“ประยุทธ์” ลั่น ครม.สัญจรลงพื้นที่สุรินทร์-บุรีรัมย์ ไม่เอี่ยวการเมือง บอก จนท.เป็นคนจัดจะให้ไปพบริมน้ำหรือในป่าก็พร้อมไป แม้มีคนมารับเพียงคนเดียวก็ไม่เกี่ยง โวเป็น รบ.แรกที่ไปทุกพื้นที่ แต่ไม่ได้จะอนุมัติงบทุกความต้องการ แจงแว้นโชว์เพื่อเรียนรู้ด้วยตนเอง วอนสื่อทำความเข้าใจและสร้างการรับรู้
วันนี้ (8 พ.ค.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่อาคารอเนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าอยากให้ทุกคนกับไปดูว่าในปีแรกของรัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง อาจจะไปในพื้นที่ที่มีปัญหาก่อนเพื่อแก้ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และแม้จะไปในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งก็ตามก็จะมีการเชิญผู้ว่าราชการในกลุ่มจังหวัดนั้นๆ มาพูดคุยทุกครั้ง และการประชุม ครม.นอกสถานที่ก็ได้นำ ครม. รวมทั้ง กรอ.มาร่วมประชุมร่วมกับสภาการค้าอุตสาหกรรม ท้องถิ่น การที่รัฐบาลลงมาในพื้นที่ต่างจังหวัดไม่ได้ลงมาเพื่อรับคำขอ และรัฐบาลก็ทำการบ้านก่อนมาตลอด เราจะยึดหลักการเหตุผลและความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ และต้องตัดสินใจให้รอบคอบว่าจะใช้งบประมาณส่วนใดที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เรามีแผนงานของรัฐบาลอยู่แล้ว และให้พื้นที่เสนอความต้องการขึ้นมาสิ่งให้ที่ตรง มีงบประมาณเพียงพอก็สามารถทำให้ได้ทันที ส่วนสิ่งใดที่ยังไม่ตรงก็ต้องมีการหารือและปรับ ทุกเรื่องจะต้องเข้าสู่ที่ประชุมและเป็นมติของ ครม.ว่าจะอนุมัติหรือไม่ ไม่ใช่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อการเมือง หรือเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง หรือตนไม่ต้องลงไปได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ แม้จะมีแผนงานแล้วก็ตาม แต่ก็อยากเห็นด้วยตาตัวเอง เพราะกลัวข้อมูลจะไม่เพียงพอและในแต่ละพื้นที่ก็ไม่สามารถใช้มาตรฐานเดียวกันได้จึงขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้มาเพื่อการเมือง การเมืองคือการทำเศรษฐกิจ สร้างสภาวะแวดล้อมให้มั่นคงปลอดภัย
“ดังนั้น การเดินทางมาประชุม ครม.ในครั้งนี้ไม่ใช่ลงมาเพื่ออนุมัติงบประมาณ 10,000-20,000 ล้าน อย่างที่มีการกล่าวอ้าง ขอให้ทุกคนได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญด้วย ไม่ใช่อะไรก็การเมืองทั้งหมด เพียงแต่ช่วงนี้เป็นการเดินหน้าสู่เรื่องของการเลือกตั้ง หลายคนจึงมองว่าเป็นงานการเมือง การที่รัฐบาลเดินทางมานี้ มุ่งหวังจะไปให้ครบทุกจังหวัด แม้จะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เลือกไปให้ครบทุกกลุ่มจังหวัดก่อน ยืนยันว่ารัฐบาลต้องการไปทุกจังหวัดเพื่อรับฟังความต้องการของประชาชนโดยตรง สอดคล้องกับแผนที่รัฐบาลมีอยู่ในมือและที่ผ่านมาใน 4 จังหวัด 4 ปี รัฐบาลใช้เงินเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำประมาณ 3,000 ล้านบาท และปีนี้เสนอมาอีกพันกว่าล้านก็น่าจะอนุมัติให้ได้ เพราะตรงกับแผนงานของรัฐที่วางไว้และตรงกับความต้องการของประชาชน จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ว่าลงมาแล้วเขาขออะไรรัฐบาลก็ให้โดยคิดไม่เป็น รัฐบาลมีความตั้งใจดี อยากจะให้ทุกอย่าง