“กองทัพ” ระบุยังจำเป็นต้องเกณฑ์ทหาร วอนประชาชนเข้าใจภารกิจทหาร ไม่ใช่แค่ปกป้องประเทศ แต่ต้องพัฒนาด้วย ขณะเดียวกันการย้ายหน่วยงานกองทัพตั้งหัวเมืองเป็นเรื่องยาก เพราะทหารมีครอบครัวด้วย
วันนี้ (24 เม.ย.) พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) และทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความเห็นและเรียกร้องยกเลิกการเกณฑ์ทหารเปลี่ยนเป็นการรับสมัคร รวมถึงการลดขนาดกองทัพลงเพื่อให้มีกำลังพลเหมาะสมกับภารกิจ และย้ายหน่วยงานของกองทัพออกไปอยู่ตามหัวเมืองว่า คำว่าเกณฑ์ทหารเป็นภาษาพูดตามเนื้อความ พ.ร.บ.การรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 ว่าด้วยการตรวจเลือก ดังนั้น การยกเลิกเกณฑ์ทหารเปลี่ยนเป็นการรับสมัครก็ต้องไปดูกฎหมายดังกล่าวนี้ว่าเอื้ออำนวยให้สามารถปฏิบัติได้หรือไม่ หรือต้องแก้ไขอย่างไร ทั้งนี้ ในปัจจุบันมียอดผู้สมัครโดยเฉลี่ยในแต่ละปีประมาณร้อยละ 42 ของความต้องการใช้กำลัง คือ กองทัพยังคงดำเนินการตามที่กฎหมายระบุไว้
พล.ต.ปิยพงศ์กล่าวต่อว่า สำหรับการลดขนาดกองทัพได้มีแผนรองรับทั้งในระดับยุทธศาสตร์จนถึงเหล่าทัพอยู่แล้ว ทั้งนี้เป็นไปเพื่อตอบสนองภารกิจตามมาตรา 52 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า กองทัพไม่ได้มีภารกิจเพียงด้านความมั่นคงภายนอกเท่านั้น แต่กองทัพยังมีภารกิจในการพัฒนาประเทศ รวมถึงการบรรเทาสาธารณภัย นอกจากนี้ยังมีภารกิจตอบสนองภัยคุกคามรูปแบบใหม่ซึ่งมีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นหน่วยงานขับเคลื่อน เป็นรูปแบบของความมั่นคงภายใน การผลิตและการเตรียมจำนวนกำลังพลในกองทัพ ดังนั้นจึงมีความสำคัญเพราะทหารไม่สามารถผลิตได้ในระยะเวลาอันสั้น และต้องเป็นไปอย่างสอดคล้องกับภัยคุกคามที่หน่วยงานความมั่นคงทุกระดับนับตั้งแต่สภาความมั่นคงลงมาได้ประเมินไว้
ส่วนที่มีข้อเสนอการย้ายหน่วยงานกองทัพออกไปชานเมือง เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดอยู่แล้ว ส่วนใหญ่หน่วยที่ตั้งใน กทม.จะเป็นหน่วยบัญชาการ ส่วนกลาง หรือมีภารกิจเฉพาะโดยตรง การย้ายที่ตั้งต้องใช้งบประมาณ ไม่ใช่แค่ตัวทหาร หรืออาคารสถานที่ แต่หมายความรวมถึงครอบครัว และองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมขอให้สาธารณชนได้เข้าใจในภารกิจของกองทัพว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ขอขอบคุณในความปรารถนาดีต่อข้อเสนอกองทัพจะนำไปเป็นข้อพิจารณาในการกำหนดแผนในอนาคตต่อไป
