“รสนา” ซัดอีกดอก ชี้รัฐใช้ “กองทุนน้ำมัน” เป็นเครื่องมือสร้างภาพลวงตาสร้างกำไรให้กลุ่มทุนน้ำมัน ระบุบิดเบือนกลไกตลาดของ “เอทานอล” จนบิดเบี้ยวราคาแพงหูฉี่แล้วล้วงเงินจากกองทุนฯ มาชดเชยอำพรางราคาเบนซินให้ต่ำลง ขณะเดียวกันยังอุ้มค่าการตลาดมากเกินจริงอีกด้วย เปรียบเทียบแสบไม่ต่างจาก “เตี้ยอุ้มอ้วน” ถามใช่ “ปล้นกลางแดด” หรือไม่
วันนี้ (26 พ.ค.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กรุงเทพมหานคร ได้โพสต์เฟซบุ๊กเปิดโปงขบวนการค้ากำไรของกลุ่มทุนพลังงานที่สมคบกันอำพรางบิดเบือนกลไกตลาด โดยใช้กองทุนน้ำมันที่ไม่มีกฎหมายรองรับเป็นเครื่องมือ โดยมีรายละเอียดดังนี้
“กองทุนน้ำมันคือเครื่องมือกำบังกำไรแฝงของธุรกิจน้ำมัน !?!
นโยบายเรื่องสนับสนุนพลังงานทดแทนจากน้ำมันเอทานอลที่กลั่นจากพืชผลทางการเกษตรนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นวิสัยทัศน์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ที่ทรงมีสายพระเนตรยาวไกลในการช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ท่านในการลดภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าน้ำมัน ดังพระราชดำริที่ว่าให้เติมเอทานอลในเบนซิน 10% จะสามารถลดราคาลงได้ 50 สตางค์ต่อลิตร เป็นการผ่อนเบาภาระของประชาชน
แต่พอวิสัยทัศน์นี้ถูกนำมาดำเนินการเป็นนโยบายของภาครัฐที่ถูกทุนครอบงำก็จะกลายพันธุ์ เหมือนดังสำนวนเสียดสีที่ว่า “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา”
เอทานอลที่ได้จากกากน้ำตาลและมันสำปะหลังทุกวันนี้ มีราคาแพงกว่าเบนซินล้วนๆ
ขอให้ดูโครงสร้างราคาน้ำมันวันที่ 23 พ.ค. 2561
ราคาเนื้อน้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 19.1971 บาท
เอทานอลลิตร 23.59 บาท เมื่อนำเอทานอลจำนวน 85% มาเติมในเบนซิน E85 จึงมีเนื้อน้ำมันแพงกว่าเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 3.2947 บาท และใน E20 ก็แพงกว่าเบนซิน 95 ลิตรละ .8347 บาท
น้ำมันผสมเอทานอลหากมีราคาแพงกว่าน้ำมันเบนซินล้วนๆ มากขนาดนี้ หากปล่อยตามกลไกตลาดย่อมไม่มีใครซื้อ รัฐจึงกำหนดนโยบายบังคับด้วยการเก็บเงินคนใช้น้ำมันเอามาใส่กองทุนน้ำมัน แล้วเอามาชดเชยราคาน้ำมันผสมเอทานอล 2 ชนิด คือ E20 และ E85 ที่ถูกทำให้แพงเกินจริง การชดเชยให้ถูกลงกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ จึงเป็นการพรางตาว่าน้ำมันผสมเอทานอลมีราคาถูกกว่าน้ำมันทุกชนิด
การชดเชยเช่นนี้คือการบิดเบือนราคาตลาด แต่ก็ยังอ้างว่าราคาน้ำมันของประเทศไทยเป็นไปตามกลไกตลาด!!!
สมัยของรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ท่านเคยกำหนดนโยบายน้ำมันว่า “ต้องทำให้มีราคาถูกที่สุด ด้วยประสิทธิภาพ” การทำให้น้ำมันราคาถูกด้วยการล้วงกระเป๋าคนใช้น้ำมันประเภทหนึ่งมาชดเชยคนใช้น้ำมันอีกประเภทหนึ่ง เข้าตำราเตี้ยอุ้มค่อมที่นำไปสู่การไม่พัฒนาประสิทธิภาพและที่ร้ายแรงที่สุดนำไปสู่การทุจริต หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่กรณีเรื่องน้ำมัน ไม่ใช่เตี้ยอุ้มค่อม แต่เป็น”เตี้ยที่อุ้มทุนที่อ้วนด้วยไขมัน”มากกว่า
ลองมาดูกันว่าเหตุใดจึงเป็น “เตี้ยอุ้มอ้วน” เพราะการเอากองทุนน้ำมันมาชดเชยไม่ได้ชดเชยแค่ราคาเอทานอลที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ชดเชยไปถึงค่าการตลาดที่ตั้งไว้สูงลิบลิ่วด้วย ใช่หรือไม่
E85 ได้ชดเชยลิตรละ 9.35 บาท
E20 ได้ชดเชยลิตรละ 3 บาท
ทำไมชดเชยมากกว่าราคาเอทานอลที่เพิ่มขึ้นมา!?!
