“แอมเนสตี้” เปิดรายงานสถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตทั่วโลก ปี 60 ชี้จีนครองแชมป์ ตามมาด้วยอิหร่าน ซาอุฯ ส่วนในอาเซียนมีสิงคโปร์ มาเลย์ เวียดนาม ขณะที่ไทยแม้ยังมีโทษประหารอยู่แต่เป็นประเทศที่ใกล้ยกเลิกโทษประหารแล้วหลังจากไม่มีการประหารชีวิตติดต่อกันครบ 10 ปี
วันนี้ (12 เม.ย.) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล เปิดรายงานสถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตปี 2560 พบว่าการประหารชีวิตส่วนใหญ่ในโลกเกิดขึ้นในประเทศจีน อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย อิรัก และปากีสถาน ตามลำดับ ในอาเซียนมีสิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนามที่มีการประหารชีวิตประชาชน ส่วนไทยยังคงเป็นหนึ่งใน 56 ประเทศที่ยังใช้โทษประหารชีวิตอยู่ ในขณะที่อีก 142 ประเทศทั่วโลกยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติแล้ว
ในรายงาน “สถานการณ์โทษประหารชีวิตและการประหารชีวิตในปี 2560” (Death Sentences and Executions in 2017) ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ที่เผยแพร่ในวันนี้ ยืนยันว่าแนวโน้มทั่วโลกมุ่งสู่ การยกเลิกโทษประหารชีวิต โดยในปี 2560 มีประชาชนอย่างน้อย 993 คนที่ถูกประหารชีวิตใน 23 ประเทศ โดยตัวเลขเหล่านี้ไม่ครอบคลุมการประหารชีวิตหลายพันครั้งที่เกิดขึ้นในจีน ทางการถือว่าข้อมูลการใช้โทษประหารชีวิตเป็นความลับทางราชการ
ในปี 2560 มีการตัดสินโทษประหารชีวิตอย่างน้อย 2,591 ครั้งใน 53 ประเทศ โดย 50 ประเทศได้พิพากษาประหารชีวิต หรือประหารชีวิตประชาชนในคดียาเสพติด ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือมีการประหารชีวิตในคดียาเสพติดสูงสุด ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีประเทศที่ใช้โทษประหารชีวิตกับความผิดนี้สูงสุด คือ 10 จาก 16 ประเทศ และจนถึงสิ้นปี 2560 ยังคงมีนักโทษประหารอยู่ทั่วโลกอย่างน้อย 21,919 คน
ทั้งนี้ เมื่อ 40 ปีที่แล้ว มีเพียง 16 ประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิต ปัจจุบันมี 142 ประเทศ หรือมากกว่า 2 ใน 3 ของประเทศทั่วโลกที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตทั้งในทางกฎหมายหรือในทางปฏิบัติแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าทัศนคติและความเชื่อดั้งเดิมสามารถเปลี่ยนแปลงได้
สำหรับประชาคมอาเซียนซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 10 ประเทศนั้น กัมพูชา และฟิลิปปินส์ ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตสำหรับความผิดทางอาญาทุกประเภทแล้ว ส่วนบรูไน ลาว และพม่า ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติ (หมายถึงการที่ยังคงไว้ซึ่งโทษประหารชีวิต แต่ได้ระงับการประหารชีวิตจริงเป็นระยะเวลา 10 ปีติดต่อกัน) ส่วนประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ยังคงมีและใช้โทษประหารชีวิตอยู่
ข้อมูลจากรายงานล่าสุดระบุว่า สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนามยังคงประหารชีวิตประชาชนในปี 2560 โดยสิงคโปร์ประหารชีวิตประชาชน 8 คน ในขณะที่มาเลเซียมีอย่างน้อย 4 คนที่ถูกประหารชีวิต ส่วนเวียดนามมีแนวโน้มการประหารชีวิตที่สูงที่สุดในภูมิภาค แม้ทางการจะไม่ได้มีการเปิดเผยสถิติการประหารชีวิตอย่างเป็นทางการ เนื่องจากตัวเลขการประหารชีวิตถือเป็นความลับทางราชการ จึงไม่สามารถยืนยันตัวเลขที่แท้จริงได้
นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า ไทยยังคงเป็นหนึ่งใน 56 ประเทศที่ยังใช้โทษประหารชีวิตอยู่ ในปี 2560 มีการตัดสินโทษประหารชีวิต 75 ครั้ง ถือว่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 ที่มีถึง 216 ครั้ง แม้ว่าประเทศไทยยังมีโทษประหารชีวิตอยู่ แต่มีการประหารชีวิตครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2552 ซึ่งเป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 9 ที่ไม่มีการประหารชีวิตจริง
“ขณะนี้ประเทศไทยใกล้จะกลายเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติแล้ว หากไม่มีการประหารชีวิตติดต่อกันครบสิบปี องค์การสหประชาชาติจะถือว่าเป็นประเทศที่ยกเลิกโทษประหารชีวิตในทางปฏิบัติทันที ซึ่งจะกลายเป็นพัฒนาการด้านสิทธิมนุษยชนครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของไทย”
สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 ระบุว่ามีนักโทษประหารชีวิตทั้ง หมด 502 คน เป็นชาย 414 คน หญิง 82 คน โดยกว่าครึ่งเป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล เรียกร้องรัฐบาลไทยให้ดำเนินการตามเจตจำนงที่ระบุไว้ในแผนสิทธิมนุษยชน โดยประกาศพักการใช้โทษประหารชีวิตชั่วคราวอย่างเป็นทางการ และเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อลดจำนวนความผิดทางอาญาที่มีบทลงโทษด้วยการประหารชีวิต รวมทั้งให้ลงนามและให้สัตยาบันรับรองพิธีสารเลือกรับฉบับที่ 2 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (Second Optional Protocol to the International Covenant on Civil and Political Rights) ที่มุ่งยกเลิกโทษประหารชีวิต” ปิยนุชกล่าวทิ้งท้าย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล คัดค้านโทษประหารชีวิตทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด หรือไม่ว่าทางการจะใช้วิธีประหารชีวิตแบบใด โทษประหารชีวิตละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และถือเป็นการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งมีงานวิจัยมากมายจากนานาประเทศได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโทษประหารชีวิตไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น