อดีตสภาปฏิรูปแห่งชาติ ชี้มติมหาเถรสมาคม ให้วัดดาวดึงษ์ฯ นำร่องทำบัญชีรับ-จ่าย ตามสำนักพุทธฯ ส่อเลิกมติเดิมให้วัดไม่ต้องแสดงบัญชี 2 ปีก่อนหรือไม่ แฉ 30,000 วัดไม่ส่งรายงานให้ พศ.ตามอ้าง ชี้ไร้ประโยชน์หากไม่ยอมเปิดเผยรายรับ รายจ่ายต่อสาธารณชน
วันนี้ (11 ต.ค.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวถึงกรณีมหาเถรสมาคม (มส.) มีมติใหม่ในปี 2560 ให้วัดดาวดึงษาราม นำร่องในการจัดทำบัญชีรับ-จ่าย ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เสนอว่า มติใหม่ของ มส.ที่ออกในปี 2560 โดยให้วัดดาวดึงษารามนำร่องทำบัญชีรับ-จ่ายของวัดก่อนและในปี2561 จึงให้ทุกวัดทั่วประเทศต้องจัดทำบัญชีรับ-จ่ายตามแบบใหม่เพื่อรายงานต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ทราบ ดูแล้วเหมือนจะดี เพราะการออกมตินี้มาแล้วจะมีผลให้มติเดิมของ มส.ที่ออกในปี 2558 เกี่ยวกับสั่งให้ทุกวัดทั่วประเทศต้องจัดทำบัญชีรับ-จ่ายของวัดแล้วส่งรายงานบัญชีดังกล่าวในช่วงปี 58-59 ให้สำนักงาน พศ.ทราบ ซึ่งได้เคยมีการแถลงว่ามีวัดต่างๆ ส่งรายงานบัญชีรับ-จ่ายมาให้สำนักงาน พศ.ทราบแล้วราว 90% คือ 30,000 กว่าวัด แต่พอตนไปตรวจสอบข้อทราบข้อมูลที่สำนักงาน พศ. ก็ทราบว่าไม่มีการส่งรายงานบัญชีรับ-จ่ายมาให้จริง มีแต่การแจ้งยอดการทำบัญชีของวัดซึ่งตรวจสอบไม่ได้ เมื่อมีมติ มส.ปี 60 ออกมาใหม่นี้จะเท่ากับว่าเป็นการยกเลิกมติเก่าในปี 58 ใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าวัดต่างๆ ไม่ต้องแสดงบัญชีรับ-จ่ายในช่วง 2 ปี หากเปรียบกับทางโลกก็เหมือนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกมติ ครม.ใหม่โดยละเลยมติเดิมเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงการจีดทำบัญชีรับ-จ่าย ตามที่กล่าวอ้างว่าทำไปแล้ว 3 หมื่นวัด
“แต่สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งสำคัญกว่ารูปแบบการจัดทำบัญชีรับ-จ่ายของวัด คือ การที่ มส.ยังไม่ยอมมีมติออกมาเพื่อให้ทุกวัด เมื่อจัดทำบัญชีรับ-จ่ายแล้วจะต้องเปิดเผยข้อมูลรายรับ รายจ่ายต่อสาธารณชน โดยเฉพาะต้องเปิดเผยต่อชุมชนใกล้วัดเพื่อให้สามารถตรวจสอบ เพื่อเป็นการสร้างความศรัทธาต่อพุทธศาสนิกชน หากวัดมีรายได้ไม่พอก็จะได้ช่วยกันทำบุญให้มากขึ้น โดยชุมชนจะได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ดูแลและจัดการทรัพย์สินของวัดให้เป็นประโยชน์ต่อกิจการพระพุทธศาสนายิ่งๆ ขึ้นไป ให้ถูกต้องโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล เมื่อมติ มส.ปี 60 ยังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลนี้ต่อสังคมก็ถือว่าไม่มีประโยชน์อะไรเท่าใดนัก” นายไพบูลย์กล่าว