“ประยุทธ์” แจง “ไทยนิยม” คือ การปฏิรูปที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นไทย โดยไม่ทิ้งหลักสากล ต่อยอดจากประชารัฐ ไม่ใช่ประชานิยม เผยคณะกรรมการปฏิรูปฯจัดทำร่างแผนปฏิรูปประเทศเสร็จเรียบร้อยในขั้นต้นทั้ง 11 ด้านแล้ว เตรียมเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณาต่อไป
วันนี้ (26 ม.ค.) เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ไทยนิยมที่มอบให้กับสังคมไทยในวันนี้ ไม่ใช่การสร้างกระแสชาตินิยมเหมือนที่บางคนไม่เข้าใจแล้วพยายามบิดเบือนโดยไม่ศึกษาให้ดี เพราะชาตินิยมนั้นจะใช้ได้ดี สำหรับป้องกันภัยคุกคาม ภัยจากภายนอกประเทศ หรือจากการทำสงคราม หรือจากการเข้ามาครอบงำทางความคิดด้วยหลักคิดลัทธิของชาติอื่น ชาตินิยมจึงมีความจำเป็นสำหรับสถานการณ์เหล่านั้น เพื่อจะสร้างสำนึกความรักชาติ
สำหรับสถานการณ์ของประเทศในวันนี้เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน เราต้องการการปฏิรูปที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นไทย โดยไม่ทิ้งหลักสากล และไทยนิยม ไม่ใช่ประชานิยม เพราะประชานิยมเป็นการให้ในลักษณะที่เหมือนกับยัดเยียดทุกคน ได้ไปพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง เพราะว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่เหมาะสมกับประชาชนด้วยการสร้างแนวคิดบริโภคนิยม ที่ผ่านมาประชาชนชอบพอใจ กลายเป็นว่าประชาธิปไตยกินได้ เหมือนกับนโยบายของที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง อาจจะทำเพียงเพื่อต้องการความนิยม หรือต้องการคะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง หลายๆ อย่างทำไม่ได้ ออกไม่ได้ เพราะว่าทุกคนต้องการคะแนนเสียงกันทั้งหมด มันเลยทำให้ปัญหาต่างๆ พอกพูนมาถึงรัฐบาล มาถึงการใช้จ่ายของภาครัฐ งบประมาณต่างๆ ซึ่งนับวันจะมีปัญหามากขึ้น
นายกฯ กล่าวอีกว่า ฉะนั้น เราถึงต้องมีการแยกแยะให้ชัดเจนว่าใครเดือดร้อนอะไรอย่างไรมากน้อยเพียงใด เราก็ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ทั่วถึง เพราะฉะนั้นต้องให้ความสำคัญให้มาก ว่าจะช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นคำว่า ประชานิยมนั้น มันแตกต่างจากไทยนิยม เพราะว่าไทยนิยมนั้นเป็นการต่อยอดขยายผลจากประชารัฐ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการระเบิดจากข้างใน การมีส่วนร่วม การรับผิดชอบร่วม แล้วรัฐบาลจึงจะแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาควิชาการ ทำให้เกิดเป็น 3 ประสาน คือ ราษฎร์ รัฐ และเอกชน ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใคร เพราะทุกคนนั้นอยู่ในห่วงโซ่เศรษฐกิจทั้งสิ้น เพราะอยู่ในประเทศของเราเอง อันจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ แก้โจทย์ปัญหาที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชนด้วยกลไกประชารัฐของตน ของแต่ละท้องถิ่น ตรงความต้องการ และเมื่อมองในภาพรวมทั้งประเทศแล้ว ไทยนิยมนั้น จึงเป็นแนวคิดในการบริหารประเทศที่อยู่บนพื้นฐานของความต้องการ ตามความนิยมของคนไทยทั้งประเทศ ต้องนิยมในสิ่งที่ถูกต้องที่ถูกที่ควร นิยมในสิ่งดีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการมีคุณธรรมจริยธรรมด้วย
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการสร้างความสามัคคีปรองดองนั้น จะต้องน้อมนำศาสตร์พระราชาด้วยการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เข้าใจถึงพื้นที่ เข้าใจถึงคน และประชาชนมาประยุกต์ใช้การบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อจะนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง เพื่อการพัฒนาประเทศ สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่แตกต่างจากคนอื่นเขาคือ กับดักทางการเมือง มีมากกว่าประเทศอื่นเขา ต้องแก้ไขตรงนี้ให้ได้ และจะต้องให้มีการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้ยั่งยืน ไม่ใช่ชั่วครั้งชั่วคราวและไม่เข้มแข็ง ให้ไปใช้ไปหมดไป เพราะฉะนั้น จะเห็นประชารัฐและไทยนิยมนั้น จะมีความเชื่อมโยงอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน ไทยนิยม เป็นกรอบใหญ่ของทั้งประเทศ หลักยุทธศาสตร์ชาติเป็นกรอบใหญ่ให้กับยุทธศาสตร์จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภาค การพัฒนาท้องถิ่นด้วยกลไกประชารัฐ
ทั้งนี้ หากเราสามารถสร้างความเข้มแข็งเน้นการพึ่งพาตนเองได้ ตั้งแต่ระดับฐานรากแล้วจะนำสู่ความสำเร็จประสิทธิภาพรวมของประเทศในที่สุด อยากให้คนไทยเข้าใจคำว่า ไทยนิยม ประชารัฐ ยั่งยืน 3 คำมีความต่อเนื่อง เชื่อมโยงทั้งหมด
นายกฯ กล่าวเพิ่มด้วยว่า สำหรับการปฏิรูปประเทศ ขณะนี้คณะกรรมการปฏิรูปฯ ก็ได้จัดทำร่างแผนปฏิรูปประเทศเสร็จเรียบร้อยในขั้นต้น ทั้ง 11 ด้าน อันได้แก่ การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านเศรษฐกิจ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณสุข ด้านสังคม ด้านพลังงาน ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
โดยหลักการจะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ต้องมีเป้าหมาย มีผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน รวมทั้งมีตัวชี้วัด ประเมินผลสำเร็จตามระยะเวลาไว้ด้วย ทั้งนี้ ในหลายประเด็นปฏิรูปอาจจะต้องมีการปรับโครงสร้าง กระบวนการทำงานของส่วนราชการ ข้าราชการที่เกี่ยวข้องมากมาย ที่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนทุกคน
สำหรับขั้นตอนต่อไป จะมีการเสนอร่างแผนปฏิรูปให้กับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณา รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และขั้นตอนอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะได้มีการประชาสัมพันธ์ให้กับพี่น้องประชาชนได้รับทราบ เป็นระยะๆ
จากร่างแผนปฏิรูปดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่า เรานั้นยังมีงานที่ต้องทำ มีปัญหาอีกมากมายในการเดินหน้าประเทศไปสู่ความยั่งยืน การปฏิรูปนั้นเราจะต้องกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน ในการจัดทำแผนแม่บทของแต่ละส่วนราชการ แต่ละกิจกรรม ให้สอดคล้องต้องกัน ทั้งในเรื่องของแผนปฏิรูป แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทุกๆ 5 ปี ปัจจุบันแผนที่ 12 และ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้งนี้ ก็เพื่อจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ต่อๆ ไปของทุกรัฐบาล
นายกฯ กล่าวอีกว่า สุดท้ายนี้ข้อมูลที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นถือว่าเป็นความรู้ สำหรับการเตรียมตัว เตรียมพร้อม เผชิญกับสิ่งท้าทายในอนาคต มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ก็จะเป็นภูมิคุ้มกันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ หากใครศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติม จนเกิดปัญญา เกิดแนวคิดที่จะพัฒนาตนเอง ไม่ให้หลุดกรอบ ตกกระแสการพัฒนาประเทศ หรือรู้เท่าทันแล้ว ก็จะช่วยให้เกิดการปรับตัวได้ทัน ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงในยุค 4.0 และการเดินหน้าไปสู่การเป็นประชาธิปไตยของเราที่ยั่งยืน
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 26 มกราคม 2561
สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน จากเหตุระเบิดภายในตลาดสดรถไฟพิมลชัย เทศบาลนครยะลา ในช่วงที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานกำลังใจ ดอกไม้ และสิ่งของพระราชทานแก่ครอบครัวผู้สูญเสีย และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างความปลาบปลื้มซาบซึ้งในพระมหากรุณาที่คุณที่พระองค์ทรงห่วงใยอย่างหาที่สุดมิได้
ในการนี้ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บขอประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมในครั้งนี้ด้วย ผมได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งดูแลช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ให้ฝ่ายความมั่นคงเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อจะนำไปใช้ในการติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีทางกฎหมายให้ได้โดยเร็วตัว ทราบว่า มีความคืบหน้าเป็นลำดับ กำลังสอบสวนขยายผลจากผู้ต้องสงสัยอยู่
ทั้งนี้ ผมขอให้เชื่อมั่นเจ้าหน้าที่ของเราว่า จะดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ เพื่อรักษาความสงบสุขของพี่น้องประชาชนให้กลับคืนมาโดยเร็ว รวมทั้งขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนช่วยกันสอดส่องดูแลเป็นหูเป็นตา และแจ้งข้อมูลเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ด้วย ให้มีการตรวจสอบกล้องซีซีทีวีทั้งหมดด้วยให้ใช้การได้ตลอดเวลา
พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมขอเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ในการยกย่องชื่นชมศิลปินแห่งชาติปี 2560 ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา สำหรับนำความกราบบังคมทูล เพื่อจะขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ศิลปินแห่งชาติทั้ง 17 ท่านนี้ได้เข้าเฝ้ารับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ และเข็มประกาศเกียรติคุณจาก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือผู้แทนพระองค์ ตามที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ในวันศิลปินแห่งชาติ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่กำลังมาถึงนี้ หรือวันอื่นๆ แล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ทั้งนี้ นับว่า เป็นรางวัลสูงสุดแห่งชีวิตศิลปินที่มีคุณสมบัติ และผลงานเป็นที่ประจักษ์ได้รับการยอมรับในสังคมไทย เป็นผู้ที่มีความรักในอาชีพประพฤติตนเป็นตัวอย่างที่ดี มีความเป็นมืออาชีพแล้ว ก็ยังเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานจรรโลง ชาติบ้านเมืองและเผยแพร่ความรู้ความสามารถ ซึ่งจะเป็นเอกลักษณ์มรดกของชาติสู่คนรุ่นใหม่สืบสานต่อยอด สู่รุ่นต่อๆ มาอีกด้วย ขอให้ทุกคนได้ช่วยกันดูแลบุคคลที่มีชื่อเสียง มีความสามารถในอดีตด้วย เช่น ดารานักแสดงผู้อาวุโส นักกีฬาท่านทั้งหลายเหล่านั้น อาจจะอายุมากแล้วบางคนไม่ค่อยแข็งแรงรายได้ไม่เพียงพอ ไม่มีคนดูแล ขอให้ทุกหน่วยงานเข้าไปช่วยดูแลด้วย
สำหรับงานทัศนศิลป์ อาทิ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ศิลปะการแสดง อาทิ คีตศิลป์ นาฏศิลป์ และงานวรรณศิลป์นั้น นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมที่สำคัญที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการ ความเจริญก้าวหน้า และประวัติศาสตร์อันงดงามของชาติที่เป็นเจ้าของศิลปะเหล่านั้น เป็นสิ่งดีงามที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานอยู่คู่กับสังคมและประเทศชาติ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกาลเวลา
บางครั้งถูกหล่อหลอม หลอมรวมกับอารยธรรมสากล หรือชาติอื่นๆ จนทำให้คนในชาติ อาจจะหลงลืม กำพืดรากเหง้าของตนเอง เพราะอาจจะไม่สนใจ ใส่ใจศึกษาให้ครบถ้วนถึงที่มาที่ไป เหมือนกับเราอ่านหนังสือแค่ตอนจบ เร่งรีบอ่านๆ ผ่านๆ ไป ไม่ประณีต ทำให้ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่เกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ ไม่รู้ว่ามันมีชีวิตจิตใจอย่างไร จิตวิญญาณอย่างไรในตัวหนังสือเหล่านั้น แล้วเราก็เอาบางส่วนนั้นมาปฏิบัติตามอย่างผิดเพี้ยนโดยไม่รู้จริง อาจจะรวมความไปถึงเรื่องของ ประชาธิปไตยเราด้วยว่าคืออะไรกันแน่ เพราะว่าถ้าประเทศไหนจัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนประชาชน เข้าไปทำหน้าที่ออกกฎหมาย และบริหารประเทศแล้ว เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแล้วใช่หรือไม่ เสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนน้อยมันคืออะไร เรายึดเสียงส่วนใหญ่เป็นสรณะ โดยไม่สนใจเสียงส่วนน้อยเลย จะเรียกว่า ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้หรือไม่น ที่สำคัญอีกประการคือ หน้าที่พลเมือง และการเคารพกฎหมาย เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สะท้อนถึงระดับความเป็นประชาธิปไตยในสังคมนั้นๆ ว่า มีมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนน้อยก็ต้องเคารพกฎหมาย
พ่อแม่พี่น้องประชาชนที่รักครับ วันนี้อยากให้พวกเราทุกคนและสังคมโดยรวม ได้ใช้สติทบทวนสิ่งที่ผมพูดเมื่อสักครู่ ว่าเรารู้อย่างลึกซึ้งถึงความเป็นไทยหรือไม่ พร้อมที่จะหลอมรวมกับความเป็นสากล โดยที่ไม่หลงประเด็น ประยุกต์ไม่เป็น จนเป็นเหตุให้มีแต่ความขัดแย้ง เพราะต่างอ้างว่าตนรู้จริง แล้วไม่ยอมฟังเหตุผลของคนอื่น บางครั้งรับแนวคิด วัฒนธรรมของคนอื่นมายึดถือปฏิบัติ แม้จะทำได้ในหลักการ แต่หากขัดกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของเรา ก็คงไม่สามารถประสบความสำเร็จเหมือนเขาได้ จึงเป็นที่มาของคำว่า ไทยนิยมของผมที่มอบให้กับสังคมไทยในวันนี้ ไทยนิยมนั้นไม่ใช่การสร้างกระแส ชาตินิยมเหมือนที่บางคนไม่เข้าใจสังคมของตน ไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลก แล้วพยายามบิดเบือนความคิดของผม โดยไม่ศึกษาให้ดีน เพราะ ชาตินิยมนั้นจะใช้ได้ดี สำหรับป้องกันภัยคุกคาม ภัยจากภายนอกประเทศ หรือจากการทำสงคราม หรือจากการเข้ามาครอบงำทางความคิดด้วยหลักคิดลัทธิของชาติอื่น ชาตินิยมจึงมีความจำเป็นสำหรับสถานการณ์เหล่านั้น เพื่อจะสร้างสำนึกความรักชาติ
