สตง. ชำแหละ! “โครงการชลประทานโคราช” ก่อน ผอ.โครงการฯ ถูกเด้งเข้ากรุ ปมแก้มลิง เผยแผนพัฒนา “ลำเชียงไกร” มูลค่า 1.6 พันล้าน แก้ภัยแล้ง - น้ำท่วม หลัง “บิ๊กตู่” ลงพื้นที่อนุมัติแผน 3 ปี พบปีแรก 513 ล้าน ดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามแผน จัดซื้อวัสดุเกินความจำเป็น ไม่ได้จัดทำแผนจัดหาวัสดุ รุกล้ำที่ดิน คันดินขวางร่องน้ำธรรมชาติ กระทบ อปท./ ประชาชน
วันนี้ (23 เม.ย.) มีรายงานจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงาน สตง. ได้เผยแพร่รายงานการตรวจสอบ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำเชียงไกร (ตอนล่าง) โครงการชลประทานนครราชสีมา กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีงบประมาณ 2559 - 2561 รวมวงเงิน 1,669.90 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยอย่างยั่งยืนให้กับจังหวัดนครราชสีมา ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและแก้ไขปัญหาภัยแล้งจังหวัดนครราชสีมา และได้อนุมัติงบประมาณโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ ประกอบด้วย 1. เพิ่มประสิทธิภาพกักเก็บน้ำอ่างเก็บน้ำฯ จะยกระดับการเก็บกักน้ำขึ้นอีก 1 เมตร สามารถเก็บน้ำเพิ่มอีก 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ก่อสร้างแก้มลิงบริเวณอ่างฯ เก็บน้ำได้ 4 ล้านลูกบาศก์เมตร ช่วยน้ำอุปโภคบริโภค 14,500 ครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ในฤดูฝน 100,000 ไร่ ฤดูแล้ง 25,000 ไร่ 2. ปรับปรุงระบบระบายน้ำ ประกอบด้วย อาคารบังคับน้ำ และระบบระบายน้ำพร้อมอาคารประกอบ ระยะทางประมาณ 122.00 กิโลเมตร สามารถมีน้ำเก็บกักไว้ประมาณ 10 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 3. เพิ่มประสิทธิภาพการเก็บกักน้ำในลุ่มน้ำฯ ก่อสร้างแก้มลิงพร้อมอาคารประกอบสามารถมีน้ำเก็บกักไว้ประมาณ 7 ล้านลูกบาศก์เมตร
จากการตรวจสอบ สตง. พบประเด็นปัญหาว่า ข้อตรวจพบที่ 1 “การดำเนินโครงการไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด” โดยโครงการฯ ได้รับงบประมาณประจำปี 2559 จำนวน 513.64 ล้านบาท สำหรับงานก่อสร้างจำนวน 20 งาน โดยได้แต่งตั้งผู้รับผิดชอบงานก่อสร้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 เพื่อทำหน้าที่ตรวจและควบคุมงาน ณ สถานที่ที่กำหนด รวมทั้งสั่งเปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติม หรือตามที่เห็นสมควรและตามหลักวิชาช่างที่ดี เพื่อให้เป็นไปตามสัญญา
“คนคุมงานรายเดียว” รับผิดชอบก่อสร้าง 9 จุด พ่วงเป็นกรรมการตรวจรับ
“พบว่า เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมงานต้องรับผิดชอบควบคุมงานก่อสร้างมากกว่า 1 จุด บางรายต้องรับผิดชอบ ถึง 9 จุด ในเวลาเดียวกัน ยังต้องท้าหน้าที่เป็นกรรมการตรวจรับพัสดุและกรรมการตรวจผลการปฏิบัติงานในโครงการ รวมถึงงานอื่นๆ ของโครงการฯ ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้ควบคุมงานจะไม่สามารถควบคุมงานได้อย่างเต็มความสามารถ หากเกิดปัญหาระหว่างการก่อสร้างจะไม่สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที”
