“อภิสิทธิ์” นำทีม ปชป. ยืนยันสมาชิกวันแรกคึกคัก กลบกระแสอดีต ส.ส. สาย กปปส. ทิ้งพรรค พร้อมแก้เกมศึกชิงเก้าอี้หัวหน้า เปิดทางให้สมาชิกหยั่งเสียงเลือก หน.พรรค พร้อมชู 5 นโยบาย ตั้งรับความท้าทายทำสังคมสู่ยุคดิจิทัล
วันนี้ (1 เม.ย.) เมื่อเวลา 08.00 น. พรรคประชาธิปัตย์ เปิดให้สมาชิกพรรคโดยเฉพาะอดีต ส.ส. และแกนนำพรรคทั่วประเทศมายืนยันตัวตนการเป็นสมาชิกพรรคได้เป็นวันแรก โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรค และอดีตนายกฯ ยืนยันตัวตนโดยสแกนบาร์โค้ดในบัตรประชาชนที่ยึดเลข 13 หลัก พร้อมชำระเงินค่าสมาชิก 2,000 บาท เป็นสมาชิกประเภทตลอดชีพ พร้อมแกนนำพรรค รวมทั้งอดีตแกนนำ กปปส. อาทิ นายอิสระ สมชัย นายวิทยา แก้วภราดัย นายถาวร เสนเนียม พร้อมทั้งอดีต ส.ส. และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ต่างทยอยเดินทางมายืนยันความเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์กันอย่างเนืองแน่น เนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกที่เปิดให้พรรคการเมืองสามารถยืนยันสมาชิกเดิม
ต่อมา นายอภิสิทธิ์ ได้แถลงหัวข้อ “อนาคตประชาธิปัตย์ อนาคตประเทศไทย” ว่า อนาคต บทบาท และวิสัยทัศน์ของพรรคที่มีต่ออนาคตประเทศไทย เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีประชาชนและสมาชิกพรรคจำนวนมากที่กำลังเฝ้าดูว่าจะมายืนยันหรือมาสมัครสมาชิกพรรคหรือไม่ ปัจจุบันประชาธิปัตย์มีอายุ 72 ปี เรายืนหยัดอุดมการณ์พรรคชัดเจนไม่เคยเปลี่ยนแปลง และต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบเพื่อปกป้องประชาธิปไตย วันนี้ มีจำนวนสมาชิกถึง 2.5 ล้านคน มีสาขาเกือบ 200 สาขาทั่วประเทศ แต่เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ และจากการท้าทายรูปแบบใหม่หลายปัจจัย เช่น การขับเคลื่อนเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์และพฤติกรรมของคนในสังคมที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ การเมือง และทุกด้านอย่างมาก พรรคการเมืองจึงต้องปรับตัวและมีส่วนในการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวมให้ได้ หรือการมีกติกาใหม่จากรัฐธรรมนูญ 60 โดยเฉพาะกับการเมือง เช่น การให้พรรคการเมืองเริ่มต้นยืนยันสมาชิกใหม่ ยุบสาขาทั่วประเทศ ขณะที่ประชาชนคาดหวังว่า หลังการเลือกตั้งครั้งหน้าการเมืองจะไม่กลับไปสู่แบบเดิม ที่จมอยู่กับวิกฤตความขัดแย้ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากทีได้หารือกับผู้บริหารพรรค สมาชิก และประชาชนทั่วไป พบว่า การเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งทำให้ประชาชนคาดหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในพรรคประชาธิปัตย์ในคุณลักษณะต่างๆ ที่เรียกว่าเป็นประชาธิปัตย์ยุคใหม่ เช่น ต้องมีความชัดเจนในอุดมการณ์ประชาธิปไตย มีความโปร่งใสตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ต้องให้สมาชิกทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองได้อย่างกว้างขวางทั่วถึง ไม่ใช่พรรคตกอยู่ในมือของนักการเมืองเพียงไม่กี่คน และสามารถบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง เพื่อตอบสนองเป้าหมายเหล่านี้ สิ่งแรกที่พรรคจะดำเนินการ คือ การพิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นพรรคของประชาชน ขณะนี้หลายพรรคมองว่าข้อกำหนดของกฎหมายในการจัดตั้งพรรคมีตัวแทนจังหวัดละ 100 คนเท่านั้น มีสาขาพรรคแค่ 4 สาขาทั่วประเทศก็พอ และมองว่า จำนวนสาขาและสมาชิกไม่ได้บ่งบอกถึงจำนวน ส.ส. ว่าจะได้เท่าไหร่ แต่พรรคประชาธิปัตย์จะพยายามทุกวิถีทางภายใน 30 วันนี้ เดินหน้าระดมสมาชิกพรรคเดิม 2.5 ล้านคน ให้กลับมาได้มากที่สุด และเมื่อ คสช. ปลดล็อกก็จะเดินหน้าหาสมาชิกพรรคเพิ่มอีกจำนวนมาก รวมทั้งจะให้มีสาขาพรรคครอบคลุมทุกพื้นที่
