เมืองไทย 360 องศา
เกือบจะทุกรัฐบาลก็ว่าได้เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง มักจะเกิดเรื่องให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน ที่ถือว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวกับความรู้สึกของชาวบ้าน แต่ก็อย่างว่าเมื่อยิ่งอยู่นานมันก็ยิ่งมีเรื่องอื้อฉาวออกมาให้เห็นเรื่อยๆ
เวลานี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังสอบสวนการทุจริตในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งและเงินช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์ ในสังกัดของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เวลานี้แตะไปที่ไหนก็เจอ เพราะมันลุกลามไปทั่วประเทศ
ที่น่าสนใจก็คือ การเปิดโปงล้วนเกิดขึ้นจากนักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่อดทนไม่ได้เมื่อเห็นภาพการทุจริตในองค์กรดังกล่าว โดยเฉพาะการทุจริตเบียดบังเงินของคนยากไร้ ไร้ที่พึ่ง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น “คนจนด้อยโอกาส” แต่ก็ยังถูกข้าราชการในหน่วยงานนี้เบียดบังเอาเงินเข้ากระเป๋าไปอีก ถือว่าจิตใจ “โหดเหี้ยมอำมหิต” มาก เพราะคนระดับจิตใจปกติจะไม่ทำเรื่องที่ฝืนมโนธรรมแบบนี้ได้อย่างแน่นอน
ถัดมาก็เป็นเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับเงินกองทุนเสมาพัฒนา ของกระทรวงศึกษาธิการ ลักษณะก็ไม่ได้แตกต่างกันมีการเบียดบังทุนการศึกษาของเด็ก
มองในภาพกว้างจะเห็นว่ามีการตรวจสอบติดตามกันอย่างใกล้ชิดไปทั่วประเทศ และผลการสอบสวนก็งวดเข้ามาเรื่อยๆ อย่างการทุจริตในศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งนั้นทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กำลังเดินหน้าเต็มตัวและคาดว่าจะสรุปผลได้ทั้งหมดภายในเดือนมีนาคมนี้
ขณะที่การทุจริตในกระทรวงศึกษาธิการ ทาง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงมาลุยเอง
แต่ก็อย่างที่ว่าเอาไว้เรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อนและกระทบกับความรู้สึกของชาวบ้าน และยอ่งเป็นเรื่องโกงเงินคนจนคนด้อยโอกาส เกี่ยวกับเงินทุนการศึกษามันก็ยิ่งไปกันใหญ่ และแม้ว่าที่ผ่านมาฝ่ายรัฐจะเปิดไฟเขียวให้สอบสวนกันอย่างเต็มที่ แต่ภาพที่ออกมาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเกิดการทุจริตในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ล่าสุด ยังมีการร้องเรียนเรื่องการทุจริตในเรื่องการจัดซื้อ “กล้องวงจรปิด” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ประดังเข้ามาอีก โดยมีกลุ่มที่เรียกว่า “กลุ่มธรรมาภิบาล” ร้องเรียนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สอบสวน พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยกล่าวหาว่าเขา “ปล่อยปละละเลย” จนเกิดการทุจริต และยังอ้างว่ากล้องวงจรปิดที่จัดซื้อมานั้นใช้งบประมาณกว่า 405 ล้านบาทนั้น ไม่ตรงสเปก เกิดการชำรุดไปเกือบทั้งหมด ที่สำคัญ ในการร้องเรียนครั้งนี้ ยังมีการอ้างถึง “ใบสั่ง” จากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในการจัดซื้อสินค้าจากบางบริษัทอีกด้วย
เรื่องนี้ถือว่าน่าจับตาอย่างยิ่งเพราะคนที่ถูกร้องเรียน คือ พล.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นคนที่ได้รับมอบหมายให้เป็น “ผู้แทนพิเศษ” ของรัฐบาลในการประสานงานแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อีกตำแหน่งหนึ่ง
ความหมายก็คือ พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ เป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจให้มาดูแลปัญหาชายแดนใต้แทนรัฐบาลนั่นเอง แม้ว่าจะเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการแต่ก็ทำหน้าที่ในแบบรัฐมนตรีในกระทรวงกลาโหมแทนรัฐมนตรีคนก่อน คือ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร นั่นแหละ พิจารณาจากแบ็กกราวนด์ย่อมไม่ธรรมดา
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ชายแดนใต้ในวันนี้ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องการทุจริตเกี่ยวกับการจัดซื้อกล้องวงจรปิดดังกล่าวเคยได้ยินมานานแล้ว เพียงแต่ว่ามีการพูดถึงกันพักหนึ่งก็เงียบไป มีการแฉให้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพของกล้องวงจรปิดมานานแล้ว แต่เรื่องก็เงียบ ซึ่งบางครั้งอาจมีการปกปิดเก็บซ่อนเอาไว้ หรือไม่มีการสอบสวนต่อ หรืออาจมีเรื่องอื่นมากลบจนจางหายไปทุกครั้ง
อย่างไรก็ดี คราวนี้ทางกลุ่ม “ธรรมาภิบาล” ยืนยันว่า จะเดินหน้าไปร้องกับสำนักป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ปปท.)รวมทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งหากร้องเรียนหน่วยงานอย่าง ป.ป.ช. นั่น ก็ย่อมหมายความว่า ต้องมีระดับตำแหน่งทางการเมือง มีรัฐมนตรีบางคนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือใม่
อย่างไรก็ดี เรื่องที่เกิดขึ้นแม้ว่ามีสื่อไปตั้งคำถามกับ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังไม่ยอมให้ความเห็นแต่ย้ำว่าจะมีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างเต็มที่โดยผ่านทาง ป.ป.ท. และ ป.ป.ช.
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากหลายเรื่องทุจริตที่ประดังเข้ามาใส่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่าบางเรื่องจะครึกโครมจากการเดินหน้าสอบสวนหาคนผิด แต่หลายเรื่องดังกล่าวมันก็สะท้อนให้เห็นความจริงว่าในยุค คสช. ก็มีเรื่องอื้อฉาวหาหูเหมือนกัน และยิ่งประเภทที่ว่า “แตะ” ตรงไหนก็เจอก็น่าอันตราย โดยเฉพาะกรณีการทุจริตการจัดซื้อกล้องวงจรปิดในพื้นที่ชายแดนใต้หากเกิดขึ้นซ้ำอีกมันก็ย่อมดูไม่จืดจริงๆ!!