จากการตรวจสอบเอกสารรายงานฯ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ปีงบประมาณ 2559 ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 และสังเกตการณ์ ณ วันที่ 7 ก.ค. 2560 ซึ่งครบกำหนด ระยะเวลาการก่อสร้างทุกงานแล้ว พบว่า ยังไม่มีงานก่อสร้างใดแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด และบางจุดก่อสร้างมีความล่าช้ากว่าแผนค่อนข้างมาก
จัดซื้อวัสดุเกินจำเป็น ไร้แผนจัดหาวัสดุ เฉพาะ “แผงเหล็กปิดกั้นน้ำ-เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล”
ข้อตรวจพบที่ 2 การจัดซื้อวัสดุเกินความจำเป็น ไม่ได้จัดทำแผนการจัดหาวัสดุ แต่ได้ดำเนินการซื้อวัสดุบางรายการตามประมาณการก่อสร้าง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการใช้งานและมีการจัดเก็บที่ไม่เหมาะสม เช่น การจัดซื้อแผงเหล็กที่ใช้สำหรับปิดกั้นน้ำชั่วคราว (Bulkhead Gate) ตามแผนปีงบประมาณ 2559 ได้ก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ 17 แห่ง โดยได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนติดตั้งบานระบายน้ำที่สามารถเปิด - ปิดได้ เพื่อช่วยในการเก็บกักน้ำในฤดูแล้งและระบายน้ำส่วนเกินในช่วงฤดูฝน โดยดำเนินการในลักษณะจัดซื้อพร้อมติดตั้ง ซึ่งมีระยะเวลารับประกันความชำรุดบกพร่องเป็นเวลา 1 ปี ในช่วงนี้หากมีความชำรุดบกพร่อง ผู้รับจ้างต้องดำเนินการแก้ไขเพื่อให้สามารถใช้งานได้ตามปกติ
สำหรับบางจุดก่อสร้างนั้น นอกจากมีการจ้างติดตั้งบานระบายน้ำทุกจุดก่อสร้างแล้ว ยังมีการจัดซื้อแผงเหล็กที่ใช้สำหรับปิดกั้นน้ำชั่วคราว (Bulkhead Gate) ซึ่งแต่ละอาคารบังคับน้ำจัดซื้อในจำนวนที่ไม่เท่ากัน คือ อาคารบังคับน้ำแบบ 2 ช่องบานระบาย จัดซื้อ 12 ชุด และอาคารบังคับน้ำแบบ 3 ช่องบานระบาย จัดซื้อ 20 ชุด รวมทั้งหมด 7 อาคาร จัดซื้อ 100 ชุด คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 2,146,083 บาท ซึ่ง Bulkhead Gate ดังกล่าวจะใช้งานก็ต่อเมื่อมีการซ่อมประตูบานระบายน้ำที่ได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนเป็นผู้ติดตั้ง หลังจากพ้นกำหนดระยะเวลาประกันไปแล้ว กรณีมีการจ้างซ่อมบำรุงโดยว่าจ้างบริษัทเอกชนนั้น การจัดหา Bulkhead Gate นั้นเป็นภาระของผู้รับจ้าง หรือหากมีการซ่อมประตูน้ำในช่วงฤดูแล้งซึ่งไม่มีน้ำ Bulkhead Gate อาจจะไม่ถูกน้ามาใช้งานเลย
โครงการฯ มีการจัดซื้อ Bulkhead Gate มากถึง 100 ชุด ทั้งที่ในปีแรก อาจไม่จำเป็นต้องใช้เนื่องจากยังอยู่ในระยะประกัน อีกทั้งการใช้งานนั้นยังสามารถยกมาใช้ร่วมกันได้ทุกจุด เนื่องจากขนาดของบานระบายน้ำแต่ละจุดมีขนาดเท่ากัน ซึ่งการจัดซื้อ Bulkhead Gate ในปีแรกจึงเกินความจ้าเป็น ส่วนปีถัดไปเมื่อหมดระยะประกันก็อาจไม่จ้าเป็นต้องจัดซื้อถึง 100 ชุด เนื่องจากแต่ละชุดสามารถเคลื่อนย้ายและใช้งานร่วมกันได้
จากการตรวจสังเกตการณ์ ครั้งที่ 1 วันที่ 5 - 12 ก.ค. 2560 พบว่า Bulkhead Gate ถูกวางทิ้งไว้กลางแจ้งบริเวณสถานที่ดำเนินการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญหายและเกิดสนิม และครั้งที่ 2 วันที่ 7 ก.ย. 2560 พบว่า Bulkhead Gate มีการย้ายสถานที่จัดเก็บ แต่ยังไม่มีอาคารสำหรับจัดเก็บ ถูกทิ้งไว้กลางแจ้ง ทำให้เกิดสนิมได้ง่าย ปัจจุบันยังไม่มีการใช้งานแต่อย่างใด
ต่อมา การจัดซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล ชนิด 2 สูบ 4 จังหวะโครงการฯ ได้ก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ 17 แห่ง และได้จัดซื้อ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล 17 เครื่อง มูลค่ารวม 2,602,363.66 บาท เพื่อผลิตไฟฟ้าโดยเชื่อมต่อกับเครื่องกว้าน และ Gear Motor Flange Mounting เพื่อเปิด-ปิด ประตูบานระบายน้ำ ซึ่งการเปิด - ปิด ในแต่ละครั้งนั้น โครงการชลประทานนครราชสีมาจะน้าเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลซึ่งมีขนาดเบา มีล้อเลื่อนสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย น้ามาเชื่อมต่อกับเครื่องกว้าน และ Gear Motor Flange Mounting เพื่อเปิดหรือปิด หรือเปลี่ยนระดับประตูน้ำ เมื่อเปิดหรือปิดเสร็จแล้ว ก็สามารถถอดเครื่องออกได้ โดยไม่จ้าเป็นต้องเชื่อมต่อไว้ตลอด เมื่อใช้งานเสร็จแล้วจะนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าไปเก็บ ในที่ที่ปลอดภัย เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะสูญหายจากการถูกลักขโมย
และจากการสังเกตการณ์ ณ วันที่ 7 กันยายน 2560 พบว่า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลทั้งหมดถูกเก็บไว้ที่โครงการชลประทานนครราชสีมา (อำเภอเมืองนครราชสีมา) และได้สอบถามเจ้าหน้าที่ของโครงการชลประทานนครราชสีมา ทราบว่า เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลทั้งหมดยังไม่ได้มีการใช้งานแต่อย่างใด เนื่องจากงานก่อสร้างอาคารบังคับน้ำยังไม่แล้วเสร็จ มีเพียงการทดสอบเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลเพื่อตรวจรับครุภัณฑ์เท่านั้น ซึ่งหากมีการใช้งานเครื่องดังกล่าวจริง ก็สามารถนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลเพียงเครื่องใดเครื่องหนึ่งไปใช้งานเท่านั้น จึงไม่มีความจ้าเป็นที่ต้องจัดซื้อถึง 17 เครื่อง อีกทั้งอาคารบังคับน้ำในแต่ละจุดอยู่ไม่ไกลกัน (ห่างกันประมาณ 2-3 กิโลเมตรต่อ 1 อาคารบังคับน้ำ) ซึ่งสามารถเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้โดยง่าย
นอกจากนี้ การดำเนินโครงการฯ ได้จัดซื้อวัสดุบางอย่างที่มีสภาพคงทนถาวร มีการจัดซื้อที่มากเกินความจำเป็น โดยจากการสุ่มตรวจโครงการ ที่ได้รับงบประมาณตั้งแต่ปี 2558 - 2559 (ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปีงบประมาณ 2560) พบว่า มีการจัดซื้อวัสดุเบ็ดเตล็ดทุกงานก่อสร้าง ซี่งวัสดุดังกล่าวค่อนข้างมีความคงทน เช่น ค้อน พลั่ว เทปวัดระยะ เสื่อปูนอนอย่างดี ร่มสนาม เป็นต้น โดยการจัดซื้อในแต่ละครั้งนั้นเป็นคนละห้วงเวลา หากใช้งานเสร็จสามารถนำไปใช้งานต่อได้ แต่โครงการฯมีการจัดซื้อทุกครั้ง ที่ดำเนินการก่อสร้าง หรืองานซ่อมแซมอื่น ๆ และหากตรวจสอบย้อนหลังจะพบว่า โครงการฯ มีการจัดซื้อในลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ มีการจัดซื้อทุกครั้งที่มีงานก่อสร้างหรืองานซ่อมแซมอื่นๆ