ลองมาดูค่าการตลาดของ E85 จะพบว่ามีค่าการตลาดสูงถึง 6.0035 บาทต่อลิตร E20 มีค่าการตลาดสูงถึงลิตรละ 3.0735 บาท
เมื่อเอาราคาเอทานนอลที่เพิ่มเข้ามารวมกับค่าการตลาดของ E85 จะเป็นจำนวนเงิน 9.2982 บาท และ E20 จะเป็นเงิน 4.5697 บาท เลยเอากองทุนน้ำมันมาชดเชย E85 ลิตรละ 9.35 บาท และ E20 ชดเชย
3 บาท
การชดเชยค่าการตลาดก็คือชดเชยกำไรของโรงกลั่นน้ำมันและปั๊มน้ำมันที่บวกเข้าไปในราคาน้ำมัน นี่คือชดเชยกำไรของธุรกิจน้ำมันที่ถูกทำให้สูงเกินกว่าความเป็นจริง เป็นราคาที่ไม่ได้เกิดจากการแข่งขัน แต่เป็นราคาที่เกิดจากนโยบายรัฐที่เปิดทางให้กลุ่มทุนพลังงานผูกขาดหักคอประชาชนกำหนดราคาตามอำเภอใจ ใช่หรือไม่
เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2561 วันเดียวกับที่กระทรวงพลังงานประกาศโครงสร้างราคานี้ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช บอสใหญ่ของ ปตท.ให้สัมภาษณ์สื่อว่า
“ปตท.จะดูแลค่าการตลาดน้ำมันให้อยู่ในระดับเหมาะสม ที่ระดับประมาณ 1 บาท 60 สตางค์ ถึง 1 บาท 80 สตางค์ต่อลิตร”
ขอให้ท่านทั้งหลายดูค่าการตลาดในโครงสร้างราคาน้ำมัน จะเห็นว่าค่าการตลาดของน้ำมันทุกชนิดสูงกว่าคำพูดของซีอีโอท่านนี้ ใช่หรือไม่
กองทุนน้ำมันจึงเป็นกองทุนล้วงกระเป๋าประชาชนและเป็นตัวกำบังสายตาของสังคม ไม่ให้เห็นได้โดยง่ายว่าข้ออ้างการชดเชยนั้นไม่ใช่ชดเชยในยามที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแกว่งตัวสูง จึงเอามาชดเชยราคาน้ำมันสำเร็จรูปไม่ให้สูงเกินไปจนประชาชนเดือดร้อน แต่กองทุนน้ำมันถูกถ่ายเทจากกระเป๋าประชาชนคือมาชดเชยกำไรแฝงที่บวกเข้าไปในราคาเอทานอล และค่าการตลาดของโรงกลั่นน้ำมันจนสูงเกินจริงใช่หรือไม่
ภาษีสรรพสามิตน้ำมันจะเก็บเงินประชาชนต้องผ่านการอภิปรายในสภาว่าเก็บได้สูงสุดกี่บาท แต่กองทุนน้ำมันไม่มีกฎหมายรองรับ แต่เก็บเงินประชาชนเท่าไหร่ก็ได้ตามอำเภอใจ ชดเชยน้ำมันอะไรในจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ เพราะมีอำนาจรัฐกดหัวประชาชนไว้
ท่านรัฐมนตรีพลังงาน ดร.ศิริ จิระพงศ์พันธ์ ออกมาประกาศว่าจะใช้กองทุนน้ำมันที่มีเงินเหลืออยู่ 3 หมื่นล้านบาทมาชดเชยดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาท ท่านควรกลับไปดูว่าโครงสร้างราคาน้ำมัน มีค่าการตลาดและกำไรแอบแฝงอะไรบ้างที่ควรตัดออกไปเสียก่อน ก่อนที่จะเอากองทุนน้ำมันที่เป็นเงินอีกกระเป๋าของประชาชนมาใช้อุดหนุนกำไรแฝงของกลุ่มธุรกิจน้ำมัน ที่ได้กำไรเกินควรเหมือนเดิม เพียงแต่ประชาชนจ่ายจาก 2 กระเป๋า แต่ในราคาที่ถูกเอาเปรียบเหมือนเดิม
อย่าให้ประชาชนเกิดความรู้สึกว่าบ้านเมืองนี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีคนพูดกับดิฉันว่าประชาชนถูก
“ปล้นกลางแดด แดกด้วยนโยบาย”
ใช่หรือไม่!!??”