สำหรับสถานการณ์ของประเทศในวันนี้นั้นเป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่าน เราต้องการการปฏิรูปที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นไทย โดยไม่ทิ้งหลักสากล ผมขอย้ำเราไม่ต้องไปทิ้งหลักสากล นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของไทยนิยมที่ผมกำลังพูดถึง และไทยนิยมไม่ใช่ประชานิยม เพราะประชานิยมเป็นการให้ในลักษณะที่เหมือนกับยัดเยียดทุกคน ได้ไปพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง อะไรก็แล้วแต่ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่เหมาะสมกับประชาชนด้วยการสร้างแนวคิด บริโภคนิยม ที่ผ่านมาประชาชนชอบพอใจ กลายเป็นว่าประชาธิปไตยกินได้ เหมือนกับนโยบายของที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริง อาจจะทำเพียงเพื่อต้องการความนิยม หรือต้องการคะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง หลายๆ อย่างทำไม่ได้ ออกไม่ได้ เพราะว่าทุกคนต้องการคะแนนเสียงกันทั้งหมด มันเลยทำให้ปัญหาต่างๆ พอกพูนมาถึงรัฐบาล มาถึงการใช้จ่ายของภาครัฐ งบประมาณต่างๆ ซึ่งนับวันจะมีปัญหามากขึ้น
เพราะฉะนั้นเราถึงต้องมีการแยกแยะให้ชัดเจนว่าใครเดือดร้อนอะไรอย่างไรมากน้อยเพียงใด เราก็ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ทั่วถึง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องให้ความสำคัญให้มาก ว่าเราจะช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนได้อย่างไร พราะฉะนั้นคำว่า ประชานิยมนั้น มันแตกต่างจากไทยนิยม เพราะว่าไทยนิยมนั้นเป็นการต่อยอดขยายผลจากประชารัฐ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการระเบิดจากข้างใน การมีส่วนร่วม การรับผิดชอบร่วม แล้วรัฐบาลจึงจะแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน ภาควิชาการ ทำให้เกิดเป็น 3 ประสาน คือ ราษฎร์ รัฐ และเอกชน ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใคร เพราะทุกคนนั้นอยู่ในห่วงโซ่เศรษฐกิจทั้งสิ้น เพราะอยู่ในประเทศของเราเอง อันจะเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอบสนองความต้องการของคนในพื้นที่ แก้โจทย์ปัญหาที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชนด้วยกลไกประชารัฐของตน ของแต่ละท้องถิ่น ตรงความต้องการ และเมื่อมองในภาพรวมทั้งประเทศแล้ว ไทยนิยมนั้น จึงเป็นแนวคิดในการบริหารประเทศที่อยู่บนพื้นฐานของความต้องการ ตามความนิยมของคนไทยทั้งประเทศ ต้องนิยมในสิ่งที่ถูกต้องที่ถูกที่ควร นิยมในสิ่งดีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการมีคุณธรรมจริยธรรมด้วย
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่านิยมอะไรก็ทำได้หมด มันคงไม่ใช่ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว เราคนไทยเรารักและนิยมทำในสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง มีคุณธรรมจริยธรรม อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่ไม่นิยมไปทำอย่างอื่น ก่อให้เกิดความขัดแย้ง บิดเบือนทุกอย่างเหล่านี้ยังมีอยู่
เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างสรรค์ไทยนิยมในสิ่งดีๆ ให้มากยิ่งขึ้น ถูกต้อง มีคุณธรรมจริยธรรม รักความสงบ เหมือนในเพลงชาติไทยของเรา โดยเฉพาะในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ชาติไทย ระยะต่อจากนี้ไปมีความสำคัญมาก เพราะต่อกันมาทั้งหมดจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เราต้องการอนาคตอย่างไร เราต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตที่ดี ประวัติศาสตร์ที่ดีในวันข้างหน้า
เพราะฉะนั้นระยะต่อจากนี้ไปมีความสำคัญกับพวกเราทุกคนในสถานการณ์ปัจจุบัน สำหรับลูกหลานของเราในอนาคตด้วย เราต้องการการบริหารประเทศอย่างมีวิสัยทัศน์ เพื่อจะสร้างความมั่นคง มั่งคั่งยั่งคืนให้กับบ้านเมือง เราต้องน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นศาสตร์พระราชาของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นมรดกของชาติ มาเป็นหลักคิดสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสให้สืบสานรักษาต่อยอดพระราชปณิธานเพื่อจะสร้างสุขให้ปวงชนชาวไทยต่อไป
สำหรับการสร้างความสามัคคีปรองดองนั้น จะต้องน้อมนำศาสตร์พระราชาด้วยการเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา เข้าใจถึงพื้นที่ เข้าใจถึงคน และประชาชนมาประยุกต์ใช้การบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อจะนำพาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักของประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง เพื่อการพัฒนาประเทศ สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่แตกต่างจากคนอื่นเขาคือ กับดักทางการเมือง มีมากกว่าประเทศอื่นเขา ต้องแก้ไขตรงนี้ให้ได้ และจะต้องให้มีการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ได้ยั่งยืน ไม่ใช่ชั่วครั้งชั่วคราวและไม่เข้มแข็ง ให้ไปใช้ไปหมดไป เพราะฉะนั้น จะเห็นประชารัฐและไทยนิยมนั้น จะมีความเชื่อมโยงอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน ไทยนิยม เป็นกรอบใหญ่ของทั้งประเทศ หลักยุทธศาสตร์ชาติเป็นกรอบใหญ่ให้กับยุทธศาสตร์จังหวัด กลุ่มจังหวัด ภาค การพัฒนาท้องถิ่นด้วยกลไกประชารัฐ
ทั้งนี้ หากเราสามารถสร้างความเข้มแข็งเน้นการพึ่งพาตนเองได้ ตั้งแต่ระดับฐานรากแล้วจะนำสู่ความสำเร็จประสิทธิภาพรวมของประเทศในที่สุด ผมอยากให้คนไทยเข้าใจคำว่า ไทยนิยม ประชารัฐ ยั่งยืน 3 คำมีความต่อเนื่อง เชื่อมโยงทั้งหมด
พ่อแม่พี่น้องประชาชน การพัฒนาประเทศ ในยุคดิจิทัลตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 นั้น เราต้องให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม ในมิติวัฒนธรรม ความเป็นไทย ตามหลักคิดไทยนิยมที่กล่าวไปแล้ว และโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพของประเทศไปพร้อมกันด้วย อาทิ โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงาน ชลประทาน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ประเทศเราไม่ได้ร่ำรวยมากนักจนสามารถเนรมิต หรือลงทุกทุกอย่างได้ตามที่เราต้องการในระยะเวลาสั้น ดังนั้น เราต้องกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ มีการพัฒนาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ปัจจุบันแม้เราจะกำหนดเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษไว้ทุกภูมิภาคของประเทศ จำนวน 10 แห่ง แต่ไม่ง่ายนักที่จะดำเนินการพร้อมกัน เนื่องจากติดขัดในหลายเรื่อง ทั้งกฎหมาย งบประมาณ และความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ ความเข้าใจ บางท่านอาจไม่เข้าใจ มองภาพความสำเร็จไม่ออก เพราะทุกคนเคยชินกับการทำวันนี้ให้ได้พรุ่งนี้ บางที หลายอย่างต้องใช้ระยะเวลา ยังมองไม่ออกกัน เป็นหน้าที่ของรัฐบาล คสช. และทุกหน่วยงานนะ ในการสาธิตให้เห็นภาพอนาคตของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้มีศักยภาพ คือระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เพราะเมื่อสามารถทำได้สำเร็จ ไม่เพียงยกระดับการแข่งขันของประเทศเท่านั้น แต่ยุทธศาสตร์ขั้นต่อไปคือ การขยายผลในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 10 แห่ง ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศครั้งใหญ่ และเป็นก้าวย่างสำคัญของชาติ ข้ามกับดักความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และพัฒนาสู่ความยั่งยืน
วันนี้ ผมอยากจะวาดภาพอนาคตและความเป็นไปได้ให้ทุกคนเห็นว่า รัฐบาลจะขับเคลื่อนโครงการอีอีซีอย่างไร โดยแผนปฏิการลงทุนจะแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะ 1 ระยะเร่งด่วน ระหว่างปี 2560-2561 ที่ต้องดำเนินการทันที เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในอีอีซี ให้เกิดการลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศ
ระยะที่ 2 ระหว่างปี 2562 - 2564 เป็นการต่อเนื่องให้โครงข่ายการขนส่ง สามารถรองรับกิจการทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น และขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระยะต่อไป เริ่มปี 2565 จะเป็นแผนงานการรองรับการพัฒนาพื้นที่ อีอีซี อย่างยั่งยืน เพิ่มรายได้ประเทศ ให้กับประชาชนทุกระดับ ทุกฝ่าย รวมถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มมูลค่าด้วย
ทั้งนี้ เราจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะด้านคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ และโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่
1. มอเตอร์เวย์ พัทยา มาบตาพุด ปราจีนบุรี ชลบุรี แกลง ระยอง รวมทั้งประมูลโครงข่ายสายรอง การเพิ่มโครงข่ายทางเลียบเมือง
2. รถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 ท่าอากาศยาน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา รถถไฟทางคู่เชื่อมท่าเรือแหลมฉบัง-มาบตาพุด รถไฟช่วงระยอง จันทบุรี ตราด และรถไฟเชื่อมอีอีซี ไทย-กัมพูชา รวมทั้งสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง ฉะเชิงเทรา
3. ท่าเรือแหลมฉบัง เฟสที่ 3 ท่าเรือมาบตาพุด เฟสที่ 3 และอาคารผู้โดยสารท่าเรือจุกเสม็ด
4. การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา อาทิ การสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน อาคารที่ 2 ขนส่งสินค้าทางอากาศ เขตปลอดอากร และอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 ตามลำดับ
สำหรับการจัดหาแหล่งเงินลงทุนเบื้องต้นนั้น ประมาณ 1 ล้านล้านบาท จากงบประมาณแผ่นดิน 30% เงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ 10% เอกชนร่วมลงทุน ทีพีพี 59% และเงินทุนหมุนเวียนกองทัพเรือ 1% ผลที่คาดว่า จะได้รับ อาทิ 5 ปี แรกจะเกิดฐานเทคโนโลยีใหม่ของประเทศ และเกิดการพัฒนาคน และทำให้สหประชาชาติขยายตัวไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี เกิดการลงทุนกับภาคเอกชนเพิ่มเติม เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ได้กว่า 2.1-3 ล้านล้านบาท จะมีการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนคุณภาพสูงมากขึ้น ปริมาณการเดินทางและขนส่งสินค้ามากขึ้น สามารถลดต้นทุนรถบรรทุกได้ 3.56 ล้านบาทต่อวัน ลดต้นทุนรถไฟได้ประมาณ 2.3 แสนบาทต่อวัน รวมทั้งลดระยะเวลาการเดินทางลงได้ด้วย
นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนให้อีอีซี เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นประตเศรษฐกิจเชื่อมเพื่อนบ้าน และอาเซียนทั้งหมดอย่างสมบูรณ์
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ สัปดาห์นี้เป็นอีกครั้งที่ผมจะได้เดินทางไปร่วมการประชุมในเวทีระหว่างประเทศ การประชุมสุดยอดอาเซียนอินเดีย และที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา และผมยังได้ร่วมงานวันสถาปนาสาธารณรัฐอินเดีย ครั้งที่ 69 ในวันที่ 26 มกราคมนี้ ในฐานะแขกเกียรติยศร่วมกับผู้นำประเทศ 9 ประเทศ ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนในอดีตนะ การเข้าร่วมครั้งนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณ การให้ความสำคัญแก่พันธมิตรอาเซียนของอินเดีย ด้านต่างๆ ในอนาคตด้วย
สำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ครั้งนี้ เราถือว่ามีความพิเศษ เพราะปกติประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา มักจะจัดในภูมิภาคอาเซียน แต่เนื่องจากเป็นโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียนกับอินเดีย ที่เริ่มต้นอย่างเป็นทางการครบรอบ 25 ปี อีกทั้งอินเดียยังเป็นประเทศคู่ค้าและยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอาเซียน รวมถึงเป็นหนึ่งสมาชิกของความตกลงพันธมิตรการค้าระดับภูมิภาคด้วย จึงมีการจัดประชุมสมัยพิเศษครั้งนี้ขึ้น การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสทบทวนเรื่องยุทธศาสตร์อินเดียที่มีต่ออาเซียน และประเทศเอเชียแปซิฟิก ตามแนวนโยบายตะวันออก หรือ Act East ของนายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่จะเพิ่มบทบาทของอินเดีย ในประเทศอาเซียน และเอเชียแปซิฟิกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อจะสร้างสมดุลอำนาจกับประเทศอื่นๆ ด้วย อีกทั้งสอดรับอย่างดีกับนโยบายของไทยในการหาลู่ทางการขยายการค้าการลงทุนและการสร้างพันธมิตรอินเดีย ที่เป็นตลาดใหญ่ ทุกคนทราบดี มีประชากรมาก มีศักยภาพทางเทคโนโลยีสูงด้วย
สำหรับประเด็นสำคัญของกลุ่มอาเซียนคงเป็นเรื่องการหาจุดสมดุลของอำนาจระหว่างประเทศต่างๆ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการเมือง และการปกครองของโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน
นอกจากนี้ ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นกับอินเดียก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับกลุ่มประเทศอาเซียน และช่วยส่งเสริมความเชื่อมโยงทางโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกัน ทั้งนี้ ก็เพื่อจะเพิ่มบทบาทของภูมิภาคอาเซียนในการที่จะเป็นแกนกลางเชื่อมอินเดีย เข้ากับประเทศต่างๆ รอบมหาสมุทรแปซิฟิก โดยประกอบเป็นกลุ่มประเทศที่เราเรียกกันว่าอินโดแปซิฟิก ก็คือประเทศยักษ์ใหญ่ 4 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
สำหรับผลลัพธ์จากการประชุมได้มีการหารือในเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันทั้งในการค้าและการลงทุน เพื่อจะให้เพิ่มมูลค่าการค้าได้ตามเป้าหมายภายในปี 2022 ร่วมทั้งเร่งใช้ประโยชน์จากความร่วมมือด้านการค้าอาเซียน-อินเดีย และผลักดันความตกลง RCEP ให้เสร็จโดยเร็ว มีการร่วมกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ไมโคร SMEs และการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ นอกจากนี้ ยังจะร่วมกันเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม เทคโนโลยี และประชาชน ระหว่างอาเซียนและอินเดียเข้าด้วยกัน ผ่านการพัฒนาชุมชนเมืองที่เป็นอัจฉริยะ ซึ่งจะมีการจัดสร้าง SMART Cities-Cultural Centers ในอนาคต อาเซียนอาจจะพัฒนาไปสู่ความเป็น 4.0 ให้สอดคล้องกับนโยบาย 4.0 ของไทยด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมอยากจะเน้นย้ำว่า นอกจากเราจะต้องเสริมสร้างกิจกรรมภายในให้เข้มแข็ง ยืนได้ด้วยตนเองแล้ว เราก็จะต้องขยายโอกาสไปภายนอกประเทศ เพิ่มความร่วมมือกับมิตรประเทศ เพื่อสร้างโอกาส กระจายตลาด เพิ่มรายได้ทางการค้า เพิ่มศักยภาพของประเทศผ่านการลงทุน รวมถึงส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีโลก เพื่อให้กิจกรรมภายในร่วมกับแรงเกื้อหนุนจากภายนอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปได้แบบสองแรงแข็งขัน เพราะว่าถ้าวันใดก็ตามภายในต้องประสบปัญหา เราก็จะยังมีจากภายนอกคอยพยุงช่วยไว้ ถ้าหากวันใดภายนอกไม่แข็งแรง ไม่แข็งแกร่ง แม้เราอาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย แต่เราก็จะยังมีรากฐานภายในที่ดี มีความมั่นคง มีชุมชนที่เข้มแข็ง พอจะช่วยประคองให้ประเทศเดินหน้าไปได้อย่างต่อเนื่อง มีความสำคัญเท่าเทียมกันทั้งภายในและภายนอก
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงให้ความสำคัญต่อนโยบายระหว่างประเทศ ทั้งในลักษณะการเจรจาทวิภาคี หรือการหารือในลักษณะของการเป็นพหุภาคีกลุ่มประเทศ
ที่ผ่านมา นานาประเทศให้การยอมรับ ตอบรับ และชื่นชม กับความตั้งใจของรัฐบาลนี้มาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากการทยอยปรับดีขึ้นของฐานะประเทศไทยในการจัดลำดับต่างๆ
ผมได้มีโอกาสไปร่วมประชุมหารือกับกลุ่มประเทศใหม่ๆ ถึงแม้ว่าไทยจะไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่ก็ยังได้รับคำเชิญให้เข้าร่วม เช่น การประชุมของกลุ่มประเทศ BRICS ในปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเหล่านี้ได้เปิดโอกาสให้เราชี้แจง ประชาสัมพันธ์ประเทศของเรา และทิศทางนโยบายของภาครัฐ เพื่อดึงดูดการค้าและการลงทุน อีกทั้งได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความเห็น และข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อจะนำไปใช้พัฒนากิจกรรมในประเทศด้วย
เมื่อครู่ผมได้พูดถึงบทบาทที่เศรษฐกิจนอกประเทศจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากภายในให้เราอีกแรงหนึ่ง ก็เพราะเมื่อเศรษฐกิจภายนอกดี ความต้องการในการจับจ่ายใช้สอยของเขาก็จะมากขึ้น ประเทศเราก็สามารถส่งออกสินค้าและบริการออกไปได้มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ก็เป็นที่น่ายินดี ล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ และปีหน้า เพิ่มไปปีละ0.2% จากเดิมที่เคยประมาณว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตได้จากร้อยละ 3.7 ในปี 2561 และ 2562 ตอนนี้ก็จะเพิ่ม ปรับสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.9
ในขณะเดียวกัน ก็ได้ปรับตัวเลขการขยายตัวของการค้าและบริการทั่วโลกขึ้นจากร้อยละ 4.0 เป็นร้อยละ 4.6 ในปีนี้ เพราะฉะนั้นการปรับเพิ่มตัวเลขทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ ก็มาจากการที่เศรษฐกิจในหลายประเทศมีการขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้มีแรงส่งที่ดี เราต้องใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาของเราให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งได้มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วจะขยายตัวได้ดีขึ้นกว่าที่ประมาณไว้เมื่อเดือนตุลาคม 2560 โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มาตรการปฏิรูประบบภาษีของประธานาธิบดีส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ โดยในระยะสั้น คาดว่าจะปรับลดภาษีนิติบุคคล จะช่วยกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนได้พอสมควร แต่ว่าอาจจะเป็นภาระในระยะยาวได้
นอกจากนี้ IMF ยังปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของหลายประเทศในสหภาพยุโรป และญี่ปุ่นขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึง 5 ประเทศอาเซียน ได้แก่ ไทย มาเลเซีย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นในปี 2561 นี้ จากที่เคยให้ไว้ร้อยละ 5.2 เป็นร้อยละ 5.3