ข้อสังเกตที่ 1 “งานที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ มีสภาพชำรุด” โครงการฯ ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำในลักษณะงานดำเนินการเอง ซึ่งลักษณะของงานจะประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารบังคับน้ำ และปรับแต่งคันดินบริเวณรอบอาคารบังคับน้ำ จากการตรวจสังเกตการณ์ ณ วันที่ 4 ก.ค. 2560 พบว่า คันดินบริเวณรอบอาคารบังคับน้ำ มีสภาพช้ารุด และบางจุดยังมีการถูกน้ำกัดเซาะเนื่องจากการบดอัดดินไม่แน่น ซึ่งในระยะแรกของการดำเนินโครงการเริ่มมีสภาพช้ารุด อาจมีผลในระยะยาวหากไม่มีการซ่อมแซมเพื่อให้มีสภาพปกติ
โครงการรุกล้ำที่ดิน คันดินขวางร่องน้ำธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อ อปท./ ประชาชน
ข้อสังเกตที่ 2 งานระหว่างดำเนินการส่งผลกระทบต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนโครงการฯ ได้ทำคันดินเพื่อกักเก็บน้ำและยังใช้เป็นทางสัญจรสำหรับประชาชนในท้องถิ่น แต่ในการดำเนินการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชนและท้องถิ่นในบริเวณใกล้เคียง ท้าให้ได้รับความเดือดร้อนในหลายพื้นที่ ดังนี้
2.1 ปัญหาการรุกล้ำที่ดินของประชาชน โครงการชลประทานได้มีการขุดลอกและถมดิน เพื่อทำสันเขื่อนรวมทั้งเพื่อใช้เป็นทางสัญจร แต่การท้าสันเขื่อนเพื่อใช้เป็นทางสัญจรนั้นได้รุกล้ำที่ดินของประชาชนจำนวน 3 ราย คือ รายที่ 1 นางสาวลัดดาวัลย์ จันรอด ซึ่งมีที่ดินอยู่ในเขต ต.สำโรง อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา รายที่ 2 นางส้มเกลี้ยง กลิ่นสันเทียะ มีที่ดินอยู่ในเขต ต.สำโรง อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา รายที่ 3 นางแต๋ว หร่ายกลาง มีที่ดินอยู่ในเขต ต.โนนสูง อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา
2.2 ผลกระทบต่อประชาชนในท้องถิ่น เช่น การท้าคันดินขวางร่องน้ำธรรมชาติ เดิมเมื่อเกิดฝนตกน้ำจากทุ่งนาหรือพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชนสามารถระบายลงล้าเชียงไกรได้ แต่การที่โครงการชลประทานนครราชสีมาได้ทำคันดินยกสูงขึ้นและถมดินทับร่องน้ำธรรมชาติเดิม โดยไม่มีการวางท่อลอดส่งผลท้าให้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป เกิดปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ของประชาชนและพื้นที่ของชุมชน อีกทั้งบางแห่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนแทน เช่น เทศบาลตำบลโคกสูง อำเภอเมืองนครราชสีมา ได้วางท่อลอดเพื่อระบายน้ำจากทุ่งนากรณีเกิดฝนตกหนักเพื่อให้ไหลลงล้าเชียงไกร และองค์การบริหารส่วนตำบลดอนชมพู อำเภอโนนสูง ได้ขออนุญาตโครงการชลประทานนครราชสีมาขุดดินเพื่อเปิดช่องทางระบายน้ำ สำหรับให้น้ำสามารถไหลลงล้าเชียงไกรได้
ปีแรก 513 ล้าน พบจ้างเหมา ใช้จ่ายจริง 151 ล้าน ชลประทานดำเนินการเอง 262 ล้าน
ข้อสังเกตที่ 3 วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายระหว่างงานดำเนินการเองเปรียบเทียบกับงานจ้างเหมาโครงการชลประทานนครราชสีมาได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการพัฒนาลุ่มน้ำล้าเชียงไกร (ตอนล่าง) จำนวน 513.64 ล้านบาท แบ่งออกเป็นงานดำเนินการเอง จำนวน 298.38 ล้านบาท และงานจ้างเหมา จำนวน 215.26 ล้านบาท
จากการวิเคราะห์การใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2559 ระหว่างงานดำเนินการเองทั้งหมดกับงานที่มีการจ้างเหมา ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จและเบิกจ่ายงบประมาณครบทุกงานก่อสร้างแล้ว พบว่า งานดำเนินการเองส่วนใหญ่มีการใช้จ่ายจริงงบประมาณที่ใกล้เคียงกับงบประมาณที่ได้รับ แต่ในส่วนของงานที่มีการจ้างเหมารวมอยู่ด้วย มีการใช้จ่ายเงินต่ำกว่างบประมาณที่ได้รับจัดสรร
“เมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการดำเนินการ จะพบว่า งานจ้างเหมาสามารถประหยัดงบประมาณได้มากกว่างานดำเนินการเองงานดำเนินการทำเองได้รับงบประมาณจ้านวน 298,382,950.00 บาท มีการใช้จ่ายจริง 262,036,236.03 บาท มีเงินคงเหลือ 36,346,713.97 คิดเป็นร้อยละ 87.82”
สำหรับงานจ้างเหมานั้นได้รับงบประมาณจำนวน 215,258,850.00 บาท มีการใช้จ่ายจริง 151,559,742.35 บาท มีเงินคงเหลือ 63,699,107.65 บาท คิดเป็นร้อยละ 70.41 ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนการใช้จ่ายงบประมาณที่ต่ำกว่างานดำเนินการเอง อีกทั้งหากงานจ้างเหมาหากชำรุดบกพร่องยังมีระยะเวลาประกัน 1-2 ปี แต่ถ้าหากเป็นงานดำเนินการเองนั้น กรณีชำรุดบกพร่องต้องดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิม ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลังจากดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว เช่น ค่าน้ำมัน ค่าเช่าเครื่องจักร ค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นต้น ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อน ส่งผลให้การใช้จ่ายเงินไม่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นไปโดยประหยัด
กรมชลฯ เด้ง ผอ.โครงการชลประทานโคราช รอสอบสวน ปมมั่ว “ขุดแก้มลิง”
มีรายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ อธิบดีกรมชลประทาน ได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงจากประชาชนร้องเรียนไม่มีการขุดลอกจริง จ้างแรงงานผี โครงการแก้มลิงชลประทานโคราช จ.นครราชสีมา ว่า ได้มีคำสั่งด่วนย้ายนายเทิดพงษ์ ไทยอุดม ผู้อำนวยการโครงการชลประทานนครราชสีมา พร้อมเจ้าหน้าที่ 2 ราย ออกนอกพื้นที่ให้มาประจำสำนักชลประทานที่ 8 ตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค.เป็นต้นไป เนื่องจากผลสรุปคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่ามีมูลความผิดในเรื่องปริมาณงานไม่ได้ตรงตามรูปแบบของโครงการขุดลอกโครงการแก้มลิง ในพื้นที่ ต.ท่าช้าง อ.เฉลิมพระเกียรติ ต.ทัพรั้ง อ.พระทองคำ ต.ทองหลวง อ.จักราช และ ต.หนองน้ำไส อ.สีคิ้ว จ.นคราชสีมา สำหรับส่วนประเด็นจ้างแรงานงานผี ไม่พบมูลความผิด
“โดยมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัยหรืออาญาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน และรายงานผลสอบให้กับ นายกฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรฯ และ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ ปลัดกระทรวงฯ รับทราบ หลังมีเหตุความน่าเชื่อถือและเป็นกรณีเกิดความเสียหายแก่ราชการ หรือให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน”