“ประยุทธ์” ย้ำเดินตามโรดแมป เมื่อทุกอย่างลงตัว - กฎหมายพร้อม - มีความปรองดอง ก็จะเลือกตั้งปีหน้า ปัดลงพื้นที่ต่างจังหวัดเพราะหวังคะแนนนิยม แต่ต้องการไปรับทราบปัญหาเพื่อเร่งแก้ไข โวที่ผ่านมาแก้ปัญหาได้กว่า 90 เปอร์เซ็นต์
วันนี้ (15 ก.ย.) เมื่อเวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยเราได้มีโอกาสต้อนรับคณะนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น เกือบ 600 ราย ที่นำโดย นายฮิโรชิ เซโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม ของญี่ปุ่น หรือ “เมติ” (METI) ในด้านการค้า ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในคู่ค้าหลักอันดับต้นๆ ของไทยมาโดยตลอด
ในช่วงพบปะหารือกันนั้น ตนได้เน้นย้ำในเรื่องการให้ความสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางการเมือง โดยจะมุ่งบริหารประเทศตามโรดแมปที่ชัดเจนเพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ในแบบฉบับที่สอดคล้องกับบริบทของเรา ที่ไม่ขัดแย้งกับของสากลด้วย ทั้งนี้เมื่อทุกอย่างลงตัว กระบวนการด้านกฎหมายมีความพร้อม ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ มีความปรองดอง เราก็จะมี “การเลือกตั้งทั่วไป” ในปีหน้า นอกจากนี้การมียุทธศาสตร์ชาติ ระยะยาว 20 ปี ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยจะมีความต่อเนื่องและมั่นคง มีการปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้าน ย่อมแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันที่ 18 - 19 กันยายนที่จะถึงนี้ ตนและคณะรัฐมนตรี จะลงพื้นที่เพื่อพบปะพี่น้องประชาชนอีกครั้ง โดยจะเดินทางไปพบพี่น้องชาวสุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา ส่วนรัฐมนตรีต่างๆ ก็มีแผนที่จะกระจายกันลงปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐ
รัฐบาลพร้อมรับทราบปัญหา ข้อเรียกร้องจากพี่น้องประชาชนเพิ่มเติมเช่นเคย ตนจะให้มีการเปิดศูนย์รับเรื่องความเดือดร้อน ข้อเสนอแนะอะไรต่างๆ ก็ส่งให้เขา เพราะรัฐบาลนี้ เห็นว่า “ตำบล - ชุมชน -หมู่บ้าน” ประชาชนทุกหมู่เหล่านั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศ หากเราสามารถสร้างความเข้มแข็งในระดับฐานรากนี้ได้สำเร็จ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้มีรากแก้วที่มั่นคงประเทศชาติก็จะมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนด้วยถ้าประชาชนเราเข้มแข็ง ทราบว่ามีหลายโครงการ ทั้งในปัจจุบัน และในปีหน้า ตามแผนพัฒนาภาคกลาง เราบอกแล้วว่าเรามีการพัฒนาโครงการเป็นภาค 6 ภาคด้วยกัน ในการบริหารจัดการด้วยงบประมาณในแผนงานดำเนินโครงการต่าง ๆ ซึ่งตนต้องการรับทราบความคืบหน้า และลงไปแก้ปัญหาให้ โดยหยิบยกขึ้นมาสู่ “โต๊ะประชุม ครม.” เพื่อให้การสั่งการต่างๆ รวดเร็วยิ่งขึ้น อะไรทำได้ และต้องเร่งดำเนินการ ก็ให้ทำทันที
นายกฯ กล่าวด้วยว่า ดีใจที่จะได้ไปพบพี่น้องถึงถิ่นอาศัย บางท่านอาจจะต้องเดินทางมาบ้าง เพราะเราไม่มีเวลามากขนาดนั้นที่จะไปเยี่ยมในทุกพื้นที่ ก็อยากให้มาทุกภาคส่วน รัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการก็มีความกระตือรือร้นและเตรียมทำการบ้านล่วงหน้าก่อนลงพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนสูงสุด ส่วนราชการต้องไม่สร้างภาระให้กับประชาชนในการต้อนรับ หรือมีพิธีการใหญ่โต ไปเอาเรื่องว่าเราจะทำงานกันยังไง พบปะประชาชนพ่อแม่พี่น้อง คนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกกลุ่ม ต้องไม่สร้างความเข้าใจผิด ให้ใครนำไปบิดเบือนได้เช่นที่ผ่านมา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า รัฐบาล และ คสช. ต้องการลงไปรับทราบปัญหา และเร่งแก้ไข ไม่ใช่ไปสร้างคะแนนเสียงอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันในปัจจุบันตนทำอะไรที่แตกต่าง เพราะวันนี้หลายคนก็อ้างว่าไม่มี ส.ส.ไม่มีใครไปดูแล วันนี้เราก็มีศูนย์ดำรงธรรมรับข้อมูลอยู่แล้วทุกพื้นที่ระดับอำเภอ และคล้าย ๆ กับมี ส.ส. อยู่แล้ว แต่เราไปรับทุกคน ทุกพวก ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะใครก็ตามทุกกลุ่ม และก็ขึ้นมา ที่ผ่านมาหลายล้านเรื่อง ก็แก้ปัญหาได้ประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ อะไรที่ซับซ้อน อะไรที่มีปัญหาเรื่องกฎหมายก็ต้องใช้เวลาบ้าง ยังไม่ทั่วถึงทั้งหมด เพราะมีจำนวนมากมายมหาศาล ตั้งเกือบ 70 ล้านคน
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 15 สิงหาคม 2560
...
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เมื่อวันศุกร์ที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาทรงรับการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขากฎหมายจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วยเป็นที่ประจักษ์ ถึงพระปรีชาสามารถด้านกฎหมาย และพระกรณียกิจด้านกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ อาทิทรงริเริ่มโครงการช่วยเหลือ ผู้ต้อง ขังหญิงและเด็กติดผู้ต้องขังหญิงภายใต้โครงการกำลังใจ ในปี 2549 ด้วยทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ และนอกจากนั้น โครงการนี้ ภายใต้พระดำริของพระเจ้าหลานเธอฯ ก็ได้แพร่ขยายความร่วมมือไปยังพื้นที่ต่างๆ ของประเทศนะครับ อีกทั้งทรงผลักดันให้เกิดแนวทางการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำความผิดที่เป็นหญิง อันเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศฉบับใหม่นะครับ หรือที่เรียกว่าข้อกำหนดกรุงเทพ ซึ่งที่ประชุมใหญ่องค์การสหประชาชาติ ได้มีมติให้การรับรองไว้ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 จนนำไปสู่การจัดตั้งสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทยและในเวลาต่อมา เพื่อสานต่อพระกรณียกิจดังกล่าว
นอกจากนี้ ถือเป็นเกียรติภูมิของประเทศไทยอย่างมาก ที่สหประชาชาติได้ถวายรางวัลเกียรติยศสูงสุดแด่พระเจ้าหลานเธอฯ ในฐานะที่ทรงมีบทบาทสำคัญในระดับนานาชาติ ในการที่ส่ง เสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขังหญิง และผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง นับเป็นความภาคภูมิใจของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ ที่พระบรมวงศานุวงศ์ ได้ทรงมีพระเมตตาโดยทรงริเริ่ม และช่วยเหลือ ผู้ที่ด้อยโอกาสในสังคม แล้วก็เป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทย จะได้รำลึกถึงคุณูปการของพระเจ้าหลานเธอฯ อย่างมิอาจลืมเลือน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยอู่ฮั่น ก็เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่มีประวัติเก่าแก่ แล้วก็มีชื่อเสียงในลำดับต้นของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขานิติศาสตร์ ซึ่งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ด้านกฎหมายระหว่างประเทศ จนเป็นที่ยอมรับนับว่าเป็นสถาบันอุดมศึกษาของต่าง ประเทศแห่งที่ 2 ที่ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์ แด่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา หลังจากที่มหาวิทยาลัยชิคาโก-เค้นส์ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาในสาขาเดียวกันมาแล้ว ในปี 2555
ในการดังกล่าวนี้ พระเจ้าหลานเธอฯ ทรงมีพระดำรัสตอบรับ การถวายปริญญาฯ อันมีสาระสำคัญที่ผมขอเชิญมากล่าวซ้ำ สำหรับปวงชนชาวในวันนี้ ก็คือหลักนิติธรรมเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยทรงตระหนักอยู่เสมอว่าระบบยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ และทุกคนเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคนั้น มีความ สำคัญยิ่ง เพราะเป็นหลักประกันว่า เราทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาร่วมกัน ไม่ว่าจะคนผู้นั้นจะเป็นผู้ยากไร้ เด็ก เหยื่ออาชญากรรม ผู้ลี้ภัยจากสงคราม เหตุการณ์ความไม่สงบ ผู้ประสบภัยธรรมชาติ หรือกลุ่มผู้เปราะบางอื่นใดในสังคม
ซึ่งในพระดำรัสดังกล่าว ก็จะมีคำว่าความเสมอภาคที่สังคมของเรา ยังแยกความแตกต่างไม่ออก หรือ อาจยังไม่เข้าใจกับอีกคำ คือ ความเท่าเทียม หมายถึงการให้ทุกคนได้ทุกอย่างเหมือนกัน เช่น โครงการรถเมล์ฟรีและรถไฟฟรี ซึ่งไม่ว่ายาก ดี มี จน ก็ได้รับสิทธิ์นี้เท่าเทียมกัน แต่อาจจะกลับเป็นภาระด้านงบประมาณเกินไป ขัดหลักความคุ้มค่าอันเป็น1 ใน 6 ของหลักธรรมาภิบาล ดังนั้นรัฐบาลนี้ จึงเห็นว่า เราควรยึดแนวทางความเสมอภาค ซึ่งไม่ใช่ความเท่าเทียมเท่านั้น แต่หมายความว่าทุกคนจะได้รับโอกาสในการเข้าถึงเหมือนกัน แต่เราจะต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานก่อนว่าการจะทำให้เกิดความเท่าเทียมนั้นจะต้องให้มีความเสมอภาคกันก่อน จึงจะเกิดความยุติธรรมในสังคม
ทั้งนี้ คนที่มีโอกาสน้อยที่สุดควรจะได้รับการช่วยเหลือส่งเสริมมากที่สุด ส่วนคนที่ได้เปรียบอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องได้รับอะไรมาเสริม หรือหนุนเนื่องแต่ในทางกลับกัน อาจจะต้องเสียสละให้คนอื่นที่ไม่มีโอกาสอีกด้วย เช่น กรณีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนะที่รัฐได้จัดทำเวลานี้ สำหรับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ไม่ใช่การเอามาหารยาวจึงสามารถลดภาระด้านงบประมาณได้บางส่วน แล้วนำไปเพิ่มเติมในกิจกรรมอื่นๆ ได้ในอนาคต ซึ่งแนวคิดในการตั้งกองทุนชราภาพเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย
ซึ่งหากมีผู้สูงอายุ ที่มีกำลังทรัพย์ ดูแลตัวเองได้ ลูกหลานดูแลได้ สละสิทธิ์สวัสดิการในส่วนนี้ของตนเอง เพียง 10 % จากการประเมินเบื้องต้นทราบว่าจะมีเงินเข้ากองทุนชราภาพนี้ราว 4,000 ล้านบาทต่อปีรัฐบาลก็สามารถดูแลผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้ดีกว่าในปัจจุบัน เป็นต้นผมก็อยากให้ทุกคน เข้าใจหลัก การข้อนี้ และหลักคิดของรัฐบาลนี้ ในการบริหารประเทศด้วย จะได้ไม่มีใครหยิบยกเป็นประเด็นบิดเบือน ด้วยการว่ามีช่องว่างของความไม่เข้าใจจนนำไปสู่ความไม่ไว้ใจกัน
พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ การขับเคลื่อนประเทศ ให้ผ่านพ้นประเทศรายได้ปานกลาง ก็คือการสนับสนุน ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วน ได้มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ มาสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อจะยกระดับศักยภาพให้กับภาคการผลิต ทั้งภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และ ภาคบริการของประเทศ อื่นๆ ด้วยเรามักจะมองว่าการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าต้องมาจากการคิดค้น ที่มีเงินลงทุนจำนวนมาก มหาศาล เหล่านี้ จำเป็นต้องมีการผลิตของโรงงานขนาดใหญ่ แต่ที่จริงแล้วนั้น การสร้างมูลค่าให้กับสินค้าไม่จำเป็น ที่ต้องใช้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลเสมอไปเราทำแบบของเรา แบบไทยๆ ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ เช่น พี่น้องเกษตรกรก็สามารถแปรรูปผลผลิต เพิ่มเติมจากการขายผลผลิตที่เป็นผลไม้สด อาหารสด หรืออื่นๆ อาจจะใช้วิธีการตากแดด อบแห้ง หรือ ใช้เครื่องจักรในการแพ็คอาหารแบบสุญญากาศ ซึ่งก็จะช่วยถนอมอาหาร เพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ยืดอายุสินค้าเกษตร แล้วก็สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร แล้วก็ขายผ่านช่องทางออนไลน์ ส่งทางไปรษณีย์ เหล่านี้เราก็เรียกว่าเป็นการใช้นวัตกรรม ใช้ดิจิตอลมาเสริมในการสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่นเดียวกัน โดยขณะนี้ ยุค 4.0 ไม่ใช่เป็นเรื่องไกลตัว เพราะในชีวิตประจำวันนี้ เทคโนโลยีดิจิตอล และสารสนเทศมันใกล้ตัว และอยู่รอบตัวเราแล้ว เช่น วันนี้เราใช้โทรศัพท์ ใช้สมาร์ทโฟน ในมือท่านก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะนอกจากท่านสามารถสืบค้นหาองค์ความรู้ ใหม่ๆ ได้เพียงจากปลายนิ้วสัมผัสแล้ว ท่านยังสามารถเชื่อมโยง สร้างเครือข่ายสำหรับการทำงานการทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ เพียงเราทุกคนรู้จักประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ เพื่อสร้างโอกาส สร้างรายได้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของพวกเราทุกคน ผมขอชื่นชมเกษตรกรจำนวนมากที่ได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีการพัฒนาตนเอง ร่วมมือกับรัฐในโครงการต่างๆ จนเกิดผลเป็นรูปธรรม สร้างมูลค่าเพิ่มมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วจำนวนมาก ทั้งสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ทั้งการค้าขายออนไลน์ มีการสร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับการเกษตร มีการเปลี่ยนแปลงการทำงานในภาคการเกษตรให้มากยิ่งขึ้น ทำปศุสัตว์มากขึ้น แล้วก็ใช้ประโยชน์จาก Agri Map แผนที่ทางการเกษตร ที่ระบุไว้เรื่องดิน เรื่องน้ำ แล้วก็พื้นที่ๆ เหมาะสมในการปลูกพืชแต่ละชนิด แล้วก็ข้อมูลทันสมัยต่างๆ ที่เราได้แพร่ออกไปในปัจจุบันมาประกอบการทำเกษตรกรรม แล้วก็นำตัวอย่างจากบรรดา ปราชญ์ชาวบ้าน หรือ ส.ป.ก. ของกระทรวงเกษตรที่จัดตั้งขึ้นนั้นมีการแพร่กระจายกันกว้างไกลออกไป มีการพัฒนากระบวนการผลิตที่เหมาะสม ยิ่งขึ้น
ส่วนในเรื่องของการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นั้นเคยบอกไว้แล้วว่าเราประเทศไทยต้องเจริญไปด้วยกัน ในทุกภาคส่วน เจริญได้ 2 อย่าง ก็คือเจริญจากภายใน เข้มแข็งจากภายในที่เรากำลังเสริมสร้างวันนี้ แล้วเสริมด้วยจากภายนอก จากต่างประเทศด้วย อะไรด้วยมาช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนไปมาเหล่านี้ จะทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยนั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในส่วนของการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นั้นเราจำเป็นต้องทำ ควบคู่กันไปด้วย กับในส่วนเล็กๆ ที่เราทำกันอยู่ ไม่ว่าจะภายใน ระดับพื้นที่ ระดับชุมชน หรือกลุ่มต่างๆ เหล่านั้น ในภาคอุตสาหกรรม - ภาคเกษตรกรรม และภาคบริการ เราจะต้องเติบโตพร้อมๆกันไปอย่างสมดุล รัฐบาลก็ได้เห็นชอบในหลักการ ในเรื่องของมาตรในการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อจะกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจบริการ ให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยการใช้หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติทดแทนบ้าง มากยิ่งขึ้น รวมทั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในด้านต้นทุนการผลิตของประเทศ อาทิ มาตรการภาษี มีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 สำหรับกิจการที่นำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้เป็นเวลา 3 ปี ก็คาดว่ามาตรการนี้จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใช้หุ่นยนต์ ในปีแรกได้ 12,000 ล้านบาท และในระยะ 5 ปี ต่อไป จะเกิดการลงทุนในห่วงโซ่การผลิต ไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท เราจะสามารถทดแทนการนำเข้าหุ่นยนต์ได้ 30% จากเดิมที่มีการขาดทุนแต่ละปีกว่า 1.3 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐบาลมีแนวทางในการที่จะสนับสนุนผ่านกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวทางประชารัฐ และสนับสนุนงบประมาณให้กับหน่วยงานภาครัฐในการจัดซื้อจัดจ้างหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติที่ผลิตในประเทศได้อีกด้วย เราต้องคิดร่วมกันว่า ทำอย่างไรเราจะสร้างความสมดุลในการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่กับในเรื่องการจ้างแรงงานในประเทศของเรา ที่ยังมีความจำเป็นอยู่ในการประกอบอาชีพ เราจำเป็นต้องมีการพัฒนาฝีมือแรงงานของเราให้มากยิ่งขึ้น คนไทยของเราในปัจจุบันทุกคนต้องยอมรับว่า ไม่ค่อยชอบการทำงานที่ใช้แรงงานหนัก ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่เราจำเป็นต้องใช้แรงงานต่างด้าวในขณะนี้ ต้องอย่าลืมว่า เมื่อถึงเวลาที่ประเทศเขามีการพัฒนา เขาก็กลับไปทำงานที่ประเทศของเขา เราจะขาดแคลนแรงงานทันที
เพราะฉะนั้นอันนี้อยากให้ทุกคนได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นแรงงานไทยต้องพัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นหัวหน้างาน ไปสู่การทำงานที่ใช้เทคโนโลยีได้มากขึ้น ตัวเองจะได้รายได้มากขึ้น ถ้าส่วนใหญ่ไปอยู่ในภาคการท่องเที่ยว และบริการ ในอนาคตมันอาจจะมากเกินไป เกินความจำเป็นจนหางานทำได้ยาก เพราะฉะนั้นมันต้องไปทั้ง 2 ทางนั่นแหละ
ทั้งนี้ การเตรียมพร้อมของคนในประเทศนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ไม่อยากให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานเป็นกังวล แต่ควรแปลงความกังวลเหล่านั้นเป็นการปรับตัว เรียนรู้ และยกระดับตัวเอง เพิ่มทักษะในการทำงาน เช่น จากผู้ใช้แรงงานที่เป็นเพียงควบคุมการทำงานแบบง่ายๆ วันนี้ต้องพัฒนาตัวเองไปสู่การมีความรู้ เป็นผู้ควบคุมเครื่องจักรกล หุ่นยนต์ได้ ซึ่งคงต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย สำหรับค่าแรงค่าจ้างจะสูงขึ้นตามทักษะ และมาตรฐานในการทำงานที่มากขึ้นด้วย มีการใช้สติปัญญามากขึ้น ใช้เทคโนโลยี ใช้ความรู้มากขึ้น รัฐบาลเลยได้ให้ความเห็นชอบในหลักการสำหรับการจัดให้มีการฝึกอบรม และพัฒนาบุคลากรจำนวน 1,500 คน ภายใน 5 ปี ในการที่จะสร้างเครือข่ายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนความรู้ และการจัดสรรพัฒนาธุรกิจ และวิชาการหุ่นยนต์ระดับชาติ อันนี้มันเป็นสิ่งจำเป็นต้องเตรียมการเพื่ออนาคต เมื่อเราขาดแรงงานจากต่างประเทศ โดยทั้งนี้ได้ให้กระทรวงอุตสาหกรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้พิจารณาแนวทางประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ ประเทศอุตสาหกรรม หรือว่าที่มีความก้าวหน้าในการพัฒนาอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ อาทิ ญี่ปุ่น จีน เยอรมัน สหรัฐฯ เหล่านี้เป็นต้น เพื่อจะนำองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องมาประยุกต์ใช้ตามห้วงระยะเวลาที่เหมาะสม ในการที่จะปรับปรุงพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยให้เหมาะสมต่อไป นี่คือโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ก็ไปทางนู้น ของเดิมก็พัฒนาไปพร้อมๆ กันด้วย อย่ากังวลว่าจะไม่มีงานทำ ตราบใดที่ประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางทางภูมิภาคนี้ ทางด้านภูมิศาสตร์แล้ว ยังไงเราก็มีศักยภาพ ถ้าเราช่วยกันพัฒนาตนเอง สร้างงานให้มากขึ้น มันจะทำให้เครือข่าย หรือว่าห่วงโซ่ในเรื่องของการทำงาน ห่วงโซ่ในเรื่องของรายได้ ห่วงโซ่ของการผลิต การแปรรูปการตลาด มันจะกว้างขวางยิ่งขึ้น รัฐบาลกำลังทำทุกอย่าง มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่เราต้องทำให้เต็มที่
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้มีการนำยูมิ หุ่นยนต์อัจฉริยะชงกาแฟ เป็นหุ่นยนต์ต้นแบบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตในยุค 4.0 ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้เป็นอย่างดี ไม่เป็นอันตรายมีความแม่นยำ และคล่องแคล่วสูง สามารถตั้งโปรแกรมในการใช้งานได้หลากหลายลักษณะ ผมอยากเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้พาครอบครัวลูกหลาน นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ และหน่วยงานภาครัฐ นักธุรกิจเอสเอ็มอีสตาร์ทอัพ และผู้ที่สนใจเรื่องดิจิทัลมาร่วมในกิจกรรมงานนิทรรศการนานาชาติ Digital Thailand Big Bang 2017 ซึ่งจะเป็นมหกรรมการแสดงนิทรรศการนานาชาติ ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นไหมครับบ้านเมืองเราสงบก็มีการจัดงานต่างๆ มากมายในระดับภูมิภาคด้วย ระดับโลกด้วย อันนี้จะจัดระหว่างวันที่ 21-24 กันยายน 2560 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1 และ 2 ศูนย์ประชุมอิมแพคเมืองทองธานี จ.นนทบุรี ภายใต้สโลแกน "ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น" โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน อันนี้เป็นชื่อของสโลแกน ชื่อของงาน เป็นการเข้าชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายทุกรายการ ผู้สนใจสามารถจะหาข้อมูลเพิ่มเติมรายละเอียดตามช่องทางต่างๆ ที่ปรากฏบนหน้าจอ ทุกคนเกี่ยวข้องกันทั้งหมด ใครส่วนหนึ่งมีความสามารถก็ใช้ไป อันไหนที่อยากจะพัฒนาตนเองก็ไปเรียนรู้เรื่องการบังคับเครื่องมือ ใช้เครื่องมือต่างๆ เหล่านี้ มันจะเป็นการเพิ่มรายได้ของเราในอนาคต ถ้าหยุดที่เดิมมันก็เท่าเดิม มุ่งหวังแต่เพียงอย่างเดียวให้ขึ้นค่าแรงอย่างเดียว มันคงเป็นไปได้ยาก ต้องช่วยกันทั้งหมดหลายมาตรการด้วยกัน พวกเราอย่ากังวลว่าจะตกงาน เพราะเป็นการใช้เครื่องจักรหรือเครื่องจักรอัตโนมัติ หรือหุ่นยนต์จะใช้ทดแทนในอุตสาหกรรมที่มีอันตราย มีมาตรฐานสูง ต้องการความปลอดภัยสูง หรือแม้กระทั่งการใช้ในครัวเรือน ก็จะใช้ในการดูแลคนไข้ ผู้สูงอายุ สำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์สามารถจะไปซื้อหามาใช้งานได้ คนอื่นถ้ากำลังทรัพย์ไม่พอคงต้องใช้แรงงานอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ต้องพัฒนาแรงงานให้มากยิ่งขึ้น ขอเชิญชวนพี่น้องคนไทยที่ทำงานอยู่ภาคบริการ ท่องเที่ยวต่างๆ มากมาย ต้องไปเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ด้วย เผื่อวันหน้ามีปัญหาเรื่องนั้น เราจะได้มีงานทำในด้านนี้อีก
ผมอยากให้พี่น้องสื่อมวลชนทุกแขนง ได้นำบรรยากาศและจินตนาการ วิสัยทัศน์ องค์ความรู้แห่งอนาคตภายในงาน ช่วยกันเผยแพร่ไปสู่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายอย่างกว้างขวาง และทั่วถึง เพราะเป็นการจัดงานระดับชาติ เราใช้จ่ายงบประมาณไปแล้ว อยากให้คุ้มค่ามากที่สุด ไม่ใช่เพียงแต่คนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเท่านั้น ผมอยากให้คนไทยทั้ง 65 ล้านคน ได้มีโอกาสได้รับข้อมูล องค์ความรู้ต่างๆ ผ่านช่องทางสื่อมวลชน และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งดำเนินการอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ทั่วถึง หรือไม่ตื่นตาตื่นใจเท่ากับสื่อมืออาชีพ เราต้องขอร้อง ขอความร่วมมือให้ท่านช่วยเหลือในการนำเสนอด้วย เพราะเป็นกิจกรรมที่ดีๆ กิจกรรมภายในงานล้วนแล้วแต่เป็นสาธารณประโยชน์ ตอบโจทย์นโยบายประเทศไทย 4.0 และเราไม่ควรลืม 1.0 2.0 3.0 ไปด้วย ว่าจะใช้กันตรงไหนอย่างไร ไม่ใช่ทั้งหมดจะเลือกอันนี้ไปใช้อันนู้นอย่างเดียว มันเป็นไปไม่ได้
อยากจะฝากถึงบรรดาเน็ตไอดอล หรือ ยูทูบเบอร์ ที่ปกติจะมีการแชร์ประสบการณ์นำเสนอสิ่งต่างๆ สู่สายตาผู้ติดตาม follower ของท่านที่เป็นเยาวชนอยู่แล้ว ผมอยากให้ชักชวนให้นำเสนอในมุมมองที่เป็นประโยชน์กับเยาวชนเกี่ยวกับกิจกรรมในงานนี้ ก็ขอให้ใช้พรสวรรค์ ความริเริ่มของท่านมาช่วยกันสร้างสรรค์ผลงานที่จะเป็นประโยชน์แก่สังคม และประเทศชาติ เพราะท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของกลไกประชารัฐด้วย ผมก็เชื่อว่าจะเป็นการจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายๆคน ในการจะเข้าสู่วงการดิจิตัลหุ่นยนต์ เครื่องจักรอัจฉริยะของประเทศในอนาคต ผมอยากให้ทุกคนสนใจเรื่องนี้ให้มากๆ มีแนวโน้มใช้มากขึ้นในโลกอนาคต ทุกคนในประเทศไทยมีการใช้โทรศัพท์ ใช้สมาร์ทโฟนกันมากอยู่แล้ว หรืออาจจะถือว่ามากๆในอันดับแรกของอาเซียน ของโลกด้วยซ้ำไปในสัดส่วนของ 60 กว่าล้าน มูลค่าตัวเลขคร่าวๆ 50 กว่าล้าน มีใช้กันหมดแล้ว ใช้ให้เกิดประโยชน์
พี่น้องประชาชนที่รัก ในช่วงต้นอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ไทยเราก็ได้มีโอกาสต้อนรับคณะลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นเกือบ 600 ราย เป็นมิตรประเทศที่สำคัญของเรา ที่นำโดย นายฮิโรชิเกะ เซโกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ของญี่ปุ่น (เมติ) ตามที่ท่านรองรัฐมนตรีสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้เชิญไว้ในระหว่างการเดินทางไปเข้าร่วมประชุมที่ประเทศญี่ปุ่นในนามของรัฐบาลในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ความเป็นมาก็คือประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นนั้น เรามีความสัมพันธ์อันดีทางการทูตระหว่างกันมาอย่างยาวนานและแน่นแฟ้นทั้งระดับสถาบัน รัฐบาล และประชาชน มีการไปมาหาสู่กัน มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาในอดีต ซึ่งก็จะครบ 130 ปี ในวันที่ 26 กันยายน 2560 นี้
ญี่ปุ่นนั้นเป็นมิตรประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศของไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในด้านการค้าญี่ปุ่นก็ถือว่าเป็นหนึ่งในคู่ค้าหลักอันดับต้นๆของไทยมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน ในปีที่ผ่านมาประเทศไทยนำเข้าสินค้าจากญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ 15.8 ของการนำเข้าทั้งหมด และเป็นประเทศที่ไทยส่งออกสินค้าเป็นอันดับ 3 รองจากสหรัฐอเมริกา และจีน คิดเป็นประมาณร้อยละ 9.5 ของการส่งออกทั้งหมด ในช่วงที่ทั้งสองประเทศอยู่ระหว่างการฟื้นตัวนั้น มูลค่าการค้าระหว่างกันก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นมาตามลำดับ เมื่อเทียบในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนแล้ว ไทยเรายังเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของญี่ปุ่นด้วย
สำหรับในเรื่องการลงทุนนั้น ประเทศญี่ปุ่นมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยบริษัทญี่ปุ่นมีการลงทุนถึง 1 ใน 5 ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอุตสาหกรรมการผลิตรวมถึงการลงทุนใน SMEs และธุรกิจท้องถิ่นของญี่ปุ่นที่เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานลงทุนต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ บวก 1 ของรัฐบาลด้วย
ในช่วงพบปะหารือกันนั้น คณะนักลงทุนญี่ปุ่นก็ได้แสดงความสนใจในนโยบายส่งเสริมการลงทุนของรัฐบาล และต้องการจะศึกษาลู่ทางแนวทางในการลงทุน รวมถึงการขยายการลงทุนเพื่อต่อยอด และการพัฒนา 10 กลุ่ม อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยที่กำหนดไว้มากขึ้น ผมก็ได้เล่าให้นักลงทุนญี่ปุ่นฟังถึงทิศทางของเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของรัฐบาลไทย ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในการดำเนินการธุรกิจของนักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย โดยผมได้เน้นย้ำความพยายามของรัฐบาลไทยในการจะปรับปรุงในเรื่องของการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เช่น การตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อให้การทำธุรกรรมในการประกอบธุรกิจ การขอ หรือออกใบอนุญาตต่างๆนั้นสามารถดำเนินการได้ที่เดียวได้โดยไม่ต้องวิ่งเอกสารไป 6-7 กระทรวงเหมือนเดิม หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา เป็นอุปสรรคที่สำคัญในกระบวนการเริ่มต้นของการลงทุน
นอกจากนี้ ผมได้อธิบายนโยบายของรัฐบาลนี้ในการที่จะส่งเสริมการลงทุน และทิศทางในการส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมในอนาคต โดยเฉพาะเรื่องของการจัดตั้งระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก อีอีซี ซึ่งก็เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศตามกลไกประชารัฐ ที่เราต้องการพัฒนาให้อีอีซีนั้น เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษที่ดีที่สุด และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เพื่อจะยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของภูมิภาค และของโลก เพื่อจะเชื่อมโยงยุทธศาสตร์วันเบลต์ วันโรด (ONE BELT ONE ROAD) ของจีน ทั้งในมิติการคมนาคมขนส่งและเชื่อมโยงเทคโนโลยีในการพัฒนาอีอีซี ให้มีความพร้อมในทุกๆด้านอีกครั้ง และต่อยอดยุคโชติช่วงชัชวาลย์ในอดีตให้มีความสมบูรณ์แบบ ในอดีตคือยุคสมัยที่เราทำอีสเทิร์นซีบอร์ดจนประสบความสำเร็จมาแล้วให้มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
โดยให้ประเทศไทยเป็นที่หมายในการลงทุนขนาดใหญ่ และมีการเชื่อมโยงธุรกิจและภาคการผลิตในทุกระดับ ทั้งนี้ อีอีซีจะมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งที่เพียบพร้อม ทั้งทางบก ทางราง ทางทะเล และทางอากาศ อาทิ ท่าเรือพาณิชย์แหลมฉบัง ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด สนามบินอู่ตะเภา รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง เหล่านี้เป็นต้น
สำหรับการยกระดับด้านการบริหารจัดการ และการให้บริการภาครัฐ นับว่ามีความสำคัญอย่างมาก เราจะทำอะไรใหม่ๆก็ตาม มันต้องปรับปรุงทั้งหมด รัฐบาลนี้ก็ได้ผลักดันให้มี พ.ร.บ.อีอีซี อันเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนอีอีซี ก็สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาล ในการสนับสนุนการลงทุนในโครงการนี้ เพื่อจะให้เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในระยะยาวอีกด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลและนโยบายภาครัฐที่ชัดเจนเหล่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ของคณะลงทุนของประเทศญี่ปุ่นในอนาคตด้วย
เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนให้ได้ เพราะการลงทุนขนาดใหญ่นั้นมีความเสี่ยง การที่เขามาลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลก็เพื่อต้องการฐานการผลิตที่มั่นคง ดังนั้นความไว้เนื้อเชื่อใจกันจึงสำคัญ วันนี้รัฐบาลนี้ก็ทำให้เขาเห็นและทำให้เขาเกิดความมั่นใจให้มากขึ้น
นอกจากนั้น ผมได้เน้นย้ำในเรื่องการให้ความสำคัญต่อการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะทางด้านการเมือง โดยจะมุ่งบริหารประเทศตามโรดแมปที่ชัดเจน เพื่อเดินหน้าประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ในแบบฉบับที่สอดคล้องกับบริบทของเรา ซึ่งไม่ขัดแย้งกับของสากลด้วย เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว กระบวนการด้านกฎหมายมีความพร้อม ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ มีความปรองดอง เราก็จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า
นอกจากนี้ การมียุทธศาสตร์ชาติ ระยะยาว 20 ปี ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่สะท้อนว่า การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยจะมีความต่อเนื่องและมั่นคง มีการปฏิรูปประเทศในทุก ๆ ด้าน ย่อมแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในอนาคต
นอกจากนั้น นโยบายที่มุ่งผลักดันประเทศไทยเข้าสู่โมเดลประเทศไทย 4.0 หรือ การขับเคลื่อนประเทศด้วยนวัตกรรม ที่ให้ความสำคัญกับการผลิต ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีขั้นสูง เราก็ได้เตรียมการในด้านต่าง ๆ ทั้งเรื่องบุคลากร นโยบายสนับสนุนนวัตกรรมและการปรับกฎระเบียบ ให้เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งภาครัฐและเอกชนของญี่ปุ่น จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การถ่ายทอด การสร้างบุคลากรเทคนิคขั้นสูง เพื่อเข้าสู่ยุค 4.0 และสามารถใช้ไทยเป็นฐาน ในการพัฒนาบุคลากร ในภูมิภาคร่วมกันในการดำเนินการเหล่านั้น ผ่านความร่วมมือ การแลกเปลี่ยนความรู้ และบุคลากร ระหว่างกัน ในอนาคตต่อไปด้วย
คณะนักลงทุนญี่ปุ่น ได้ให้ความสนใจดูงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีการประชุมร่วม มีการจับคู่สนทนา เจรจาเจรจาธุรกิจร่วมกันจำนวนมาก และได้ไปเยี่ยมชมพื้นที่อีอีซี ให้ความสนใจ ผมได้รับรายงานว่าจากการลงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมเหมราช และอื่น ๆ ด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและสังคม ที่เป็นหัวหน้าคณะของญี่ปุ่นนั้น มีความพอใจที่ประเทศไทยเห็นความสำคัญในการทำงานร่วมกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นมิตรอันดีของเรา ของเขาด้วย ภายใต้กรอบการพัฒนาประเทศไทย 4.0 รับทราบเจตนารมณ์อันมุ่งมั่น มีความเข้าใจต่อนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทย และยืนยันว่าบริษัทญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในไทยอยู่แล้ว จะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ต้องขอบคุณในช่วงที่ผ่านมา น้ำท่วมในพื้นที่อุตสาหกรรมหลายแห่ง ซึ่งก็ไม่ได้ย้ายฐานการผลิตออกไปเลย ก็มีแต่ปรับปรุง พัฒนาต่อ ก็แสดงว่าเขารักประเทศไทย มีความคุ้นเคย มีความพอใจในการอยู่ประเทศไทย เราก็ต้องช่วยกันดูแลเขาด้วย เช่นเดียวกัน ต้องดูแลทุกประเทศที่มาลงทุนในประเทศไทย เราคาดว่าจะมีนักลงทุนญี่ปุ่นรายใหม่ มีความเชื่อมั่น ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย
นอกจากนั้นแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ได้มีโอกาสหารือกันในเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินสะอาด ที่มีการทดสอบแล้ว และที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบันว่ามีประสิทธิภาพสูง ราคาถูก มีความปลอดภัยต่อชุมชนอย่างไร ซึ่งเราก็ต้องศึกษา พิจารณากันต่อไป โดยญี่ปุ่นพร้อมให้ความร่วมมือในการแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวกับไทย อีกทั้งก็ยังมีความร่วมมือในสาขายานยนต์สมัยใหม่ที่ญี่ปุ่นยินดีร่วมมือกับไทย ในการยกระดับให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาคต่อไปด้วย
วันนี้เขาคิดไปถึงระยะต่อไป หลังจากรถไฟฟ้า เขาคิดต่อแล้วว่าจะพัฒนาไปสู่พลังงานไฮโดรเจนได้อย่างไร ผมคุยกับท่านรัฐมนตรีญี่ปุ่นมา
ในส่วนทางด้านการแพทย์นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น ก็ได้นำคณะธุรกิจและภาครัฐ และสาขาการแพทย์ ได้มีการพบปะกับภาครัฐ ภาคเอกชนของไทย เพื่อจะนำเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูงมาแนะนำ จะทำให้ไทยและญี่ปุ่นได้มีความร่วมมือทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือทางการแพทย์อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นในอนาคต เทคโนโลยีด้วยนะครับ
ทั้งนี้ การมาเยือนไทยของคณะนักลงทุนญี่ปุ่นในครั้งนี้ นับเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เราได้เห็น มีการลงนาม MOU และ MOI จำนวน 7 ฉบับ ระหว่างนักธุรกิจญี่ปุ่นกับนักธุรกิจไทย นับเป็นอีกก้าวหนึ่งในการจะไปสู่ความสำเร็จของการส่งเสริมการค้า การลงทุน และตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นเหนือกาลเวลาของทั้งสองประเทศด้วย ทั้งนี้ เรายังคงให้ความสำคัญกับทุกวงการของมิตรประเทศอื่นๆ ของเราอีกด้วย ในสิ่งที่เรามีศักยภาพทั้งหมด และตรงความต้องการของซึ่งกันและกันอีกด้วย
พี่น้องประชาชนครับ ต้นสัปดาห์หน้า วันที่ 18-19 กันยายนนี้ ผมและคณะรัฐมนตรีก็จะได้ลงพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะไปพบปะพี่น้องประชาชน โดยครั้งนี้จะเดินทางไปพบพี่น้องชาวสุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา ส่วนรัฐมนตรีต่างๆ ก็มีแผนที่จะกระจายกันลงปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติภารกิจ เพื่อจะติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐอีกด้วย เพราะว่าสั่งไปแล้ว ออกนโยบายไปแล้ว ขับเคลื่อนไปแล้ว ก็ต้องไปตามประเมินผล นี่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลทุกรัฐบาลกำกับดูแล เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ทั้งนี้ รัฐบาลก็พร้อมจะรับทราบปัญหา ข้อเรียกร้องต่างๆ จากพี่น้องประชาชนเพิ่มเติม
รัฐบาลนี้ก็เห็นว่าตำบล ชุมชน หมู่บ้าน ประชาชนทุกหมู่เหล่า เป็นจุดยุทธศาสตร์ของการพัฒนาประเทศ หากเราสามารถสร้างความเข้มแข็งในระดับฐานรากได้สำเร็จ เหมือนกับเราปลูกต้นไม้ มีรากแก้วที่มั่นคง ประเทศชาติก็เช่นกัน ก็จะมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนด้วย ถ้าประชาชนเราเข้มแข็ง
ก็ทราบว่ามีหลายโครงการ ทั้งในปัจจุบัน และปีหน้า ตามแผนพัฒนาภาคกลาง เราบอกแล้วว่าเราจะมีการพัฒนาเป็นภาค 6 ภาคด้วยกัน ในการบริหารจัดการเรื่องงบประมาณ เรื่องแผนงานโครงการต่างๆ ผมก็ต้องการจะรับทราบความคืบหน้า และลงไปรับทราบปัญหา แก้ปัญหาให้ จะมีการหยิบยกขึ้นมาสู่โต๊ะประชุม ครม. เพื่อให้มีการสั่งการต่างๆ แก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อะไรที่ทำได้ และต้องเร่งดำเนินการ ก็ต้องทำทันที ทั้งการเพิ่มศักยภาพทางการเกษตร เกษตรแปลงใหญ่ เกษตรปลอดภัย การยกระดับภาคอุตสาหกรรม การค้า และการลงทุน รวมทั้งการค้าชายแดน การพัฒนาโครงการพิเศษขนาดใหญ่ อาทิ โครงการเมืองสมุนไพร การบริหารจัดการน้ำ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เชิงธรรมชาติ เชิงประวัติศาสตร์ และที่สำคัญก็คือการพัฒนาสังคม จะต้องมีการยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ผมก็ดีใจนะครับที่จะได้ไปพบพี่น้องถึงที่อยู่อาศัยของท่าน บางท่านก็อาจจะต้องเดินทางมาบ้าง เพราะเราไม่มีเวลามากขนาดนั้นที่จะไปทุกพื้นที่ ก็อยากให้มาทุกภาคส่วนนะครับ
รัฐมนตรีเอง หัวหน้าส่วนราชการเอง ก็มีความกระตือรือร้น เตรียมทำการบ้านล่วงหน้าก่อนลงพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนอย่างสูงสุด หน่วยราชการที่ไป ผมก็ขอย้ำต้องไม่สร้างภาระให้กับประชาชนในการต้อนรับ ผมไม่ต้องการพิธีการที่ใหญ่โต พิธีกรรมอะไรพวกนี้ ไม่ต้องมีหรอกนะ ไปเอาเรื่องที่ว่าจะทำงานกันยังไง พบปะประชาชน พ่อแม่พี่น้อง คนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกกลุ่ม เราจะต้องไม่ไปสร้างความเข้าใจผิดให้ใครฉวยโอกาสนำไปบิดเบือนได้เช่นที่ผ่านมา
รัฐบาล และ คสช. ต้องการไปรับทราบปัญหา เร่งแก้ไข ไม่ใช่ไปสร้างคะแนนเสียง ไปสร้างความนิยมอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กันในปัจจุบัน ผมทำอะไรที่มันแตกต่างนะ แตกต่างก็เพราะว่าหลายคนก็อ้างว่าไม่มี ส.ส. ไม่มีใครไปดูแล วันนี้เราก็มีศูนย์ดำรงธรรมรับข้อมูลอยู่แล้วทุกพื้นที่ ที่ว่าการอำเภอ มันก็คล้ายๆ กับมี ส.ส.อยู่แล้ว แต่เราไปรับทุกคน ทุกพวก ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะใครก็ตาม ทุกกลุ่ม และที่ผ่านมาหลายล้านเรื่องแล้ว เราก็แก้ปัญหาได้ประมาณสัก 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ อะไรที่มันซับซ้อน อะไรที่มันมีปัญหาเรื่องกฎหมาย ก็ต้องใช้เวลาหน่อย มันยังไม่ทั่วถึงทั้งหมดหรอกครับ ปัญหาทั้งหมดมันมากมายมหาศาล เพราะเรามีคนตั้งเกือบ 70 ล้านคน รายได้น้อยก็ 14 ล้านกว่า ต่ำกว่า 30,000 ก็ 4 ล้านกว่า เป็นเกษตรกรเสียส่วนใหญ่ นี่ผมก็จะนำผลการลงพื้นที่มากล่าวในรายการครั้งหน้านะครับ
สุดท้ายนี้ ผมก็อ่านหนังสือเยอะเหมือนกันนะครับ ทั้งหนังสือราชการ หนังสือนอก หนังสือทั่วไป ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาผมก็ได้ให้ข้อมูล มีหนังสือ 1 เล่ม ไม่ได้แจกนะครับ ให้เฉพาะสรุปไปข้างหน้า 10 กว่าข้อ หลักการของเขาที่ผมให้เขาย่อมา ที่มีชื่อว่า The Speech of Trust ให้ ครม.ไปอ่านหลักการไปก่อนแล้วไปหาหนังสืออ่าน เพราะว่ามันเล่มใหญ่ แล้วก็จะต้องพิจารณาตนเองว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์เช่นกันหากพี่น้องประชาชนได้รับทราบรับฟังด้วย
กล่าวโดยสรุปได้ว่า สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญ ขาดหายไปไม่ได้ ถ้าขาดหายไปเราก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะทำงาน หรือการดำรงชีวิตอะไรก็ตาม แต่ถ้าหากเราสามารถช่วยกันสร้างขึ้นมาได้ ทั้งตนเอง ทั้งชุมชน ครอบครัว เพื่อนฝูง ยิ่งมากขึ้นก็จะยิ่งประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ สิ่งนั้นก็คือ ความไว้วางใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราบังคับไม่ได้ แต่เราต้องแลกมันด้วยใจ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ต้องพิสูจน์ตนเอง ผมก็หวังว่าความจริงใจของผมที่มีต่อพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ จะสามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับทุกคนได้ จะนำไปสู่ความเข้าใจและความร่วมมือกันในการช่วยกันนำพาประเทศก้าวข้ามอุปสรรคต่างๆ และจะเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน
ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