แต่ต้องดูว่างบประมาณเราเพียงพอหรือไม่ เพราะเราไม่ต้องการเอาเงินอนาคตมาใช้ เพราะจะมีปัญหาในเรื่องหนี้สาธารณะ" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวยอมรับว่า การมาบุรีรัมย์ครั้งนี้เป็นประเด็นทางการเมืองว่ามาพบกับคนนั้นคนนี้ ยืนยันว่าการที่ตนจะไปพบใครที่ไหนอย่างไร หรือจะพูดจากับประชาชนในสถานที่แห่งไหน ทางจังหวัดและเจ้าหน้าที่เป็นผู้เตรียมการทั้งหมด ตนไม่ได้สั่งการว่าจะเป็นที่นี่ที่นั่น เจ้าหน้าที่เขาจะต้องดูว่าความพร้อมมีที่ไหนก็จะเชิญไปที่นั่น “ผมพร้อมจะพบกับคนทุกที่ และผมไม่ได้พบกับใครเป็นการส่วนตัว ไม่ได้พบใครในที่รโหฐาน ทุกคนสามารถถ่ายรูปได้มากมายก็จะเห็นว่าผมไม่ได้ไปแอบพบแอบคุยกับใคร และไม่มีการคุยเรื่องการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ผมถือว่าวันนี้เราต้องหาความร่วมมือในเรื่องการปฏิรูปประเทศ ในการทำงานเพื่อประชาชนในอนาคตให้ได้โดยเร็ว ทำความเข้าใจในเรื่องของยุทธศาสตร์ชาติ ความมั่นคง การสนับสนุนมาตรการในการแข่งขัน รวมทั้งการพัฒนาในด้านต่างๆ เรื่องเหล่านี้เราต้องมีหลักการในการทำงาน และถึงผมมาแล้วไม่มีใครรับ ผมก็มา ที่ไหนไม่มีคนมารับผมสักคน หรือมีเพียงคนเดียว ผมก็มา เพราะผมมาเพื่อที่จะพัฒนาเขา แต่เมื่อเขามาตอนรับก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชนในพื้นที่ให้เกียรติกับผมก็โอเค แต่ผมไม่ต้องการแลกเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องของรัฐบาลไม่ใช่ความดีความชอบของคนเพียงคนเดียว”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวยืนยันว่า การมาครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อการเมือง ที่เดินทางไปสนามช้างอารีนา ก็เพราะเขาเตรียมการต้อนรับในพื้นที่ตรงนั้น ถ้าเขาจัดต้อนรับที่ริมแม่น้ำ รับในป่า ตนก็พร้อมไป ตนจะไปบังคับใครได้ ในเมื่อประชาชนเขาอยากมาก็เป็นเรื่องที่เขาอยากจะพบกับตน ตนก็ต้องไปเจอเขา อย่าไปพูดจาให้เกิดความเสียหาย ส่วนเรื่องการขับขี่จักรยานยนต์ในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต นั้น ตนจำเป็นต้องไปดู และตนก็ขี่เป็นอยู่บ้างก็เลยลองดู อย่างไรก็ตาม การที่จะทำอะไรก็ตามถ้าเราได้เรียนรู้ด้วยตนเองจะรู้ถึงความยากง่าย ตนไม่ได้เก่งไปกว่าใคร ก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน ถ้าล้มคว่ำคะมำหงายก็อายคนเขาเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเคยขี่มาตั้งแต่เด็ก ด้วยความเร็วไม่ได้มากนัก 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็รู้ตัวของตัวเอง แต่ทั้งหมดก็ทำให้รู้ว่าเด็กเหล่านี้มีความพยายามในการขี่จักรยานยนต์แข่งที่ต้องใช้ความเร็วสูงถึง 200-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องง่ายมีความเสี่ยง ขณะหลวงพ่อคูณนั่งรถแค่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ลงไปแล้ว ดังนั้นต่อให้ห้อยหลวงพ่อคูณก็เอาไม่อยู่ ทั้งหมดอยู่ที่ตัวของเราเอง อยู่ที่ความเชื่อมั่น
