“ประยุทธ์” สั่งเร่งวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ เพื่อวางรากฐานด้านโครงสร้างสู่เศรษฐกิจ 4.0 ชี้ การปฏิรูปต้องใช้เวลายาวนาน ต้องอดทน ไม่บิดเบือน และร่วมมือกัน ฝากถึงคนที่มองว่าไม่ได้รับอะไรจากรัฐบาลนี้เลย ต้องปรับปรุงตัวเองด้วย ถ้าอยู่เฉยๆ แล้วก็บ่นมันก็ไปได้ยาก
วันที่ 8 ก.ย. เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ในการวางรากฐานด้านโครงสร้างสู่เศรษฐกิจ 4.0 เรื่องหนึ่งที่สำคัญคือ การวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ หรือเรียกว่า โครงการเน็ตประชารัฐ ทั้งนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงการบริการต่างๆ ของภาครัฐได้ดีขึ้น สร้างโอกาส สร้างอาชีพ เช่น ในเรื่องของการขายสินค้า และให้บริการต่างๆ เปิดช่อง ทางการเข้าสู่ถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ และการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน รวมถึงการศึกษาค้นคว้าของภาคเอกชน และภาควิชาการ เป็นต้น
ทั้งนี้ กว่า 70,000 หมู่บ้านทั่วประเทศพบว่า เกินกว่า 50% หรือ 40,000 กว่าหมู่บ้าน ที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ และยังไม่มีการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในจำนวนนี้มี 3,920 หมู่บ้าน ไม่มีบริการอินเทอร์เน็ต และยากต่อการเข้าถึง ดังนั้น รัฐบาลจึงได้วางแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนี้มาตั้งแต่ห้วงปลายปีที่แล้ว โดยมุ่งเน้นยกระดับการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแก่หมู่บ้านเหล่านี้เป็นความเร่งด่วนลำดับแรก และเป็นที่น่ายินดี วันนี้ก็ได้รับรายงานว่า ในเบื้องต้นบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ก็ได้ส่งมอบการติดตั้งอินเทอร์เน็ตในหมู่บ้านแล้วกว่า 11,250 หมู่บ้าน โดยส่วนที่เหลือก็จะได้ทยอยดำเนินการต่อไป
นายกฯ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ภายในประเทศ บางอย่างถ้าไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตาย ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากนักก็อย่าช่วยกันประโคมข่าวกันมากนัก ทำให้ต่างประเทศเขามองเราว่าไม่ยุติกันเสียที หลายอย่างก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ก็ให้เขาดำเนินการไป รอผลออกมา ไม่อย่างนั้นมีผลกระทบไปทั้งสิ้นกับความเชื่อมั่น
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวด้วยว่า ปัจจุบันเรามีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้ว ทั้งนี้ การปฏิรูปคงไม่สามารถทำได้ ทำเสร็จภายในปี หรือ 2 ปี ทั้งหมด ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลนี้ รัฐบาลต่อไป บางเรื่อง อาจใช้เวลาถึง 5 ปี 10 ปี แต่สิ่งสำคัญ 2 ประการ ที่อยากจะเน้นย้ำ คือ
1. เราจะมีส่วนร่วม มีการสร้างความปรองดองเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะมันเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะเปลี่ยนแปลงในการจะปฏิรูปประเทศ แล้วก็เดินหน้าประเทศตามยุทธศาสตร์เหล่านั้น
2. ความอดทน อดกลั้น ไม่ใจร้อน ไม่บิดเบือน ทุกคนก็วิพากษ์วิจารณ์กัน บางทีมันก็ไม่ใช่ เราต้องไว้ใจกัน ร่วมมือกัน ในการจะนำพาประเทศไปสู่จุดหมายของเรา ก็คือความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า บางคนอาจจะบอกว่ายังไม่ได้อะไรเลยจากรัฐบาลนี้ ก็ต้องคอย ถ้าท่านยังเข้าไม่ถึงตรงนี้ มันก็ต้องใช้เวลาในการที่จะเข้าถึงให้ได้ มันมี 2 ทาง ก็คือ ท่านเข้าถึงเอง หรือสองรัฐบาลก็ยื่นแขนยื่นขาออกไปอีก ซึ่งเราก็ต้องสร้างความเข้มแข็ง ยั่งยืนไปด้วย เราให้แต่เพียงอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ ให้แล้วก็ต้องเข้มแข็งด้วย ท่านก็ต้องปรับปรุงตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน ด้วยการเรียนรู้ด้วยการศึกษา ด้วยการหาข้อมูลอันเป็นประโยชน์
ถ้าทุกคนเข้าไม่ได้ เข้าไม่ถึง แล้วอยู่เฉยๆ แล้วก็บ่นว่าทำไมไม่ได้อะไรเลย ถ้าอย่างนี้ตนว่ามันไปได้ยาก ทุกคนก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน รัฐบาลก็พร้อมที่จะนำทาง พร้อมที่จะช่วยเหลือสนับสนุน แต่มันต้องเป็นการสนับสนุนที่ถูกต้อง เป็นไปตามทำนองคลองธรรม ตามกฎหมาย อย่าให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นอีกเลย จากนี้เป็นต้นไป
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 8 กันยายน 2560
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวไทยมาโดยตลอด และด้วยพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะทรงสืบสานรักษา และต่อยอดแนวพระราชดำริของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และสมเด็จพระบรมราชชนนี ที่ทรงคุณอเนกอนันต์ และสร้างสุขแก่ปวงประชา จึงพระราชทานราชานุญาตให้จัดทำโครงการจิตอาสาเฉพาะกิจงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขึ้น ตามที่ผมได้มากล่าวในรายการนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ทราบว่าปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุในหลากหลายอาชีพ ต่างเข้ามาสมัครเข้าร่วมโครงการทั้งในประเทศ และต่างประเทศเป็นจำนวนมาก
ในการนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระรูป พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ขณะทรงร่วมทำกิจกรรมจิตอาสา ร่วมกับข้าราชบริพารในช่วงวันหยุดเรียน โดยทรงกวาดลานวัด ทรงทำความสะอาดรอยพระพุทธบาทจำลอง และบริเวณรอบใต้ฐานพระบรมรูป ทรงเช็ดถูกระจกหน้าต่างวัด ทรงถูพื้นด้วยพระองค์เอง และถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น พร้อมทั้งทรงให้กำลังใจจิตอาสาเฉพาะกิจทุกคนว่า สู้ๆ ครับผม อีกด้วย นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
พี่น้องประชาชนที่รักครับ ช่วงของการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ในยุคดิจิตอลนี้ หากเปลี่ยนประเทศไทยเป็นคอมพิวเตอร์แล้ว ผมเห็นว่าส่วนประกอบต่างๆ ของประเทศ จำเป็นต้องได้รับการอัปเกรดยกระดับทั้งระบบ เพื่อจะให้ประเทศของเรามีศักยภาพ และมีขีดความสามารถในการแข่งขันบนโลกดิจิตอลได้ ส่วนประกอบเหล่านั้น ได้แก่
1. ฮาร์ดแวร์ เช่น โครงสร้างพื้นฐานทั้งปวงต้องได้รับทุนขนาดใหญ่เพื่ออนาคจต อาทิ ด้านการคมนาคมขนส่ง และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
2. ซอฟต์แวร์ คือ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ ที่เราจะต้องปรับปรุงให้ทันสมัย เพื่อจะอำนวยความสะดวกต่อการให้บริการประชาชน ไม่เป็นอุปสรรคต่อภาคการค้า และการลงทุน และป้องกันไวรัสคือ การทุจริต
3. ทรัพยากรมนุษย์ คือ การยกระดับคุณภาพชีวิต และการพัฒนาศักยภาพให้เป็นคนไทย 4.0 ด้วยการศึกษาสอดคล้องกับทิศทางของการพัฒนา และตลาดแรงงาน
อีกทั้ง 4. ระบบปฏิบัติการ OS คือโครงสร้างระบบราชการที่้ต้องอัปเดตให้ทันสมัย ทันโลก ทันเทคโนโลยีอยู่เสมอ เพื่อสามารถเชื่อมโยงการทำงานระหว่างพีเพิลแวร์ ซอฟต์แวร์ และ ฮาร์ดแวร์ ได้อย่างเหมาะสม รัฐบาลนี้ได้ทำการยกเครื่องระบบปฏิบัติการใหม่ให้ขับเคลื่อนประเทศด้วยกลไกประชารัฐ ซึ่งข้าราชการจะเป็นผู้ประสานงาน ผู้อำนวยความสะดวก ไม่ใช่แต่เพียงปุ่มกดเหมือนในอดีตทั้งผ่านมา
ทั้งนี้ กลไกประชารัฐประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนเป็นสำคัญ วันนี้ผมอยากจะเพิ่มเพื่อนสื่อมวลชนด้วย ทั้งสื่อกระแสหลักที่มีจำกัด สื่อออนไลน์ รวมทั้งภาควิชาการเข้ามาอยู่ในกลไกประชารัฐของเราอีกด้วย โดยเฉพาะภาควิชาการนั้น ในหลวง รัชกาลที่ 10 เคยมีรับสั่งให้ส่งเสริมสนับสนุนมหาวิทยาลัยราชภัฏอย่างเต็มที่ใน 2 เรื่องหลักๆ คือ 1. การผลิตและพัฒนาครู จะต้องมีการวางระบบที่ดี และ 2. ให้มหาวิทยาลัยราชภัฏทำหน้าที่ในการพัฒนาท้องถิ่นแต่ละแห่งของตน ซึ่งต้องวิเคราะห์สภาพปัญหา และความต้องการของท้องถิ่นนั้นๆ ไว้ด้วย
ในการนี้รัฐบาลได้น้อมนำพระราชบัญญัติดังกล่าว มามอบเป็นศาสตร์พระราชาอย่างหนึ่ง เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ โดยมีแนวทางให้มหาวิทยาลัยต่างๆ มหาวิทยาลัยราชภัฏ สถาบันอุดมศึกษา และอาชีวะต่างๆ ต้องมีบทบาทในเชิงวิชาการ คงไม่เพียงแต่ผลิตบัณฑิตนักศึกษาสู่ตลาดแรงงานท้องถิ่นของตน และประเทศเท่านั้น แต่ยังคงต้องมีส่วนร่วมในการวิจัย และพัฒนา และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับศักยภาพของตน ในท้องถิ่นอีกด้วย คลัสเตอร์ภาคการผลิต ทั้งเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ รวมทั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 10 แห่ง ซึ่งต่างมีเป้าหมายให้บริหารการผลิตที่แตกต่างกันออกไปตามศักยภาพของแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีเป้าหมายปลายทางก็คือ การกระจายความเจริญไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ ไม่มากระจุกตัวอยู่เฉพาะกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใหญ่ๆ ที่เป็นหัวเมืองของภูมิภาคเท่านั้น พี่น้องประชาชนแรงงาน นักเรียน นักศึกษา จะได้มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิต ประกอบอาชีพ ณ ถิ่นฐานของตนอยู่กับครอบครัวของตน ไม่ต้องเสี่ยงภัยแสวงโชคในเมืองใหญ่ๆ อีกต่อไป ครอบครัวจะได้มีความสุขอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน สังคมจะเข้มแข็ง