นอกจากนี้ ประชาชนยังต้องการเห็นพรรคบริหารแบบประชาธิปไตย ซึ่งตามกฎหมายสมาชิกยุคใหม่จะมีสิทธิในการลงคะแนนไพรมารีโหวตเพื่อเลือกผู้สมัคร ส.ส. เขต และจัดลำดับ ส.ส. บัญชีรายชื่อ แต่ประชาธิปัตย์ยุคใหม่ทำมากกว่านั้น คือ จะเปิดให้สมาชิกพรรคหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคได้โดยตรง จะทำให้การบริหารพรรคมีประสิทธิภาพ มีความเด็ดขาดมากขึ้น ที่ผ่านมา กฎหมายและข้อบังคับพรรคกำหนดให้การเลือกหัวหน้าพรรคต้องกระทำในที่ประชุมใหญ่ แต่เราจะแก้ข้อบังคับพรรคให้การตัดสินใจในที่ประชุมใหญ่ต้องอยู่บนพื้นฐานการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคของสมาชิกพรรค เป็นการพิสูจน์ว่าสมาชิกเป็นเจ้าของพรรคอย่างแท้จริง และจะสื่อสารกับสมาชิกพรรคผ่านระบบดิจิทัล โดยมีการพัฒนาแอปพลิเคชันที่สมาชิกสามารถร่วมร่างนโยบาย และออกเสียงในเรื่องต่างๆ ผ่านการใช้โทรศัพท์มือถือ อีกทั้งภายในพรรคจะมีการทำงานอย่างโปร่งใส เพื่อให้แน่ใจว่าคนของพรรคจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดมั่นประโยชน์ส่วนรวม และจะมีการสร้างบุคลากรของพรรคอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยจะตั้งสถาบันพัฒนาบุคลากรขึ้นมา และจะนำความเห็นประชาชนมาจัดทำนโยบายซึ่งจะต้องปฏิบัติได้จริง โดยจะมีการทดลองนำร่องนโยบายในพื้นที่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จากความท้าทายทั้งหมดประชาธิปัตย์ยุคใหม่จะร่วมสร้างสังคมใหม่เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายในทุกรูปแบบ แต่ไม่รื้อทิ้งทุกอย่าง โดยจะนำจุดแข็งที่เป็นประโยชน์มาเปลี่ยนแปลงวิธีการเพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า โดยมองว่าต้องมีหลักการของการปฏิรูป 5 เรื่อง ผ่านหลักคิด การลดอำนาจรัฐ และเพิ่มอำนาจประชาชน คือ 1. เศรษฐกิจยุคใหม่ เช่น การยกเลิกดัชนีชี้วัดด้วยจีดีพีเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นกรอบความคิดเก่า ไม่สามารถบอกถึงเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาชนได้ จึงต้องเปลี่ยนตั้งแต่เรื่องเป้าหมายและตัวชี้วัด จึงเสนอว่าต้องมีตัวชี้วัดให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำ สิ่งแวดล้อม สาธารณสุข และธรรมาภิบาลเป็นอย่างไรควบคู่ไปกับการชี้วัดด้วยจีดีพี
“ทุกวันนี้เรามีอภิมหาโปรเจกต์มากมายต้องใช้เงินภาษีอากรของประชาชนเป็นล้านล้านบาท ยกเว้นภาษีอากรเป็นสิบปี ให้เช่าที่ดิน 99 ปี แต่ไม่มีเงื่อนไขว่าคนทีได้ประโยชน์จากโปรเจกต์เหล่านี้ทั้งหมด ตอบโจทย์ให้ประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนอย่างไร ประชาธิปัตย์ยุคใหม่จะแสดงให้เห็นว่าทุกนโยบายของโครงการต้องตอบโจทย์เหล่านี้ให้ได้ว่าประชาชนได้อะไร เพราะความเหลื่อมล้ำทีเกิดขึ้นส่วนหนึ่งเกิดจากการผูกขาดทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่บริหารในเศรษฐกิจยุคใหม่ต้องขจัดความไม่เท่าเทียม เอารัดเอาเปรียบ ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่อไป รวมทั้งต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ทำให้คนทำงานอยู่ในความเสี่ยงที่จะตกงานมากขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องวางรากฐานสังคมสวัสดิการเพื่อรองรับสิ่งเหล่านี้ โดยพรรคจะใช้พื้นฐานเรื่องการออมแห่งชาติที่พรรคได้วางแนวทางไว้แล้วร่วมกับการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเพื่อนำเงินมาใช้ในการสร้างสังคมสวัสดิการต่อไป” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า 2. การศึกษายุคใหม่ ต้องให้โอกาสเด็กเท่าเทียมกันที่จะได้การศึกษาที่มีคุณภาพ เปลี่ยนจากเดิมที่เน้นกระบวนการให้ความรู้มาเป็นการเน้นทักษะเพื่อตอบโจทย์โลกยุคใหม่ จึงต้องเปลี่ยนแปลงกระบวนการเรียนรู้ครั้งใหญ่ แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถทำได้หากรัฐบาลยังรวบอำนาจอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ จึงต้องกระจายอำนาจไปสู่โรงเรียนอย่างแท้จริง ให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดทิศทาง 3. ระบบราชการยุคใหม่ ต่อไปนี้การให้บริหารประชาชนต้องอำนวยความสะดวกเต็มที่ ไม่หย่อนในคุณภาพมาตรฐาน ประสิทธิภาพ ไปกว่าภาคเอกชน และเพื่อสานต่ออุดมการณ์การกระจายอำนาจของพรรค เราจะเดินหน้าสนับสนุนที่จังหวัดจัดการตนเอง และมีการเลือกผู้ว่าราชการจังหวัด จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบราชการครั้งใหญ่ที่ทำให้การทำงานของกลไกราชการในพื้นที่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง ในเมืองใหญ่ๆ ต้องบริการจัดการในรูปแบบมหานคร ทุกภูมิภาคต้องไม่มี ไม่ใช่เฉพาะ กทม. และต้องมีการขยายบทบาทการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขจัดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นจะต้องผลักดันกฎหมายกลางที่กำหนดมาตรฐานการบีริหารท้องถิ่น ต้องโปร่งใสอย่างไร ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างไร
4. การเมืองยุคใหม่ นอกจากตอบสนองความต้องการของประชาชนแล้ว ยังต้องขจัดต้นเหตุของวิกฤตการเมือง คือการทุจริต คือ การเมืองของปราศจากการทุจริต โดยเราจะเป็นผู้นำในการสร้างประเพณี วัฒนธรรม มารยาททางการเมืองในการจัดการกับปัญหานี้เพื่อกอบกู้ศรัทธาของประชาชน การตรวจสอบที่ถ่วงดุลดีที่สุดวันนี้คือเกิดจากสังคม เรื่องอื้อฉาวต่างที่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่สามารถเป่าให้หายไปได้ เพราะสังคมตรวจสอบ เราจะช่วยสังคมด้วยการเปิดข้อมูลราชการเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ให้มากที่สุด และส่งเสริมให้รางวัลกับผู้ที่แจ้งเบาะแสการทุจริตด้วย อีกทั้งต้องยอมรับความหลากหลายโดยมีพื้นที่สำหรับผู้ที่คิดต่าง
และ 5. กฎหมายและกระบวนการยุติธรรมยุคใหม่ กฎหมายระเบียบข้อบังคับ ใบอนุญาตต่างๆ ที่มีอยู่แสนฉบับ ต้องมีการปรับรื้อใหม่ รวมถึงกฎหมายการเงินและโครงสร้างการเงินต่างๆ เพราะหากยังเป็นอยู่อย่างนี้จะพูดเรื่องเศรษฐกิจยุคใหม่ไม่ได้ และในแง่กระบวนการยุติธรรมตำรวจ อัยการต้องปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง การสอบสวนต้องมีความเป็นอิสระ มีการกระจายอำนาจในการบริหารทั้งหมด ประชาชนต้องเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม การพิจารณาคดีต้องรวดเร็ว ไม่เป็นภาระกับประชาชน
“5 เรื่องหลักนี้จะเป็นเสาหลักสำคัญของการสร้างสังคมใหม่ภายใต้แนวคิดและการนำของพรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่ เพราะการปฏิรูปที่พูดกันมาตลอดไม่ได้ตอบโจทย์เหล่านี้ หากเรามียุคใหม่แบบนี้นั่นคือการที่เราจะนำภาพประเทศและ สังคมไทยเพื่อที่จะ ก้าวทะยานไปสู่ความรุ่งเรืองและเกิดประโยชน์กับประชาชนทั้งหมด 30 วันจากนี้ไปใครที่เป็นสมาชิกพรรค อยากจะมาร่วมกับประชาธิปัตย์ยุคใหม่ เมื่อคสช.ปลดล๊อคเมื่อไหร่ มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อช่วยกันผลักดัน สังคมยุคใหม่ที่จะมีโอกาสหลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว