“ประยุทธ์” ย้ำ “ไทยนิยม” สร้างเสริมความเข้มแข็งให้ประเทศ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของ “ในหลวง ร.9 - ร.10” ยันไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์กับรัฐบาล เผยข่าวดีขยาย “คลินิกแก้หนี้” ไปยังกลุ่มอาชีพอิสระ พร้อมชวนประชาชนติดตามข่าวสารรัฐบาลเพิ่ม 4 ช่องทาง
วันนี้ (2 ก.พ.) เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า การขับเคลื่อนด้วยหลักคิดไทยนิยมนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งในมิติสังคมที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความเข้มแข็งในมิติเศรษฐกิจของประเทศ
การแก้ปัญหาความยากจนของประเทศที่ผ่านๆ มานั้น มีปัญหาหลัก 2 ประการ ที่เราต้องยอมรับ ก็คือ 1. คือ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ที่อาจจะละเลยในเรื่องการพัฒนาทางสังคมไปด้วย และ 2. คือ การแก้ปัญหาที่ขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง จนเราไม่รู้ว่าอะไรคือความจน ไม่รู้ว่าใครบ้างที่จนจริง คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ปัญหาของเขาคืออะไรกันแน่ เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน มาตรการต่างๆ ออกมา หรือนโยบายสาธารณะที่ออกมา อาจจะเป็นลักษณะเหมารวม หว่านแห เน้นสูตรสำเร็จที่ไม่มีจริง ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาที่แตกต่างของแต่ละครัวเรือนได้ นำไปสู่การใช้งบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ บางครั้ง อาจจะเลยเถิดไปสร้างกระแสที่เรียกว่า ประชานิยมที่มันผิดๆ มันยิ่งแย่กันไปใหญ่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการไทยนิยมยั่งยืนที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นั้น ขอย้ำและทำความเข้าใจอีกครั้ง ว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อผลประโยชน์อื่นใดกับรัฐบาลเลย แต่เป็นเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 คือ “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”
นายกฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับผู้มีรายได้น้อย และเป็นหนี้ มีข่าวดีเกี่ยวกับคลินิกแก้หนี้ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด บสส. หรือ SAM ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. ได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 16 แห่ง ภายใต้การดูแลของสมาคมธนาคารไทย ในการช่วยเหลือประชาชนรายย่อยที่เป็นหนี้เสีย NPL ของธนาคารพาณิชย์ หลายแห่งให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้ จะได้ช่วยแก้ไขปัญหาภาระหนี้ครัวเรือน รวมทั้งให้โอกาสลูกหนี้ NPL ในการที่จะกลับมามีวินัยทางการเงินที่ดี มีเครดิตที่ดี สำหรับทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคต โดยไม่ต้องติดแบล็กลิสต์ของธนาคาร ไม่ต้องถูกติดตามทวงถามหนี้ ไม่ต้องถูกฟ้อง หรือ เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งเราก็ได้เริ่มดำเนินโครงการมาเมื่อ 1 มิถุนายนปีที่แล้ว สำหรับลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ผู้มีรายได้ประจำ อาทิ ข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทเอกชน นับว่ามีผลงานความก้าวหน้าดี และได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 30,000 ราย มียอดหนี้ที่สามารถปรับโครงสร้างหนี้รวมแล้ว เกือบ 130 ล้านบาท หรือเฉลี่ยภาระหนี้เงินต้น ประมาณ 230,000 บาทต่อราย
ตอนนี้ โครงการนี้ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมพี่น้องประชาชนทั่วไป ที่มีรายได้ไม่ประจำ ไม่มีหลักประกัน อาทิ พ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้รับจ้างทั่วไป ชาวไร่ชาวนา ที่เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ของธนาคารพาณิชย์ 16 แห่ง ที่ร่วมในโครงการนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา
นายกฯ กล่าต่ออีกว่า มุ่งหวังเพื่อจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้ ความเข้าใจในการบริหารจัดการหนี้ รวมถึงอาจจะขาดวินัยการออมโดยคลินิกแก้หนี้ นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระการชำระหนี้ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ บริหารหนี้อย่างเป็นสุข ดอกเบี้ยอัตราต่ำ และพิจารณาความสามารถที่แท้จริงจากรายได้ รายจ่ายที่พิสูจน์ได้ ภายในระยะเวลาที่เหมาะสมแล้ว ยังจะให้ความรู้ คำปรึกษาด้านการเงินกับผู้เข้าร่วมโครงการอีกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า สุดท้ายนี้ อยากให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามข่าวสารของทางราชการ สิ่งใดที่ยังเข้าใจไม่ตรงกัน ก็จะได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาแถลงไขประเด็นปัญหา ให้หมดข้อสงสัย ปัจจุบันก็จะมีการปรับปรุงและเพิ่มเติมช่องทางการสื่อสาร ระหว่างรัฐบาลกับพี่น้องประชาชนใหม่ๆ ดังนี้
1. เวที “สื่ออยากรู้ รัฐบาลอยากเล่า” ทุกเดือน
2. เวที Meet the press ทุกวันพฤหัสบดี
3. รายการ “เดินหน้าประเทศไทย” ทุกวัน เว้นวันศุกร์ หลังเคารพธงชาติ 18.00 น. ที่เราจะปรับรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากขึ้น โดยความร่วมมือของสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง
4. เฟซบุ๊ก “ไทยคู่ฟ้า” ของสำนักโฆษกฯ ที่จะปรับรูปแบบการนำเสนอให้สอดรับการไลฟ์สไตล์ของประชาชนยุค 4.0 ได้ดีกว่าเว็บไซต์ “รัฐบาลไทย” ที่เน้นความเป็นทางการ ที่มีความน่าเชื่อถือ อ้างอิงทางวิชาการได้ แต่จะเป็นการสื่อสารทางเดียวเป็นหลัก ส่วนเฟซบุ๊ก “ไทยคู่ฟ้า” จะเป็นการสื่อสารสองทาง ฝากเรื่องราว คำถาม เสนอแนะเข้ามาได้ อะไรที่อยู่ในความสนใจ ไม่เข้าใจ ก็อาจจะอัดคลิปสัมภาษณ์สั้นๆ พร้อมคำอธิบายจากนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ รัฐมนตรี หรือผู้บริหารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะเน้นการเข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว ก็อย่าทำให้เกิดความวุ่นวายสับสนในเวทีดังกล่าว ก็ขอให้ติดตามได้ แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ ก็อยากให้เป็นตัวอย่างการใช้สื่อโซเชียลที่สร้างสรรค์ เพื่อสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง เราจะได้เป็นไทยแลนด์ 4.0 และ ไทยนิยม ที่มากด้วยคุณค่า และมีวัฒนธรรมที่งดงามของคนไทย ขอให้ทุกคนภูมิใจในความเป็นไทย
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 2 กุมภาพันธ์ 2561
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่ปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฤดูหนาวขึ้น ภายใต้ชื่ออุ่นไอรัก คลายความหนาว เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ และแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งกว่าจะเป็นประเทศไทยได้อย่างทุกวันนี้นะครับ บ้านเมืองของเราได้ผ่านทั้งศึกสงคราม และเรื่องราวต่างๆ มามากมาย หลายเหตุการณ์สำคัญที่เราผ่านพ้นมาได้ เพราะพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีต ดังนั้น งานนี้จึงมีการจัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ไทย กุศโลบายการพัฒนาประเทศ รูปแบบการจัดงานจะมีลักษณะย้อนยุคที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไทยวิถีชีวิตของคนไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และมีกิจกรรมที่น่าสนใจอื่นอีกนะครับ แบ่งเป็น 3 โซน ด้วยกัน ก็คือ 1.โซนพระลานพระราชวังดุสิต จัดแสดงนิทรรศการและกิจกรรมสยามประชารำลึกนะครับ ที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม มีการจัดสวน พันธุ์ไม้ น้ำพุ และงานประดิษฐ์ตามศิลปะไทยแบบชาววัง 2.โซนสนามเสือป่าจัดร้านค้าในพระบรมวงศานุวงศ์และร้านค้ารับเชิญ เช่น ร้านศิลปาชีพ 904 ร้านภูฟ้า ร้านจิตรลดา ร้านของมูลนิธิเพื่อนพึ่งภาฯยามยาก ร้านมูลนิธิโครงการหลวง และร้านแม่บ้านเหล่าทัพ ฯลฯ รวมทั้งมีการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านที่หาชมได้ยากนะครับจากทั่วไทยมาไว้ ณ ที่แห่งเดียวนี้ และโซนที่ 3. คือโซนร้านอาหาร จะมีร้านค้าในแนวคิดใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารสืบสานชุมชนวิถีไทย มีการสาธิตเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น อีกทั้ง มีการจัดซุ้มร้านอาหารไทยโบราณ เป็นต้น ทั้งนี้ ภายในงานการแต่งกายของพ่อค้า-แม่ค้าก็จะสวมชุดไทยย้อนยุค โดยเชิญชวนประชาชนที่ไปร่วมงาน แต่งกายย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วย หรือสวมใส่ผ้าไทย หรือชุดสุภาพตามสมัยนิยม ใครไม่มี ก็สามารถแต่งกายชุดสุภาพมาร่วมงานได้ฟรีไม่มีค่าบัตรผ่านประตู สำหรับรายได้จากการจัดงาน โดยไม่หักค่าใช้จ่ายจะทรงนำไปใช้ในการพระราชกุศล บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่ประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากภัยและเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตามพระราชอัธยาศัย ต่อไป ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน ชุดภาพวาดฝีพระหัตถ์ จัดพิมพ์เป็นบัตร ส.ค.ส. 4 ภาพต่อ 1 ชุด เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจ ภายในงานอีกด้วย
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน แทนพระองค์ ในพิธีพระราชทานรางวัล สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อวันพุธที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา เป็นรางวัลสำหรับบุคคล หรือองค์กร ทั่วโลกนะครับ ที่มีผลงานดีเด่น เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ทางด้านการแพทย์และด้านการสาธารณสุข อย่างละ 1 รางวัล เป็นประจำทุกปี สำหรับปีนี้ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับพระราชทานรางวัลฯ นั้น มาจากผู้ได้รับการเสนอรายชื่อ จำนวน 45 คน จาก 27 ประเทศ คือ 1.สาขาการแพทย์ ได้แก่ โครงการจีโน มมนุษย์นะครับ เกี่ยวกับพันธุศาสตร์ และรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ซึ่งจะเป็นกลไกในการกำกับ และควบคุมกระบวน การของสิ่งมีชีวิตในทุกขั้นตอน ช่วยให้เกิดความเข้าใจกลไกการทำงานของเซลล์ และอวัยวะต่างๆ ก็จะก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางการแพทย์หลายด้าน อย่างก้าวกระโดด 2.คือสาขาการสาธารณสุข ก็ได้แก่ การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อ ฮีโมฟีลุส อินฟลูเอนเซ ชนิดบี หรือ ฮิบ และการผลักดันให้เด็กทั่วโลกได้รับการฉีดวัคซีนนี้ รวมถึงเด็กๆ ในประเทศกำลังพัฒนาด้วย ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพอนามัยของเด็กหลายร้อยล้านคน เราต้องพัฒนาวัดซีนตัวนี้ผลิตเองให้ใช้ได้โดยเร็ว เพื่อจะได้ใช้อย่างทั่วถึงในเด็กทารกทุกคน สำหรับการสร้างสรรค์งานวิจัยเพื่อประเทศชาติและมวลมนุษยชาตินั้น
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของปวงชนชาวไทย เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทย และครั้งแรกของโลกที่ทรงจดทะเบียน และได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์ เครื่องกลเติมอากาศที่มีผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย หรือ ที่เรียกว่ากังหันน้ำชัยพัฒนาเป็นสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และ ระลึกถึงวันประวัติศาสตร์ดังกล่าว รัฐบาลจึงจัดให้มีงานวันนักประดิษฐ์ ประจำปี 2561 ระหว่างวันที่ 2 ถึง 6 กุมภาพันธ์ นี้ ณ EventHall 98 - 99 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทคบางนา กรุงเทพฯ สำหรับปีนี้ จะจัดขึ้นภายใต้รูปแบบกิจกรรมตลาดนัดเปิดโลกผลงานวิจัยและนวัตกรรม เพื่อจะเป็นการนำเสนอสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพร้อมใช้ และ ความก้าวหน้าด้านการประดิษฐ์คิดค้นของประเทศนะครับเราจะส่งเสริมให้เกิดการขยายผล และนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ในมิติต่างๆ ซึ่งก่อนการประชุม ครม. ที่ผ่านมานั้น ผมได้พบกับนักเรียน-นักประดิษฐ์ ที่สามารถคว้ารางวัลสิ่งประดิษฐ์จากประเทศเกาหลีใต้ และได้ชิมกาแฟพริกขี้หนูสกัด ที่เป็นผลิตภัณฑ์ในบัญชีนวัตกรรมของไทยและบัญชีสิ่งประดิษฐ์ไทย ดื่มแล้วรู้สึกอุ่นร้อนช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานและไขมัน ไม่มีคลอเรสตอรอล ให้พลังงานเพียงแค่ 60 กิโลแคลอรี ใช้ซูคราโลส เป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล มีส่วนผสมของถั่วขาว กระบองเพชร ส้มแขก ที่แฝงความเป็นไทยในกาแฟนี้ ด้วยก็ฝากช่วยกันชิมแล้วกันนะครับ ทราบว่าปัจจุบันนั้นได้รับการติดต่อให้มีการส่งออกจำหน่ายแล้ว 10 ประเทศ และเป็น 1 ในเมนู ตู้กดเครื่องดื่มของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีปืนตรวจวัดการปนเปื้อนสารฟอร์มาลีนในอาหารแบบพกพา เครื่องม้วนกรวยใบตองสำหรับทำงานบายศรี ไม้เท้าช่วยพยุงเดินปรับระดับอัตโนมัติ เป็นต้น ผมก็อยากให้มีการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ของไทย ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นนะครับ และก็สนับสนุนสินค้ามีสิทธิบัตรของไทยกันเยอะๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญเป็นกำลังใจนะครับ ในการขับเคลื่อนประเทศ ด้วยงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมของคนไทย ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ด้วย พี่น้องประชาชนที่รัก การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนนั้นเราจำเป็นต้องตระหนัก และยึดมั่นในความเป็นไทย ศึกษาประวัติศาสตร์ของบรรพบุรุษและ ความเป็นชาติอย่างลึกซึ้ง ในขณะเดียว กัน ก็ต้องเปิดกว้างรับความเปลี่ยนแปลง หรือพลวัตรของโลก อย่างรู้เท่าทันจึงจะได้ชื่อว่าเรามีภูมิคุ้มกันตามศาสตร์พระราชาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการไทยนิยม ที่ผมกล่าวถึงบ่อยครั้งในช่วงนี้ เนื่องจากมีความสำคัญอย่างมากในการวางรากฐานอนาคต หากกลไกเราลืม หรือไม่เข้าใจรากเหง้าของตัวเองแล้ว ก็จะเหมือนการสร้างขื่อแปหลังคาบ้าน บนเสา บนพื้นบ้านที่รากฐานสั่นคลอนที่พร้อมจะล้มครืนลงได้โดยง่าย เราควรได้ภาคภูมิใจร่วมกัน ว่า เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา สำนักข่าวยูเอสนิวส์ได้ประกาศ ผลจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2560 ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับ 27 จาก 80 ประเทศ โดยเป็นประเทศที่น่าเริ่มต้นธุรกิจที่สุดในโลก อันดับที่ 1 และมีมรดกทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น อันดับที่ 8 มีขบวนทางสังคมเป็น อันดับที่ 19 ของโลก ห้วงเวลาที่ผ่านมานั้น รัฐบาลให้ความสำคัญไม่ละเลยในการเสริมสร้างความรู้เชิงประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของชาติให้แก่เด็กเยาวชน และประชาชน โดยส่งเสริมให้มีการพัฒนา และเรียนรู้ในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง อาทิ การยกระดับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครในรูปโฉมใหม่ มีระบบการชมคิวอาร์โค้ดที่แสดงข้อมูลข้าวของโบราณวัตถุ ศิลปะวัตถุอย่างทันสมัย สามารถใช้งานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ไอแพด และแท็บเล็ตได้ จนเทียบเท่าพิพิธภัณฑ์ระดับสากล เราจะมีการปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนเข้าใจ เข้าถึง และภาคภูมิใจที่เรามีมรดกทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น มีอิทธิพลต่อคนทั่วโลก เป็นไปตามแนวทางพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ด้วย เราต้องรักษา สืบสาน และต่อยอดสิ่งนี้ให้ได้
ทั้งนี้ ผมอยากจะบอกว่าการขับเคลื่อนด้วยหลักคิดไทยนิยมนั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งในมิติสังคมที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความเข้มแข็งในมิติเศรษฐกิจของประเทศ การแก้ปัญหาความยากจนของประเทศที่ผ่านๆ มานั้น มีปัญหาหลัก 2 ประการ ที่เราต้องยอมรับก็คือ 1.คือการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ที่อาจจะละเลยในเรื่องการพัฒนาทางสังคมไปด้วย และ 2.คือการแก้ปัญหาที่ขาดความเข้าใจที่ลึกซึ้ง จนเราไม่รู้ว่าอะไรคือความจน ไม่รู้ว่าใครบ้างที่จนจริง คนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ปัญหาของเขาคืออะไรกันแน่ เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน มาตรการต่างๆ ออกมา หรือนโยบายสาธารณะที่ออกมา อาจจะเป็นลักษณะเหมารวม หว่านแห เน้นสูตรสำเร็จที่ไม่มีจริง ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาที่แตกต่างของแต่ละครัวเรือนได้ นำไปสู่การใช้งบประมาณที่ไม่มีประสิทธิภาพ บางครั้ง อาจจะเลยเถิดไปสร้างกระแสที่เรียกว่า ประชานิยมที่มันผิดๆ มันยิ่งแย่กันไปใหญ่
สำหรับโครงการไทยนิยมยั่งยืนที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นั้น ผมขอย้ำและทำความเข้าใจอีกครั้ง ว่า รัฐบาลนี้ไม่ได้มุ่งหวัง เพื่อผลประโยชน์อื่นใดกับรัฐบาลเลย แต่เป็นเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 คือ "เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา" รัฐบาลจัดทำโครงสร้างการทำงานมาอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่า 3 ปีที่ผ่านมา มีตั้งแต่ระดับนโยบาย ระดับนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ขับเคลื่อน และระดับพื้นที่ เพื่อจะขับเคลื่อน และสร้างการรับรู้ถึงงาน และนโยบายของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ที่เรียกว่า กขป. และคณะกรรมการบริหารราชแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปของประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ การปฏิรูป สัญญาประชาคม หน้าที่พลเมือง ประชาธิปไตย การเลือกตั้ง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหายาเสพติด เป็นต้น
แต่ผมว่าปัญหาที่ผ่านมานั้น เรายังขาดกลไกขับเคลื่อนสำคัญในระดับพื้นที่ โดยเราจำเป็นจะต้องมีทั้งท้องถิ่นในพื้นที่นอกจากนั้นก็เป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการในพื้นที่ของทุกกระทรวง ที่ต้องเข้าใจงานในลักษณะบูรณาการทั้งการจัดทำแผนงาน โครงการ งบประมาณให้สอดคล้องกับความต้องการในพื้นที่ ต้องรู้งานของคนอื่นเขาด้วย เราจะต้องสร้างการรับรู้ สร้างความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องให้ประชาชนนั้นได้เข้าใจ จะได้เกิดความร่วมมือในลักษณะประชารัฐได้ชัดเจนขึ้นในระดับพื้นที่ ซึ่งเราจะต้องนำงบประมาณ ทั้งงบรายจ่ายประจำ งบงานนโยบาย งบเพิ่มกลางปี หรืองบอื่นๆ มาทำให้เกิดการประสานสอดคล้องกันให้ได้ในทุกพื้นที่ เพื่อจะช่วยให้การทำงานของรัฐบาลมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ประชาชนได้รับประโยชน์โดยแท้จริง และรวดเร็วทันการ โดยประชาชนจะต้องมีการทำประชาคมหมู่บ้าน ความต้องการอะไรต่างๆ เหล่านี้ ให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่อย่างนั้นทำไม่ตรงกันอีก
ขอให้เข้าใจร่วมมือกัน ในระดับพื้นที่ด้วย ไม่ใช่มุ่งแต่โครงการที่รัฐบาลจะกำหนดลงไป ผมอยากให้เป็นการทำงาน 2 ทาง ข้างบนกำหนดแนวนโยบายลงไป ข้างล่างก็ไปหาแนวแนวทางในการปฏิบัติ โดยเกิดความร่วมมือทั้งภาครัฐ และภาคประชาชนด้วย ในเรื่องสำคัญ ได้แก่ เรื่องน้ำ เรื่องเกษตร เรื่องท่องเที่ยว บริการ ค้าขาย อาชีพอิสระ เราต้องไปดูแลเขาให้ถึงครัวเรือนถึงพื้นที่ เพื่อจะได้มีรายได้ที่พอใช้อย่างยั่งยืน เราต้องเริ่มด้วยความพอเพียงก่อนให้ได้
สำหรับเรื่องยาเสพติดนั้น เราสามารถจับกุมได้มากยิ่งขึ้นในพื้นที่ตอนใน ถ้าเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมา มันมองได้ 2 ประเด็นว่า เอ๊ะมาจับข้างในได้ มันมาจากข้างนอกได้อย่างไร คงต้องไปดูที่พื้นที่ต้นทางด้วย ประเด็นสำคัญคือ เราทำอย่างไร เราจะลดความต้องการของผู้เสพในประเทศ บางคนเสพไปโดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียต่อสุขภาพ เอาสนุกสนานอย่างเดียว ทำให้เกิดสังคมที่เสื่อมทราม ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว เราต้องแก้ไขให้ครบวงจร ฝากฝ่ายความมั่นคงให้กวดขันแก้ไขอย่างต่อเนื่อง และแสวงหาความร่วมมือจากต่างประเทศด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักครับ สำหรับผู้มีรายได้น้อย และเป็นหนี้ที่รักทุกท่าน ผมมีข่าวดีเกี่ยวกับคลินิกแก้หนี้ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด บสส. หรือ SAM ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท. ได้ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 16 แห่ง ภายใต้การดูแลของสมาคมธนาคารไทย ในการช่วยเหลือประชาชนรายย่อยที่เป็นหนี้เสีย NPL ของธนาคารพาณิชย์ หลายแห่งให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้อย่างเบ็ดเสร็จ และมีประสิทธิภาพ จะได้ช่วยแก้ไขปัญหาภาระหนี้ครัวเรือน รวมทั้งให้โอกาสลูกหนี้ NPL ในการที่จะกลับมามีวินัยทางการเงินที่ดี มีเครดิตที่ดี สำหรับทำธุรกรรมทางการเงินในอนาคต โดยไม่ต้องติดแบล็กลิสต์ของธนาคาร ไม่ต้องถูกติดตามทวงถามหนี้ ไม่ต้องถูกฟ้อง หรือ เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งเราก็ได้เริ่มดำเนินโครงการมาเมื่อ 1 มิถุนายนปีที่แล้ว สำหรับลูกหนี้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ผู้มีรายได้ประจำ อาทิ ข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทเอกชน นับว่ามีผลงานความก้าวหน้าดี และได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 30,000 ราย มียอดหนี้ที่สามารถปรับโครงสร้างหนี้รวมแล้ว เกือบ 130 ล้านบาท หรือเฉลี่ยภาระหนี้เงินต้น ประมาณ 230,000 บาทต่อราย ซึ่งเฉลี่ยเป็นหนี้อยู่กับธนาคาร 3 แห่ง
ตอนนี้ โครงการนี้ ได้ขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมพี่น้องประชาชนทั่วไป ที่มีรายได้ไม่ประจำ ไม่มีหลักประกัน อาทิ พ่อค้าแม่ค้า ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ผู้รับจ้างทั่วไป ชาวไร่ชาวนา ที่เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ของธนาคารพาณิชย์ 16 แห่ง ที่ร่วมในโครงการนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มุ่งหวังเพื่อจะช่วยแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขาดความรู้ ความเข้าใจ ในการบริหารจัดการหนี้ รวมถึงอาจจะขาดวินัยการออมโดยคลินิคแก้หนี้ นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระการชำระหนี้ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ บริหารหนี้อย่างเป็นสุข ดอกเบี้ยอัตราต่ำ และพิจารณาความสามารถที่แท้จริงจากรายได้รายจ่ายที่พิสูจน์ได้ ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม แล้วยังจะให้ความรู้ คำปรึกษาด้านการเงินกับผู้เข้าร่วมโครงการอีกด้วย ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียด ตามข้อมูลบนหน้าจอได้
พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยล่าสุดของเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง หลักๆ เป็นผลจากการส่งออกสินค้า และการท่องเที่ยวที่เติบโตดี โดยมูลค่าการส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม โตได้ถึงร้อยละ 9.3 จากปีก่อนเป็นการส่งออกที่ดีต่อเนื่อง ในทุกตลาดคู่ค้าสำคัญ ในเกือบทุกประเภทสินค้า
ปัจจัยส่งเสริมการขยายตัว ได้แก่ 1.ความต้องการสินค้าไทยของประเทศคู่ค้า เช่น ข้าว ผลิตภัณฑ์ยางพารา อุปกรณ์สื่อสารและโทรคมนาคม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์
2. ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สินค้าส่งออกมีราคาน้ำมันดิบเป็นต้นทุน เช่น ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี สามารถส่งออกไปในราคาที่สูงขึ้น อันนี้ก็ต้องไปดูถึงราคายางด้วย มันมีความผูกพันกับราคาน้ำมัน ก็ค่อยๆ ดีขึ้น
3. บางอุตสาหกรรมมีการขยายกำลังการผลิต เพื่อการส่งออกในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การผลิตที่เกี่ยวข้องขยายตัวตามไปด้วย เช่น หมวดยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง และปิโตรเคมี
สำหรับการท่องเที่ยวก็คงเติบโตดี ช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ อย่างต่อเนื่อง มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีน และมาเลเซียเป็นหลัก ต้องรักษาไว้
อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชนในประเทศชะลอการขยายตัวลงส่วนหนึ่งมาจากมาตรการส่งเสริมการใช้จ่ายและท่องเที่ยว ในช่วงปลายปี 2559 ทำให้พอมาถึงปี 2560 จึงขยายเพิ่มในระดับปกติที่ไม่มากเท่าช่วงปลายปี ที่มีการกระตุ้นด้วยมาตรการต่างๆ
แต่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด ก็คือ ปัจจัยที่จะมาสนับสนุนกำลังซื้อของประชาชนในระยะต่อๆ ไป ซึ่งยังไม่เข้มแข็งมากนัก ยังมีปัญหาการกระจายตัวของรายได้ ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่กำลังดำเนินการอยู่ ก็จะช่วยเสริมรายได้ของพี่น้องประชาชนได้มากขึ้น
แต่สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ทางรัฐบาลได้พยายามเร่งบูรณาการมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือบรรเทาภาระที่เพิ่มขึ้น อาทิ ใช้มาตรการทางภาษี ให้ผู้ประกอบการสามารถนำรายจ่ายส่วนที่เป็นค่าจ้างไปลดหย่อนภาษีได้ จากปัจจุบันที่นายจ้างสามารถขอลดหย่อนภาษีได้ 1 เท่าอยู่แล้ว ก็จะสามารถนำไปหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้อีกเป็นจำนวน 1.15 เท่า คิดเป็นร้อยละ 3 ของอัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น หรือ ลดหย่อนได้ประมาณ 9-10 บาท ของค่าจ้าง
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจ ลดค่าใช้จ่าย ชดเชยค่าแรงที่สูงขึ้น และช่วยเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการ และบุคคลากรได้โดยรัฐบาลจะเร่งดำเนินการในมาตรการต่างๆ และ จะหาแนวทางเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการภาษี รวมถึง กลุ่มพี่น้องเกษตรกรด้วย
ในด้านการลงทุนภาคเอกชนในภาพรวมยังทรงตัว จากเดือนก่อนโดยแม้ภาคธุรกิจจะนำเข้าสินค้าทุน และซื้อหาเครื่องจักรในประเทศมากขึ้น แต่ยอดซื้อรถยนต์เชิงพาณิชย์ของภาคธุรกิจปรับลดลงบ้าง
อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าของภาคธุรกิจปรับดีขึ้น โดยธุรกิจมองว่าจะมีคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้นซึ่งจะทำให้ผลประกอบการและการลงทุนปรับดีขึ้นได้
นอกจากนี้ ในสายตาของนักธุรกิจต่างประเทศ ไทยยังเป็นประเทศที่น่าลงทุน โดยล่าสุด ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจญี่ปุ่น ที่ลงทุนในประเทศไทย ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน และภาคธุรกิจญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในประเทศไทย
จากการสำรวจ คาดว่าจะมีการลงทุนจากนักลงทุนญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น ร้อยละ 34 และ จะมีการส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 37โดยนักลงทุนและนักธุรกิจญี่ปุ่นมีความพึงพอใจกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ ความมั่นคง และความสงบสุขของประเทศ การแก้ไขปัญหาด้านศุลกากรและ การอำนวยความสะดวกการให้บริการภาครัฐ หรือ Ease of Doing Business ของประเทศไทยที่มีความคืบหน้าไปมาก รวมทั้งความชัดเจนในการขับเคลื่อนเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องระมัดระวัง ทุกส่วนราชการ ทุกหน่วยงาน รัฐวิสาหกิจ คือ เราต้องมารื้อฟื้นว่า ระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่เดิมเป็นยังไง เราจะนำหลายสิ่งหลายอย่างมาบูรณาการร่วมกันได้หรือไม่ ต้องมีการเข้มงวด ทบทวน ตรวจสอบ ในทุกกิจการให้ได้ อย่าให้มีปัญหาโดยเด็ดขาด ในการที่เราจะสร้างเศรษฐกิจใหม่ หรือการประกอบการในอุตสาหกรรมแนวใหม่ก็ตาม ต้องระมัดระวังเรื่องน้ำเสียอย่าลืมว่าการพัฒนานาจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องเร่งดำเนินการให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมั่นคง ก็คือการใช้จ่ายภาครัฐ ที่บางส่วนล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ มันมีหลายกลไกที่เกี่ยวข้องข้างใน ดังนั้นรัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะเร่งรัด และติดตามการเบิกจ่ายในโครงการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด แผนงานใหญ่ๆ บางทียังออกไม่ได้ เพราะติดในเรื่องของการทำ EIA เรื่องความคิดความเห็น รับฟังความคิดเห็นเหล่านี้
ซึ่งมันต้องแก้ไขกันยังไง ก็ต้องไปช่วยกัน ถ้าอยากให้มันเกิด ถ้าอยากมีการใช้จ่าย มีเงินลงมาในระบบเศรษฐกิจ มันก็ต้องทำให้ได้ แต่ไม่ไปทำให้ทุกอย่างเสียหาย มันต้องมีวิธีการที่ทำได้ ไม่อย่างนั้นเร่งไปก็ทำไม่ได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นทุกคนต้องช่วยกัน อาจจะต้องมีการปรับแผนเมื่อจำเป็น แล้วคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ดีขึ้นในระยะต่อไป รัฐบาลนี้ไม่เคยปล่อยปละละเลยในการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้น การที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม ประกอบกับผลการจัดเก็บรายได้ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 คือเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2560 ก็ยังคงสูงกว่าประมาณการไว้กว่า 12,000 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 5.1 แล้วเราก็คาดว่าจะมีรายได้ที่มาจากภาษีและรัฐพาณิชย์ต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 50,000 ล้านบาท จะทำให้มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมอีก 150,000 ล้านบาท ซึ่งเราก็มีแผนจะนำมาใช้จ่ายใน 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ นำไปชดเชยเงินคงคลังที่ได้จ่ายไปแล้ว ซึ่งเป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ในการที่จะรักษาวินัยการคลังของประเทศ อีกส่วนก็เป็นการนำไปใช้จ่ายในโครงการที่มีความพร้อม สามารถดำเนินการได้ในปี 61 ตามแนวทางที่สำคัญ อันได้แก่
1. การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก
2. การพัฒนาเชิงพื้นที่ ซึ่งรวมไปถึงการเข้าถึงแหล่งทุน วิสาหกิจชุมชน การท่องเที่ยวชุมชน และ
3. การปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรทั้งระบบ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมอยากให้เข้าใจว่าการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าวนั้น ไม่ใช่ว่ารัฐจะเร่งรัดกระตุ้นเศรษฐกิจแบบไม่ลืมหูลืมตา โดยไม่คำนึงถึงวินัยการเงินการคลัง ในรอบ 4 ปีงบประมาณที่ผ่านมานั้น แม้รัฐบาลจะใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลมาโดยตลอด แต่รัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบก็ได้พยายามรักษาวินัยทางการคลัง อย่างเคร่งครัด จะเห็นได้ว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ในปี 2557 คิดเป็นร้อยละ 47.18 และลดลงอย่างต่อเนื่อง จนมาอยู่ที่ร้อยละ 41.67 ในเดือนพฤศจิกายน 2560 ซึ่งสัดส่วนที่เป็นสากลกำหนดไว้ ไม่เกินร้อยละ 60 และหากพิจารณาในภาพรวม ถือว่าเป็นการขาดดุลประมาณร้อยละ 3.3 ของ GDP เทียบกับช่วงปี 2552 - 2556 ที่มีการขาดดุลงบประมาณเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.4 ของ GDP ซึ่งก็ถือว่าใกล้เคียงกัน แต่เราทำหลายอย่างเพิ่มขึ้นมาได้
นอกจากนี้ การจัดทำงบประมาณเพิ่มเติมนี้ มีการจัดทำอย่างมีขั้นตอน มีแผนงาน ใช้งบประมาณที่ชัดเจน มีวัตถุประสงค์เพื่อจะพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ตามนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ ก้าวไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามแนวทางการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติเป็นหลักด้วย ผมก็อยากให้ทุกท่าน รับรู้และเข้าใจว่าการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ ผมตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะวางรากฐานที่สำคัญให้กับประเทศ วางระบบและแนวทางในการปฏิรูป ให้นโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะนโยบายเชิงโครงสร้าง ที่จะยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวที่ทุกฝ่ายควรมีส่วนร่วมในการจัดทำ ให้ความเห็น ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องง่าย และจะทำได้ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่เราจะปรับ ถาง สร้างทางเดินใหม่อะไรต่างๆ เหล่านี้ เพราะคนเขาคุ้นเคยกับทางเดิมๆ ทางเดิมๆ ถนนเส้นทางเดิมๆ เพราะฉะนั้นเราจะต้องมุ่งไปสู่วิสัยทัศน์ให้ได้ ทั้งในเรื่องการปฏิรูปกฎหมายต่างๆ การจัดตั้งหรือปฏิรูปองค์กรที่มีความสำคัญของรัฐ แต่รัฐบาลก็มีความตั้งใจจริง หลายฝ่ายก็ได้ร่วมมือร่วมใจ
สิ่งเหล่านี้ แม้ผมอยากทำให้ทุกท่านได้เห็นเป็นรูปธรรมโดยเร็วว่ามันจะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างไร แต่มันคงไม่ใช่เรื่องที่ง่าย และก็ไม่เร็วดั่งใจคิด เพราะมันเป็นนโยบายระยะยาว โครงการขนาดใหญ่นั้นมันจำเป็นต้องสร้างรากฐาน มีรากฐานรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไว้ด้วย จะทำให้ประเทศก้าวไปได้อย่างมั่นคง ผมเอง หรือ คสช.นั้นก็ไม่ได้ต้องการให้ใครมาชื่นชม หรือมาสรรเสริญเยินยอในความพยายามเหล่านี้ เพราะผมถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่เราจะต้องทำให้ได้ เพียงแต่อยากให้ทุกคนได้รับรู้ และเข้าใจ เห็นในความตั้งใจของพวกเราในการจะช่วยกันสานต่อ ช่วยกันผลักดัน คนละไม้ละมือ หากทุกคนเห็นจุดที่จะทำให้ดีขึ้นได้ ก็ช่วยกัน ข้อเสนอแนะต่างๆ อันเป็นประโยชน์ ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ทำเพื่อผมเลย ทำเพื่อประเทศและลูกหลานของเราในอนาคต
สุดท้ายนี้ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามข่าวสารของทางราชการ สิ่งใดที่ยังเข้าใจไม่ตรงกัน ก็จะได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาแถลงไขประเด็นปัญหา ให้หมดข้อสงสัย ปัจจุบันก็จะมีการปรับปรุงและเพิ่มเติมช่องทางการสื่อสาร ระหว่างรัฐบาลกับพี่น้องประชาชนใหม่ ๆ ดังนี้
1. เวที "สื่ออยากรู้ รัฐบาลอยากเล่า" ทุกเดือน
2. เวที Meet the press ทุกวันพฤหัสบดี
3. รายการ "เดินหน้าประเทศไทย" ทุกวัน เว้นวันศุกร์ หลังเคารพธงชาติ 18.00 น. ที่เราจะปรับรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนมากขึ้น โดยความร่วมมือของสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง ก็ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย
4. เฟซบุ๊ก "ไทยคู่ฟ้า" ของสำนักโฆษกฯ ที่จะปรับรูปแบบการนำเสนอให้สอดรับการไลฟ์สไตล์ของประชาชนยุค 4.0 ได้ดีกว่าเว็บไซต์ "รัฐบาลไทย" ที่เน้นความเป็นทางการ ที่มีความน่าเชื่อถือ อ้างอิงทางวิชาการได้ แต่จะเป็นการสื่อสารทางเดียวเป็นหลัก ส่วนเฟซบุ๊ก "ไทยคู่ฟ้า" จะเป็นการสื่อสารสองทาง ฝากเรื่องราว คำถาม เสนอแนะเข้ามาได้ อะไรที่อยู่ในความสนใจ ไม่เข้าใจ ก็อาจจะอัดคลิปสัมภาษณ์สั้นๆ พร้อมคำอธิบายจากนายกรัฐมนตรี รองนายกฯ รัฐมนตรี หรือผู้บริหารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะเน้นการเข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว ก็อย่าทำให้เกิดความวุ่นวายสับสนในเวทีดังกล่าว ก็ขอให้ติดตามได้ แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ ก็อยากให้เป็นตัวอย่างการใช้สื่อโซเชียลที่สร้างสรรค์ เพื่อสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง เราจะได้เป็นไทยแลนด์ 4.0 และ ไทยนิยม ที่มากด้วยคุณค่า และมีวัฒนธรรมที่งดงามของคนไทย ขอให้ทุกคนภูมิใจในความเป็นไทย
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