สำหรับคำว่า ราชภัฏ หมายถึงคนของพระราชา ข้าของแผ่นดินนั้น ได้มีนัยสำคัญที่ลึกซึ้งเปรียบเสมือนว่า สถาบันราชภัฏ มหาวิทยาลัยราชภัฏ หรือวิทยาลัยครูในอดีต จะเป็นผู้ที่ทำงานถวาย และสนองพระราชกรณียกิจ ในเรื่องที่สำคัญๆ เพื่อพัฒนาประชาชนทุกหมู่เหล่าให้ได้มีโอกาสทางการศึกษา และพัฒนาตนเองในทุกๆ ด้าน จะช่วยให้ชาวบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในทุกสถานที่ รวมถึงชุมชน สังคม ที่ส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่นๆ ยังเข้าไม่ถึง หรืออาจจะละเลยในการเข้าไปพัฒนาอย่าต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราประจำพระองค์ หรือ พระราชลัญจกร เพื่อให้เป็นตราประจำสถาบันของทุกมหาวิทยาลัยราชภัฏได้ใช้มาจนตราบทุกวันนี้ ดังนั้นผมจึงอยากให้มหาวิทยาลัยราชภัฏได้ภาคภูมิใจ และทุ่มเทพลังกาย พลังใจ พลังสมอง ในการสนองพระราชปณิธานของในหลวง รัชกาลที่ ๙ และรัชกาลที่ 10 ของปวงชนชาวไทย รวมทั้งทุกสถาบันการศึกษาได้ดำเนินการในบทบาทเพิ่มเติมของตนที่เป็นส่วนหนึ่งของกลไกประชารัฐ เพื่อการพัฒนาประเทศของเราในอนาคตด้วย ฝากช่วยริเริ่ม ช่วยดำเนินการด้วยให้ทุกคนรักที่อยู่ที่อาศัย ภูมิลำเนาของตนเอง แล้วคาดหวังว่าจะพัฒนาได้อย่างไร จะไปสู่การเรียนรู้นะครับ แล้วการศึกษาที่สอดคล้องต้องกันกับสิ่งที่ผมพูดไปแล้ว
พี่น้องประชาชนที่รักครับ ในการวางรากฐานด้านโครงสร้างสู่เศรษฐกิจ 4.0 เรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือ การวางโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทั่วประเทศ หรือเรียกว่า โครงการเน็ตประชารัฐ ทั้งนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เข้าถึงการบริการต่างๆ ของภาครัฐได้ดีขึ้น สร้างโอกาส สร้างอาชีพ เช่น ในเรื่องของการขายสินค้า และให้บริการต่างๆ เปิดช่อง ทางการเข้าสู่ถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ และการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชน รวมถึงการศึกษาค้นคว้าของภาคเอกชน และภาควิชาการ เป็นต้น
ทั้งนี้ กว่า 70,000 หมู่บ้านทั่วประเทศพบว่า เกินกว่า 50% หรือ 40,000 กว่าหมู่บ้าน ที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ และยังไม่มีการบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในจำนวนนี้มี 3,920 หมู่บ้าน ไม่มีบริการอินเตอร์เน็ต และยากต่อการเข้าถึง ดังนั้น รัฐบาลจึงได้วางแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนี้มาตั้งแต่ห้วงปลายปีที่แล้ว โดยมุ่งเน้นยกระดับการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแก่หมู่บ้านเหล่านี้เป็นความเร่งด่วนลำดับแรก และเป็นที่น่ายินดี วันนี้ผมก็ได้รับรายงานว่า ในเบื้องต้นบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ก็ได้ส่งมอบการติดตั้งอินเทอร์เน็ตในหมู่บ้านแล้วกว่า 11,250 หมู่บ้าน โดยส่วนที่เหลือก็จะได้ทยอยดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ อีกโครงการหนึ่งที่รัฐบาลทำคู่ขนานกันไปก็คือโครงการดิจิทัลชุมชนด้านอีคอมเมิร์ซ โดยบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ได้ร่วมกันดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้ชุมชนขายสินค้า และบริการของท้องถิ่นในรูปแบบออนไลน์ได้ในอนาคตอีกไม่นานต่อจากนี้
สำหรับความคืบหน้าโครงการนี้ก็จะมีการสำรวจร้านค้าในชุมชนรวมทั้งประเมินความพร้อมของจุดรับลงทะเบียนสินค้าและคำสั่งซื้อสินค้าครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศแล้ว ให้ติดตตามกัน โดยในขั้นตอนต่อไปจะเป็นการพัฒนาระบบอีมาร์เก็ตเพลสกลาง ที่จะเป็นฐานข้อมูลสินค้าชุมชน ซึ่งต่อไปภาคเอกชนร้านค้ารายน้อยใหญ่ก็จะสามารถเลือกเชื่อมโยงข้อมูลสินค้าดังกล่าวเพื่อไปวางขายในพื้นที่อีมาร์เก็ตเพลสของตนเองได้
อีกทั้งก็จะมีการพัฒนาระบบบริหารจัดการร้านค้าระบบอีโลจิสติกส์ ซึ่งเชื่อมโยงกับระบบพร้อมเพย์ที่คนไทยก็เริ่มจะคุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้นแล้วในปัจจุบัน และระบบอีเพย์เมนต์ เป็นในทำนองเดียวกัน ที่ไปรษณีย์ไทย ดำเนินการอยู่ในเว็บไซต์ thailandpostmart ซึ่งผมก็ได้เร่งรัดให้โครงการนี้ดำเนินการให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ก็จะช่วยให้พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล ได้ขายสินค้าของตนได้โดยตรงสู่ผู้บริโภคและร้านค้าขนาดใหญ่ ทั้งผลิตผลทางการเกษตร หรือสินค้าโอท็อป สินค้าพื้นบ้าน สินค้าประจำท้องถิ่น ซึ่งเป็นศิลปหัตถกรรมมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น สินค้าจีไอ เป็นต้น เพื่อจะเป็นอีกช่องทางในการจำหน่ายสินค้าเพื่อสร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชน ไม่ว่าเราจะอยู่มุมใดของประเทศ เราจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วย ว้าเหว่ ไม่มีกำลังใจ เพราะรัฐบาลนี้มีนโยบายว่า เราต้องทำทุกอย่างโดยคำนึงถึงคนทั้งประเทศ เราไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทุกคน ทุกชุมชน ก็จะได้มีส่วนช่วยกันในการจะสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับของตน ไปถึงระดับชาติ เป็นห่วงโซ่คุณค่าเดียวกัน เกิดความยั่งยืนต่อไปตามแนวทางเศรษฐกิจ 4.0 ตามรัฐบาลได้ตั้งใจไว้ วันนี้หลายเวทีในต่างประเทศก็พูดถึงเรื่องนี้ การสร้างความเชื่อมโยง
สำหรับระยะยาว รัฐบาลนี้ได้ยกร่างแผนปฏิบัติการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี พ.ศ.2560-2564 และร่างแผนอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ ระยะ 5 ปี พ.ศ.2560 - 2564 ซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก หากทุกฝ่ายร่วมมือกันหาหนทางปฏิบัติให้ได้ และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเราก็สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์โลก สถานการณ์ภายในภายนอกของเรา ผมก็จะหาโอกาสมาเล่ารายละเอียดให้พี่น้องฟังในโอกาสต่อไป
ทั้งนี้ ผมก็ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้เตรียมแผนงานการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่คู่ขนานกันไปด้วย เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทันที ไม่เช่นนั้นพอสร้างเสร็จแล้วก็ต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อจะดำเนินการต่อผมให้คิดไปพร้อมกันเลย ประชาชนต้องเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ ไม่เช่นนั้นจะเสียเวลา
พี่น้องประชาชนที่เคารพ ในการที่จะสร้างความเจริญเติบโตให้กับประเทศอย่างยั่งยืนนั้น นอกเหนือจากยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน หรือที่เรียกว่าระเบิดจากข้างในแล้ว เราคงต้องคำนึงถึงยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือกิจการต่างประเทศด้วย ที่ผ่านมาเรียกว่าเราไม่สามารถจะละเลยสิ่งต่างๆบนโลกใบนี้ได้ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นส่วนใดของโลกก็ตาม สิ่งเหล่านี้ย่อมจะส่งผลกระทบทั้งทางตรงหรือทางอ้อมต่อบ้านเมืองของเรา ประชาชนของเราในมิติต่างๆ เช่น ความมั่นคง สังคม เศรษฐกิจ หรือสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะผลกระทบจากเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิตัล ที่ขยายความเชื่อมโยงกันทั่วโลก เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ
ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเรื่องสินค้าเกษตรของประเทศไทยที่เคยตกต่ำมานาน ก็เป็นผลมาจากราคาตลาดโลกที่อยู่ในระดับต่ำมาตั้งแต่ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือในประเด็นความไม่แน่นอน น ของเวทีการเมืองต่างประเทศ เช่น BREXIT หรือประเด็นความกังวลในเรื่องของการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นและตลาดการเงินทั่วโลก ที่มีผลติดต่อหรือมีผลต่อเนื่องมายังตลาดการเงินไทย รวมทั้งการดำเนินนโยบายของชาติมหาอำนาจ หรือประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะขยับอะไร ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้า การส่งออก และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยได้อีกด้วย
