“ประยุทธ์” อ้างเป็นดิจิตอล-4.0 รัฐบาลแรก ลดภาระประชาชนใช้เอกสาร ยันเดินหน้าปราบทุจริต ย้ำ ศธ.บรรจุหลักสูตร พร้อมออกข้อสอบปราบโกง หวังสร้างจิตสำนึก
วันนี้ (4 พ.ค.) เมื่อเวลา 12.35 น. ที่อาคารไปรษณีย์กลาง บางรัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงผลภายหลังเป็นประธานการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ว่าการประชุมในวันเดียวกันนี้เพื่อติดตามผลการดำเนินงานในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา โดยการปรับประเทศให้เป็น 4.0 นั้น เพิ่งเริ่มขึ้นในรัฐบาลนี้โดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาให้บริการประชาชน
นายกฯ กล่าวว่า พร้อมกันนี้ยังได้เน้นย้ำการเข้าสู่รัฐบาลดิจิตอลเพื่อให้บริการประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการมีสัญญาณอินเทอร์เน็ต หรือไวไฟ ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และย้ำให้ทุกกระทรวงจัดทำแผนงาน โครงการในกรอบงบประมาณของกระทรวงตัวเอง ลดการใช้จ่ายงบประมาณกลาง เพื่อลดภาระงบประมาณของแผ่นดิน และได้สั่งการให้กระทรวงดีอีจัดทำบิ๊กดาต้า เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการพัฒนาประเทศ สอดคล้องกับนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล ลดภาระของประชาชนในการใช้เอกสาร ประชาชนสามารถใช้เพียงเลขประจำตัว 13 หลักในการติดต่อราชการ พร้อมกับพัฒนาระบบการจ่ายเงินโดยใช้บัตรเพื่อลดการใช้เงินสด
นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังเน้นย้ำว่าจะทำอย่างไรจึงจะลดความขัดแย้งระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชนในการทำงาน เพราะแต่เดิมนั้นรัฐจะใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่วันนี้เราจะต้องหารือร่วมกันเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ประชาชนจะมุ่งหวังให้ภาคราชการปฏิรูปเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ประชาชนเองก็ต้องปฏิรูปด้วย มิฉะนั้นก็จะตกรุ่น ยอมรับว่าวันนี้เศรษฐกิจในระดับล่างยังไม่ดีนัก เนื่องจากติดปัญหาเดิมอยู่หลายประการ แต่รัฐบาลก็เร่งพัฒนาโดยมีโครงการเช่น ไทยนิยมยั่งยืน พร้อมให้การตลาดเป็นตัวกำหนดในการปลูกพืชผลการเกษตร
นายกฯ กล่าวว่า วันนี้มีเรื่องน่ายินดีที่การประมูลข้าวที่ประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งข้าวไทยได้รับการประมูล 1.2 แสนตัน จาก 2.5 แสนตัน นั่นแสดงว่าข้าวไทยได้รับความนิยม โดยวันนี้รัฐบาลได้มุ่งเน้นนวัตกรรมใหม่เกี่ยวกับข้าว คือ น้ำนมข้าว แม้จะมีน้ำนมข้าวจากต่างประเทศเข้ามาขายในไทยแล้ว ดังนั้น คนไทยจึงต้องช่วยกันสนับสนุนคนไทยเอง ยังเป็นผลดีต่อคนที่แพ้น้ำนมจากวัว โดยได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เร่งพัฒนาเรื่องดังกล่าวนี้ แม้ในตลาดของไทยน้ำนมข้าวยังไม่โตมากนัก แต่ก็ได้ให้ทยอยนำออกสู่ตลาดมาเรื่อยๆ เพื่อแก้ปัญหาข้าวล้นตลาด และขอเน้นย้ำกับเกษตรกรว่า ไม่ว่าจะปลูกอะไรจะต้องคำนึงถึงการตลาดเสมอ เพราะหากปลูกแล้วปริมาณเกินมากๆ ก็จะมีปัญหา
“ทุเรียนก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าใครจะไปปลูกทุเรียนก็ได้ เพราะใช้เวลา 5-6 ปี กว่าจะออกผล วันนี้ก็อย่าโวยวายมากนักเลยว่าทุเรียนแพง เดี๋ยวจะกลายเป็นการส่งเสริมให้ปลูกทุเรียนกันมากเกินไป นอกจากนี้ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นการผลิตพลังงานหมุนเวียนของประชาชน นอกจากนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ปิดกั้นการผลิตพลังงานหมุนเวียนของประชาชน เพียงแต่เมื่อผลิตมาแล้วจะได้มาขายให้รัฐอย่างเดียวคงไม่ได้”
นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังเน้นย้ำเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยการทุจริตจะต้องไม่เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด หากพบการทุจริตจะต้องแจ้งมาในทันที และถ้าพบว่าเกิดขึ้นนานแล้ว ก็ต้องให้ระดับกระทรวง หรือระดับหน่วยงานลงไปตรวจสอบ ในแผนงานและโครงการต่างๆ นั้น เช่น โครงการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่ได้เปลี่ยนวิธีการจ่ายงบประมาณออกไปใหม่ โดยเน้นให้ถึงมือประชาชนโดยตรง การจะบอกว่ารัฐบาลนี้มีทุจริตอยู่คงไม่ได้ เพราะการทุจริตมีเกิดขึ้นในทุกรัฐบาล มันอยู่ที่ว่าจะลดลงได้เพียงใด ที่สำคัญประชาชนทุกคนจะต้องไม่ให้คนทุจริตมาเรียกรับผลประโยชน์ และต้องไม่ไปเสนอผลประโยชน์ให้เขา ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่แสดงความรับผิดชอบ แต่ทุกคนจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน และการเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องไม่มีทุจริต รัฐบาลต่อๆ ไปก็ต้องช่วยกันลดปัญหาเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด เพราะถือเป็นอนาคตของประเทศ ขณะที่กระทรวงศึกษาธิการ จะต้องบรรจุเรื่องการต่อต้านการทุจริตลงในหลักสูตรการศึกษา พร้อมกับต้องมีในข้อสอบด้วย
“ที่ผ่านมาเราพูดกันว่าต้องมีธรรมาธิบาล ต้องไม่ทุจริต แต่อะไรคือเรื่องเหล่านี้ เพราะการเอารัดเอาเปรียบคนอื่นก็ถือว่าเป็นการทุจริต จึงต้องสร้างเรื่องเหล่านี้ให้ประชาชนรุ่นใหม่ รู้สึกรังเกียจการทุจริต อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในอนาคตทุกอย่างจะดีขึ้น เพราะการจัดทำนโยบายในอนาคตนั้นจะต้องคำนึงถึงแหล่งที่มาของรายได้ ถึงแม้การบริหารราชการแผ่นดินจะยากสักหน่อย แต่ถ้าเราซื่อสัตย์ก็จะสามารถทำได้ เพราะการที่จะตอบโต้หรือต่อต้านก็ไม่ช่วยให้ทำอะไรได้เหมือนเดิม” นายกฯ กล่าว