ก็ย่อมมองเห็นได้ชัด เพราะเมื่อดูจากแบ็กกราวนด์ของพระเถระทั้งสามรูปดังกล่าว ล้วนอยู่ฝ่ายตรงข้ามค่อนไปทาง “กลุ่มอำนาจเก่า” ยิ่งเมื่อพิจารณาจาก “วัดสระเกศ” ก็ย่อมมองได้ไม่ยากว่าเป็นฐานสนับสนุนการเมืองกลุ่มใดในอดีต
ขณะเดียวกัน ยังสามารถเชื่อมโยงไปถึงกลุ่ม “ธรรมกาย” ที่ยังไม่สามารถทลายได้แบบสะเด็ดน้ำ แม้ว่าจะถูกลดทอนอิทธิพลลงไปได้บ้าง แต่ในทางลึกยังไม่อาจสั่นคลอนได้เท่าใดนัก เพราะยังได้เห็นการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
อีกเหตุผลหนึ่งที่ต่อเนื่องกันว่าพระสงฆ์ที่ถูกจับกุมในครั้งนี้ ทั้ง 3 รูป ล้วนเป็น “กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.)” เป็นเจ้าคณะภาค 10 เจ้าคณะภาค 4 - 7 และ เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ย่อมไม่ธรรมดาและเพียงแค่นี้ก็สามารถหลับตาต่อไปได้แล้วว่าก้าวต่อไปจะมีการ “รื้อวงการสงฆ์” หรือไม่
แม้ว่าไม่อาจวิพากษ์วิจารณ์หรือคาดเดาได้เปะปะ แต่รับรองว่าได้อีกไม่นานก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงภายในมหาเถรสมาคมค่อนข้างแน่ เพราะอย่างน้อยความเหมาะสมของ มส. บางรูปได้มัวหมองจากคดีทุจริตไปแล้ว
อีกทั้งหากโฟกัสกันเข้าไปในที่ประชุมมหาเถรสมาคมที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่ามีสายที่ได้รับแต่งมาในยุค “สมเด็จช่วง” จากวัดปากน้ำภาษีเจริญ หรือก่อนหน้านั้นเสียเป็นส่วนใหญ่ กลายเป็นฝ่ายเสียงข้างมากแบบเด็ดขาดมานานแล้ว
ที่ผ่านมา ถือว่าแทบจะเป็นสุญญากาศมานานแล้ว แต่คราวนี้เป็นการใช้จังหวะสำคัญเหมือนกับว่า “เข้าทาง” แบบบังเอิญ เมื่อมีผลการสอบสวนมีหลักฐานพาดพิงมาถึง โดยเฉพาะจาก “เส้นทางการเงิน” ที่สืบสาวและเป็นหลักฐานที่ดิ้นได้ยาก เพราะเอกสารมันโกหกไม่ได้ จึงมัดตัวไว้แน่น และนำไปสู่การจับกุมและการตรวจค้นอย่างขนานใหญ่ และเมื่อพิจารณาจากท่าทีแล้วงานนี้เชื่อว่า “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “คุมงาน” เองเสียด้วย เพราะมีการให้สัมภาษณ์แจกแจงเหตุผลให้เห็นถึงความจำเป็นว่ามาจากสาเหตุเรื่องอะไร แม้จะพยายามออกตัวว่าเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งก็น่าจะจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดแน่
เพราะเมื่อมาพิจารณาจากกรณีการจับกุม “พระพุทธะอิสระ” ที่ถูกดำเนินคดีในข้อหา “ปล้นปืน” หรืออั้งยี่ ซ่องโจร ที่เป็นคดีค้างเก่าตั้งแต่การชุมนุมเมื่อ 2556 และหากนับเวลาแล้วตอนนี้เข้าสู่ปี 61 แล้ว และที่ผ่านมา พระพุทธะอิสระ ก็ปรากฏตัวให้เห็นทุกวัน ทำไมเจ้าหน้าที่ถึงยังเฉยปล่อยเอาไว้ไม่จับกุม หรือว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์โดยส่วนใหญ่น่าสังเกตว่ามีเป้าหมายวิจารณ์พุ่งไปที่ “พี่ใหญ่” มากเกินไปหรือเปล่าโดยเฉพาะกรณี “นาฬิกาหรู” ที่เห็นได้ชัด
นอกเหนือจากนี้หากสังเกตจะเห็นว่า พระพุทธะอิสระ ได้เริ่มออกมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลมากขึ้นแม้ว่าในภาพรวมแล้วจะยังหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้า คสช. แต่หันปากมาโจมตี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นหลักนั่นแหละ หรือแม้ว่าภาพของพระชื่อดังรูปนี้จะร้อนแรงเพียงใด แต่ก็ถือว่ายังสนับสนุนรัฐบาล จนอาจนำไปอธิบายได้ว่าเป็นการดำเนินการแบบ “ไม่เลือกปฏิบัติ” แบบว่าใครทำผิดกฎหมายจับหมดอะไรประมาณนั้น
ดังนั้น หากให้สรุปก็ต้องบอกว่าการจับกุม 3 พระเถระชั้นผู้ใหญจาก 3 วัดดัง และจับกุม พระพุทธะอิสระพร้อมกันในครั้งนี้เหมือนกับการ “กินรวบพร้อมกันหลายเด้ง” เริ่มจากการลดทอนอิทธิพลของสงฆ์อีกฝ่ายที่ก่อนหน้านี้คงคาดไม่ถึงว่าจะทำพลาดจนทิ้งหลักฐานจากคดีเงินทอนวัด ขณะที่กรณีจับกุม พระพุทธะอิสระ มันก็เหมือนกับการ “ปราม” ไม่ให้เคลื่อนไหวกดดันอีก และกรณีของ 3 พระเถระที่แม้ว่าจะหนีรอดไปได้ 2 รูป แต่ก็ถือว่าถูกลดทอนอิทธิพลในวัดและวัดเครือข่ายแทบจะสิ้นเชิงแล้ว
นั่นคือ “ฝันไกล” ของ คสช. และน่าจะเป็น “พี่ใหญ่” ที่ลงมา “คุมงาน” สำคัญนี้ด้วยตัวเองจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ เชื่อว่าหลายคนคงอยากลุ้นไปด้วยกัน เพราะมันละเอียดอ่อนและเสี่ยงไม่น้อย
ล่าสุด เมื่อศาลอาญาไม่อนุญาตประกันตัว พระพุทธะอิสระ ถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำทันที ก็ถือว่า จบเห่เพราะต้อง “จับสึก”!!