ดังนั้น ความเชื่อมโยง ของเรากับโลกนั้นเราจะต้องเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประชาคมโลก ให้มากยิ่งขึ้น อย่างเหมาะสม และสมดุล จึงมีความสำคัญยิ่งวันนี้ถ้าเรามุ่งหวังแต่เพียงค้าขายระหว่างกันเท่านั้น คงไม่เพียงพอ ต้องมีการเชื่อมโยง มีการช่วยเหลือ มีการสนับสนุน มีการค้าการลงทุนในลักษณะ ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน จะเพิ่มมูลค่าทั้งสองด้าน เราจะหวังแต่เพียงว่าเอาข้าเราขึ้นข้างเดียวไม่ได้
แม้กระทั่งในเรื่องการท่องเที่ยวก็ตามวันนี้เราก็ต้องมีการท่องเที่ยวในแบบแพคเกจบ้าง คือให้เพิ่มทั้งสองทาง รวมให้เกิดมูลค่ามากขึ้น จัดที่ท่องเที่ยว ของแต่ละประเทศแล้วมาเชื่อมโยงกันนะครับ เชื่อมโยงกับประเทศอื่นด้วย ในทั้งต้นทางและปลายทาง ก็ทำให้สามารถเกิดการสัญจรไปมาของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ สามารถที่จะไปเยี่ยมเยือนกันได้ ไปท่องเที่ยวกันได้ทั้งปี จะเพิ่มมูลค่าขึ้นทั้งสองด้าน สองทาง เราจะต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง รอบคอบ ในเรื่องการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่ง และความมีเสถียรภาพของประเทศ
เหตุการณ์ภายในของเราก็เช่นกัน บางอย่างถ้าไม่ใช่เรื่องที่คอขาดบาดตาย ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากนักก็อย่าช่วยกันประโคมข่าวกันมากนักเลย ทำให้ต่างประเทศเขามองเราว่าไม่ยุติกันเสียที หลายอย่างก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ก็ให้เขาดำเนินการไป ติดตามไป รอผลออกมา ไม่อย่างนั้นมีผลกระทบไปทั้งสิ้นกับความเชื่อมั่น และการดำเนินการทางต่างประเทศที่ผมไปนั้นช่วงต้นสัปดาห์ ผมก็ได้เดินทางไปร่วมหารือกับมิตรประเทศต่างๆ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ด้วยกัน ซึ่งผมอยากมาเล่าสู่กันฟัง ว่าสิ่งที่ประชาคมโลกและประเทศเพื่อนบ้านของเราให้ความสำคัญ มีอะไรบ้าง แล้วบทบาทและจุดยืน นโยบายของไทย ควรจะเป็นอย่างไร เราต้องเอาของเขามาดูด้วยเราคิดของเรา เราคนเดียวก็ไม่ได้อะไรหรอก เพราะว่าเขาไม่ได้ตกลงด้วย ไม่ได้ยินยอมด้วย เราต้องร่วมมือกันอย่างไร ก็ต้องหาแนวทางให้ได้ ที่จะช่วยกระชับความร่วมมือกับประเทศต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กันและกัน พึ่งพากัน และเดินหน้าไปด้วยกัน ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องของประเด็นอ่อนไหวต่างๆ ก็ไม่ควรจะพูดออกไปในเวทีใหญ่ หรือเวทีสื่อประชาสัมพันธ์อะไรก็แล้วแต่ ไม่ควรพูด บางเรื่องก็เป็นการพูดหารือเพื่อจะแก้ปัญหา หรือ คณะ ครม. ร่วม คณะกรรมาธิการร่วม ในการแก้ปัญหาแต่ละเรื่องๆ อย่าเอาทุกอย่างมาปนกันหมด ทำให้การเดินหน้าต่างประเทศมีปัญหา แล้วในประเทศก็จะมีปัญหาเรื่องความเชื่อมั่น
สำหรับการประชุมแรก เป็นการประชุมระหว่างผู้นำกลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและมีบทบาทในเวทีโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบไปด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ กับประเทศตลาดเกิดใหม่ และประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น เซี่ยเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศ นอกกลุ่มของ BRICS ที่ได้รับเชิญร่วมประชุมครั้งนี้ด้วย เรามองได้ว่า ให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญการเชื่อมโยงของไทยที่มีต่อกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่สำคัญเหล่านี้ โดยส่วนสำคัญของการประชุมกลุ่มประเทศ BRICS นั้น หัวข้อหลักคือความเป็นหุ้นส่วนเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่
1. การขยายความมีส่วนร่วม ทั่วถึง และระบบธรรมาภิบาลโลก
2. การขับเคลื่อนโลกาภิวัฒน์ทางเศรษฐกิจ เปิดกว้าง ครอบคลุม สมดุล และยั่งยืน
3. การสร้างความนิยมในระดับประชาชน และ 4 การพัฒนาเชิงสถาบัน โดยให้สำคัญในการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกประเทศ ทั้งผู้สนับสนุนและรับการสนับสนุนต้องหารือซึ่งกันและกัน ว่าต้องการอะไรกัน และเราให้อะไรกันได้ ต้องเจรจากันให้เกิดผลสัมฤทธิ์
โอกาสที่ผมได้พบปะหารือกับประธานาธิบดีของจีนแบบทวิภาคี ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น และน่าประทับใจ ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง แสดงออกถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ท่านได้กล่าวว่าไทยกับจีนเหมือนคนในครอบครัว เป็นพี่เป็นน้องกันของสองประเทศ ไปมาหาสู่กัน เห็นได้จากการท่องเที่ยวต่างๆ คนไทยเที่ยวจีน และจีนเที่ยวไทยจำนวนมาก จีนยอมรับในการตัดสินใจของเรา ไม่ได้ใช้อำนาจ ไม่ได้ใช้ฐานะมหาอำนาจบังคับเรา ยอมรับการตัดสินใจของเราทุกเรื่อง แล้วเชื่อมั่นการพัฒนาประเทศของรัฐบาลวันนี้ ว่าเหมาะสมกับประโยชน์ของเราในการปฏิรูป พร้อมทั้งยึดมั่นและดำรงรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ในความร่วมมือ และแลกเปลี่ยนกันในทุกระดับในอนาคตต่อไป และขอขอบคุณ ประธานาธิบดีของจีนด้วยนะครับ
สำหรับประเทศไทยนั้น เราเข้าสู่การประชุมประเทศเกิดใหม่ และประเทศกำลังพัฒนา ที่หารือกันในเรื่องการสร้างความร่วมมือ เพื่อการเติบโตร่วมกัน โดยมุ่งเน้นการดำเนินการให้บรรลุวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 หรือที่เรียกกันติดปาก SDG2030 รวมทั้งเสริมสร้างความร่วมมือด้านการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่พัฒนาให้มากขึ้น ซึ่งหลักคิดที่นำมาใช้ในการหารือเรื่องนี้ เริ่มจากการที่เราได้เห็นกระแสตอบรับด้านโลกาภิวัฒน์มากขึ้น เมื่อมีหลายประเทศที่ไม่อยากอยู่รวมกลุ่ม เมื่อเห็นว่าการรวมกลุ่มมีความสำคัญลดลง แต่ผมยังเชื่อในความร่วมมือร่วมใจกัน หากเราไม่เกื้อกูลกัน แสวงหาแต่ผลประโยชน์ ไขว่ขว้ามากขึ้น เอาประเทศตัวเองเพียงด้านเดียวจะทำให้โลกเข้าสู่ภาวะการแข่งขันอย่างรุนแรง จนในที่สุดเป็นทุกฝ่ายที่พ่ายแพ้ ไม่มีใครได้อะไร มีแต่สูญเสีย หรือศูนย์เปล่า
สำหรับกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างเรานี้ ถือได้ว่ามีนโยบายมุ่งบรรลุเป้าหมาย คือการพัฒนาที่ยั่งยืน เกื้อกูลกัน เชื่อมโยงแน่นแฟ้น นำสู่การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมกันพัฒนา ร่วมแก้ปัญหา อันจะนำไปสู่การสร้างหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนา ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันได้และตอบโจทย์ความต้องการในการยกระดับรายได้ และความเป็นอยู่ของประชากรไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สิ่งที่ผมกล่าวในที่ประชุมนั้น สิ่งแรกคือการส่งสัญญาณว่าไทยยังให้ความสำคัญในการร่วมมือกับประเทศต่างๆ และเชื่อว่าเราไม่อาจเติบโตได้เพียงลำพัง เราต้องเดินหน้าไปพร้อมกันกับประเทศเพื่อนบ้าน และทุกภูมิภาค ซึ่งเรายึดถือแนวทางประเทศไทย บวก 1 บวก 2 บวก 3 เพื่อสนับสนุนด้านการลงทุนและความร่วมมือกับต่างประเทศ ขยายผลไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านของเราด้วย หากพวกเราแข็งแกร่งจะสามารถส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมซึ่งกันและกันได้ และเราจะเจริญเติบโตไปด้วยกัน
ประเด็นที่ 2 หากเราผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุมแล้ว เราต้องสร้างความเชื่อมโยงที่จะช่วยกระจายความเจริญ รายได้ โอกาส การศึกษา และธุรกิจ ไปยังภาคส่วนต่างๆ ทั่วถึง เพื่อลดความเลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ไทยตั้งอยู่ใจกลางอาเซียน สามารถเป็นประตูสู่ภูมิภาคอื่นๆ กับเพื่อนบ้านในอนาคต เราจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม ขนส่ง ทุกระบบ เพื่อจะเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ เช่น โครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีน เพื่อเชื่อมโยงไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านเข้าสู่จีน และพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์ตลอดแนวเส้นทางรถไฟผ่าน มีการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก อีอีซี และเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดชายแดน รวมทั้งผลักดันแผนแม่บทอาเซียนด้านความเชื่อมโยงด้วย ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งการพัฒนาอย่างรอบด้าน ไม่เพียงในภูมิภาคเอเชียเท่านั้น กรณีเชื่อมโยงไปยังภูมิภาคอื่นทั่วโลก อย่างที่สมาชิกร่วมประชุมกล่าว ทุกคนสร้างความนิยมของตัวเองกับประเทศเพื่อนบ้าน กับประชาคม ซึ่งจีนมีบทบาทในการสร้างความเชื่อมโยงนี้ ให้ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียง มีการพูดคุย ได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียม ในลักษณะที่ว่าเป็นการบังคับ การสร้างอิทธิพลต่างๆ มีการพูดคุยเรื่องเหล่านี้ด้วย
สำหรับความเชื่อมโยงประชาชน นับเป็นอีกวิธีที่สำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือ เพราะบางคน เจอกัน พบกัน รักกัน และดีกัน ข้ามประเทศ ทำให้เรามีมิตรมากขึ้น ให้ช่วยสร้างความเข้าใจ ลดความขัดแย้ง จะทำให้เกิดความราบรื่นในทุกกิจกรรม ซึ่งประเทศที่กำลังพัฒนาต้องเร่งสร้างความเป็นหุ้นส่วน เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น ความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา และเอกชน ช่วยส่งเสริมขีดความสามารถและพัฒนาทักษะแรงงาน ความร่วมมือแลกเปลี่ยนด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม และยุคสมัยนี้ ประเทศที่กำลังพัฒนามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มขีดความสามารถ เพื่อรองรับความเชื่อมโยงทางดิจิทัล จะช่วยขยายการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ซึ่งมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 90 ของเศรษฐกิจในภูมิภาค ให้เติบโตไปกับเศรษฐกิจภาพรวมได้ ผ่านการพัฒนาอี คอมเมิร์ช การเงินอื่นๆ อย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้ว
ประเด็นสุดท้าย ที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันคือการพัฒนาที่สมบูรณ์ ต้องมีความยั่งยืนด้วย ต้องร่วมมือกันสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการปกป้องสิ่งแวดล้อมตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และองค์ปัจจุบัน และต้องตระหนักว่า มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความเป็นอยู่ การศึกษา อาชีพ รายได้ มันต่างกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นการดำเนินความร่วมมือจะต้องคำนึงถึงความต้องการและข้อจำกัดของผู้รับด้วย ตลอดจนถึงผู้ที่มีส่วนร่วมเป็นสำคัญ อีกทั้งควรจะมีหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้การรวมกลุ่มของพวกเราสามารถขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างประเทศในประชาคมโลกให้กว้างขึ้นไปอีกด้วย ก็เหมือนกับประชารัฐของเราในประเทศแล้วเราก็น่าจะต้องมีประชารัฐกับต่างประเทศด้วย ก็เป็นตัวอย่างเทียบกันง่ายๆ จะได้เจริญเติบโตทั้งภายในและภายนอก มันจะได้เร่งให้เร็วขึ้น
สำหรับอีกการประชุมหนึ่งที่ผมได้เดินทางไปร่วมในช่วงสัปดาห์นี้ก็คือการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี อย่างไม่เป็นทางการ ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 3 ก็เป็นการเตรียมการมาล่วงหน้าแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเดินทางไปหารือเพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างสองประเทศ ซึ่งสลับกัน ครั้งที่แล้วเราเป็นเจ้าภาพ ในหลายๆ ด้าน ให้สอดรับกับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ที่รัฐบาลนี้ต้องการส่งเสริม ภายใต้นโยบายประเทศไทย+1 ตามที่ผมได้กล่าวไปข้างต้น
เพราะกัมพูชาเป็นส่วนหนึ่ง หรือเป็นหนึ่งในประเทศอนุภูมิภาคที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับไทยมายาวนาน มีภูมิศาสตร์ที่ใกล้ชิด ชายแดนติดกับไทย ทำให้มีการค้าระหว่างกัน ทั้งสินค้า บริการ รวมถึงแรงงาน ที่มีส่วนสำคัญในภาคการผลิตของเศรษฐกิจไทยด้วย มีความเชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง
การหารือครั้งนี้ก็เพื่อจะกำหนดแนวทางและทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้น วันนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว ก็อาจจะต้องเพิ่มความร่วมมือที่จะสร้างประโยชน์ให้กับทั้งสองฝ่าย สองประเทศได้ ให้เจริญเติบโตไปพร้อมกัน ซึ่งเราก็ได้เห็นความคืบหน้าของความร่วมมือในสาขาต่างๆ หรือเรื่องของการพัฒนาจุดผ่านแดน การพัฒาด้านภาษี การพัฒนาด้านแรงงาน การส่งเสริมการศึกษา การเกษตร การเชื่อมโยงทางถนน รถไฟ และทางน้ำ ซึ่งจะต้องต่อไปถึงประเทศอื่นๆ อีกด้วย การกระตุ้นและการสนับสนุนการท่องเที่ยวในด้านต่างๆ รวมถึงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนที่ติดกัน เพื่อจะสร้างงานและเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศด้วย
ทั้งนี้ การส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ทั้งในและนอกภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการมา เหล่านี้ก็จะถือว่าเป็นการช่วยสร้างความสมดุลให้กับการพัฒนาประเทศ ลดการพึ่งพาเพียงเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างเดียว และสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆ ไปพร้อมๆ กันด้วย เพื่อให้ไทยสามารถจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของประเทศอื่นๆ ในโลก โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ช้ากว่า จากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าของไทยไปยังต่างประเทศ ก็จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกแรงหนึ่งด้วย ก็จะต้องเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมให้มากยิ่งขึ้น
พี่น้องประชาชนครับ เราอาจมองได้ว่าความเชื่อมโยง ทั้งทางโครงสร้างพื้นฐาน ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างประเทศต่างๆ ในโลกนั้น จะเป็นทั้งความท้าทาย และโอกาสให้กับประเทศไทย ซึ่งคงเป็นการยากที่เราจะปิดตัวจากความเชื่อมโยงเหล่านี้ ไม่ค้าขาย ไม่ติดต่อ อยู่แต่เพียงลำพัง มันทำไม่ได้แล้วนะครับในวันนี้ เราจะทำอย่างไร เราจะพลิกฟื้นให้ความท้าทายหรือวิกฤตเหล่านั้น ให้เพิ่มความเชื่อมโยง นำมาสู่การแข่งขันที่ลดลง มีความร่วมมือซึ่งกันและกัน เพราะว่ามันมีผลจากตลาดการเงินที่ผันผวนมากขึ้น คือพูดง่ายๆ ว่าเอาวิกฤตมาเป็นโอกาสให้ได้ จากสิ่งที่มันเป็นปัจจัยที่ทำให้ทุกอย่างมันไม่ดี ต้องเอาทุกปัญหาทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาและหาหนทางปฏิบัติ ลดวิกฤต เพิ่มโอกาส อย่าทำโอกาสให้เป็นวิกฤตเลย ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม
เพราะฉะนั้น เราก็จะถือว่าสิ่งที่เราร่วมมือกันทำวันนี้ มันก็จะเป็นโอกาสของประเทศ เป็นประวัติศาสตร์ที่คนไทยทุกคนได้ร่วมมือกัน ซึ่งนอกเหนือไปจากว่าเราจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อให้ยืนอยู่ในประชาคมโลกในยุค 4.0 นี้แล้ว เราคงต้องร่วมมือกับนานาประเทศให้มากยิ่งขึ้นในการสร้างภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมที่แข็งแรง ไปด้วยกัน อย่าไปมองปัญหาการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อให้เราสามารถจะช่วยเหลือกัน บรรเทาปัญหาให้แก่กันได้ เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดปัญหา มันก็เดือดร้อนไปด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีเขตแดนติดกัน แล้วก็อาจจะลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ได้มากขึ้น มันก็ทำให้การแก้ปัญหาแก้ได้ยากไปเรื่อยๆ จากยากอยู่แล้วก็ยากไปเรื่อยๆ ทุกคนต้องระมัดระวัง
ถ้าเราทำได้ดีแล้ว มันก็จะเป็นการสร้างอำนาจการต่อรอง ให้กับกลุ่มประเทศอื่นๆ ทำให้ประเทศเล็กอย่างเรานั้น หรืออาเซียนที่รวมกันหลายประเทศ ประเทศเล็กๆ เหล่านั้น เราก็จะไม่เสียเปรียบในเวทีโลกอีกต่อไป
สุดท้ายนี้ ปัจจุบัน เรามีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันแล้ว ทั้งนี้ การปฏิรูปคงไม่สามารถทำได้ ทำเสร็จภายในปี หรือ 2 ปี ทั้งหมด ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลนี้ รัฐบาลต่อไป บางเรื่อง อาจใช้เวลาถึง 5 ปี 10 ปี แต่สิ่งสำคัญ 2 ประการ ที่ผมอยากจะเน้นย้ำในช่วงท้ายรายการนี้ คือ
1. เราจะมีส่วนร่วม มีการสร้างความปรองดองเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะมันเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะเปลี่ยนแปลงในการจะปฏิรูปประเทศ แล้วก็เดินหน้าประเทศตามยุทธศาสตร์เหล่านั้น
2. ความอดทน อดกลั้น ไม่ใจร้อน ไม่บิดเบือน ทุกคนก็วิพากษ์วิจารณ์กัน บางทีมันก็ไม่ใช่ เราต้องไว้ใจกัน ร่วมมือกัน ในการจะนำพาประเทศไปสู่จุดหมายของเรา ก็คือความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน
หลายอย่าง อย่างที่ผมเรียนไปแล้วว่า บางคนอาจจะบอกว่ายังไม่ได้อะไรเลยจากรัฐบาลนี้ ก็ท่านก็ต้องคอยถ้าท่านยังเข้าไม่ถึงตรงนี้ มันก็ต้องใช้เวลาในการที่จะเข้าถึงให้ได้ มันมี 2 ทางก็คือ ท่านเข้าถึงเอง หรือสองรัฐบาลก็ยื่นแขนยื่นขาออกไปอีก ซึ่งเราก็ต้องสร้างความเข้มแข็ง ยั่งยืนไปด้วย เราให้แต่เพียงอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ ให้แล้วก็ต้องเข้มแข็งด้วย ท่านก็ต้องปรับปรุงตัวเอง เปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนกัน ด้วยการเรียนรู้ด้วยการศึกษา ด้วยการหาข้อมูลอันเป็นประโยชน์
ถ้าทุกคนเข้าไม่ได้ เข้าไม่ถึง แล้วอยู่เฉยๆ แล้วก็บ่นว่าทำไมไม่ได้อะไรเลย ถ้าอย่างนี้ผมว่ามันไปได้ยาก ทุกคนก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน รัฐบาลก็พร้อมที่จะนำทาง พร้อมที่จะช่วยเหลือสนับสนุนท่าน แต่มันต้องเป็นการสนับสนุนที่ถูกต้อง เป็นไปตามทำนองคลองธรรม ตามกฎหมาย อย่าให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นอีกเลย จากนี้เป็นต้นไป
ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