สำหรับประเทศไทย ถือว่าเป็นประเทศขนาดเล็ก การปรับประมาณการครั้งนี้จึงไม่ได้เปิดเผยในรายละเอียด ไม่สามารถจะแยกพิจารณาได้ชัดเจน แต่ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็มีการปรับเพิ่มประมาณการของประเทศไทยในปี 2561 จากร้อยละ 3.8 ที่ทำไว้ในเดือนกันยายน ปีที่แล้ว เป็นร้อยละ 3.9 ในเดือนธันวาคม ที่ผ่านมาด้วย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ยังให้ความสำคัญกับมาตรการการดูแลผู้มีรายได้น้อย ตามโมเดลลดความยากจนของเราด้วย
สำหรับการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้ เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยน่าจะขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้เดิม ก็จะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย แต่ผลดีนั้น จะดีมากหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับการปรับตัวเพื่อจะรับโอกาสนี้ของภาคธุรกิจเอกชนไทย และการทำงานร่วมกับรัฐบาลในการขยายตลาด การเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค โดยการจัดเวทีหารือ การจัดแสดงสินค้า การ matching ผู้ซื้อและผู้ขายโดยตรง ซึ่งจะต้องเร่งดำเนินการทั้งสองฝ่าย ผมเชื่อมั่นว่าภาคเอกชนไทยมีความสามารถ มีศักยภาพ ผมขอให้ทุกคนได้ร่วมมือกัน ช่วยกันฉกฉวยโอกาสเหล่านี้ไว้ ในระยะสั้นพวกเราคงต้องทำงานอย่างหนัก ต้องมีมาตรการในการป้องกันความเสี่ยงไว้ล่วงหน้า มีการประมาณตน มีภูมิคุ้มกัน และเน้นการพึ่งพาตนเองให้มาก ต้องทำงานเชิงรุกร่วมกัน
สำหรับระยะยาวนั้น ภาครัฐเองก็จะเดินหน้าตามแผนปฏิรูปประเทศ รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่จะช่วยปรับโครงสร้างในภาพรวมให้มีความสามารถในการแข่งขัน และการปรับเศรษฐกิจภายในให้แข็งแกร่ง รองรับความเสี่ยงต่างๆ ได้ดีขึ้นด้วย
แน่นอนว่า ในช่วงระยะนี้เป็นระยะเปลี่ยนผ่าน เราทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน ฟันฝ่าอุปสรรคไปพร้อมๆ กัน ด้วยความเสียสละ อดทน เชื่อมั่นศรัทธา เผื่อแผ่ แบ่งปัน ประนีประนอม ตามอัตลักษณ์ของคนไทยด้วย
พี่น้องประชาชนที่รักครับ สำหรับในเรื่องการปฏิรูปประเทศ ขณะนี้คณะกรรมการปฏิรูปฯ ก็ได้จัดทำร่างแผนปฏิรูปประเทศเสร็จเรียบร้อยในขั้นต้น ทั้ง 11 ด้าน อันได้แก่ การเมือง การบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านเศรษฐกิจ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณสุข ด้านสังคม ด้านพลังงาน ด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ และด้านการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
โดยหลักการ จะต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ต้องมีเป้าหมาย มีผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน รวมทั้งมีตัวชี้วัด ประเมินผลสำเร็จตามระยะเวลาไว้ด้วย ทั้งนี้ ในหลายประเด็นปฏิรูปอาจจะต้องมีการปรับโครงสร้าง กระบวนการทำงานของส่วนราชการ ข้าราชการที่เกี่ยวข้องมากมาย ที่จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนทุกคน
สำหรับขั้นตอนต่อไป จะมีการเสนอร่างแผนปฏิรูปให้กับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติพิจารณา รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน และขั้นตอนอื่นๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะได้มีการประชาสัมพันธ์ให้กับพี่น้องประชาชนได้รับทราบ เป็นระยะๆ
จากร่างแผนปฏิรูปดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่า เรานั้นยังมีงานที่ต้องทำ มีปัญหาอีกมากมายในการเดินหน้าประเทศไปสู่ความยั่งยืน การปฏิรูปนั้นเราจะต้องกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน ในการจัดทำแผนแม่บทของแต่ละส่วนราชการ แต่ละกิจกรรม ให้สอดคล้องต้องกัน ทั้งในเรื่องของแผนปฏิรูป แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทุกๆ 5 ปี ปัจจุบันแผนที่ 12 และ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้งนี้ ก็เพื่อจะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ต่อๆ ไปของทุกรัฐบาล
สุดท้ายนี้ข้อมูลที่ผมได้กล่าวมาแล้วนั้นถือว่าเป็นความรู้ สำหรับการเตรียมตัว เตรียมพร้อม เผชิญกับสิ่งท้าทายในอนาคต มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ก็จะเป็นภูมิคุ้มกันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ หากใครศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติม จนเกิดปัญญา เกิดแนวคิดที่จะพัฒนาตนเอง ไม่ให้หลุดกรอบ ตกกระแสการพัฒนาประเทศ หรือรู้เท่าทันแล้ว ก็จะช่วยให้เกิดการปรับตัวได้ทัน ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนแปลงในยุค 4.0 และการเดินหน้าไปสู่การเป็นประชาธิปไตยของเราที่ยั่งยืน
ขอขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