“ลองคิดดูว่า การแข่งขันมอเตอร์ไซค์แต่ละครั้ง 4 ชั่วโมงไม่มีหยุด ต้องเอนตัวแต่ละรอบไม่รู้กี่ครั้ง เอนตัวไปทั้งด้านซ้ายละขวา มันอันตรายแค่ไหน ความเร็วในโค้ง 200-300 กิโลเมตร เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นกิจกรรมการแข่งขันด้านกีฬาที่คนทั้งโลกนิยม ก็น่าดีใจที่เรามีคนของเรามีชื่อเสียงระดับโลก มีคนกล้าที่จะฝึก เมื่อวานที่ผมขี่อันตรายก็อยู่ที่ช่วงเข้าโค้ง การควบคุมรถการถ่วงน้ำหนัก ถ้าใช้ความเร็วมากผมก็คงหลุดโค้ง จึงต้องระมัดระวัง ผมรู้ตัวว่า ทุกคนจ้องจะถ่ายผม ตอนขี่ดีๆ ไม่ถ่าย การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงได้เห็นถึงความรักสามัคคีของคนในจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์ ไม่ว่าจะด้วยอะไรแต่เขาก็มีความรักความสามัคคีทำประโยชน์ให้เกิดแก่ชาติซึ่งก็น่าจะดี และได้มีโอกาสไปดูตลาดคนเดินเซราะกราว ซึ่งปกติขายเฉพาะเสาร์อาทิตย์ แต่วานนี้เป็นกรณีพิเศษ เพราะอยากมาดูหน้านายกฯ คนแน่นตลอดไปหมด อยากจะบอกว่านายกฯ ไม่ใช่คนพิเศษ เป็นคนธรรมดาแตะต้องสัมผัสได้ ผมถือว่าผมได้รับความรัก ได้รับความเมตตาจากประชาชน ผมไม่ได้พูดแบบนักการเมือง กับลูกน้อง กับทหาร ผมก็พูดแบบนี้ มาตลอด เราอยู่คนเดียวไม่ได้ คนเป็นนายกฯก็เช่นกัน อยู่ได้ก็ด้วย ครม. ข้าราชการ ประชาชนผู้ได้รับประโยชน์ การจะทำให้ประเทศแก้ไขปัญหาได้ไม่ใช่แก้เพียงโครมคราม พันหน้าพันหลัง เราต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การมาครั้งนี้ไม่ใช่นายกฯ จะชี้โน้นชี้นี่ ก่อนหน้า 2 วันได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีลงทุกพื้นที่ใน 4 จังหวัดอีสานใต้ เพื่อรวมรวมปัญหาอุปสรรคและความต้องการของประชาชน และนำมาหารือในที่ประชุม ครม. ซึ่งการทำงานควรต้องเป็นแบบนี้ในอนาคตก็ต้องเป็นเช่นนี้ด้วย ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ตาม ฝากสื่อไว้ด้วย ตนจะอยู่หรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่สื่อคือส่วนที่อยู่ในทุกๆ รัฐบาลก็ขอร้องให้ช่วยทำความเข้าใจ ให้ประชาชนเข้าใจให้ดีขึ้น และไม่ว่ารัฐบาลหน้าจะเป็นใครก็ตามจะต้องสร้างการยอมรับและความไว้เนื้อเชื่อใจให้ได้ อย่าไปสอนประชาชนให้ได้อะไรมาง่ายๆ เพราะมันจะสูญสลายหมดสิ้นไปง่ายเช่นกัน แต่ละปีงบประมาณหมดไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นรัฐบาลนี้เป็นห่วงมากที่สุด
“ผมอยากฝากสื่อมวลชน เพราะหลายคนบอกว่ายังไม่รู้รัฐบาลทำอะไรให้บ้าง เพราะส่วนใหญ่ข้อมูลที่ติดตามคือเรื่องความขัดแย้ง ชาวบ้านไม่ได้ตามดูข้างในว่ารัฐบาลทำอะไร ชาวบ้านมักเอาการเมืองมาขับเคลื่อน ความสงบและความไม่สงบเรียบร้อย มักเกิดขึ้นจากพวกเรา จากสื่อ และรัฐบาลอาจพูดจาจนเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะผม ชอบพูดเยอะ แต่ผมพูดด้วยความตั้งมั่นตั้งใจดีของผมเอง บางทีไม่มีเจตนาก็ต้องขอโทษด้วย เราจึงจำเป็นต้องสร้างการรับรู้ให้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าในทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจะมีการขึ้นป้ายทั้งหมด ขอบคุณ พณฯท่านคนนั้นคนนี้ที่สร้างสะพานสร้างถนนให้ แต่ผมบอกไม่จำเป็น สิ่งที่รัฐบาลทำคือการสร้างความรับรู้กับสื่อและสังคมโซเชียลว่าเราทำอะไรไปบ้าง และผมเชื่อว่าไม่เคยมีแบบนี้มาก่อนที่รัฐบาลลงพื้นที่เกือบทุกจังหวัด ทุกภาค ผมไม่ได้มาประชาสัมพันธ์เพื่อให้รักรัฐบาล แต่อยากชี้ให้เห็นถึงจิตใจของ ครม. ข้าราชการ พยายามทำดีอย่างเต็มที่” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว