เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้สำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีจำนำข้าวคงต้อง “กบดาน” เงียบอย่างน้อยก็ไปจนถึงวันที่ 27 กันยายน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาใหม่ เพื่อรอดูว่าผลจะออกมาอย่างไร จะถูกจำคุกหรือไม่
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในวันนั้นผลออกมาเป็นบวก และทางฝ่ายโจทก์ คือ อัยการจะไม่อุทธรณ์ เธอก็ยังไม่อาจลงสู่สนามการเมือง หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาที่เหลือหลังจากที่ถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ลงมติตัดสิทธิทางการเมืองเธอ 5 ปี ซึ่งก็เพิ่งผ่านมาไม่กี่เดือน
ตามโรดแมปของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ไฟเขียวให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในปลายปีหน้า หรืออย่างช้าไม่เกินต้นปี 2562 เมื่อนับดูตามจำนวนปีแล้วก็ยังไม่ทันอยู่ดี ดังนั้น หากพิจารณาแบบพื้นๆ และด้วยลักษณะบุคลิกของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังมั่นใจว่าเธอไม่ใช่นักต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยอะไรสักอย่าง เธอไม่ใช่ “อองซานซูจีเมืองไทย” อย่างที่มีความพยายามจากบรรดาลิ่วล้อของครอบครัว ที่ยกยอปอปั้นเพื่อหวังผลให้ตัวเองได้ประโยชน์จากการเอาใจ “นาย” เพราะตามแบ็กกราวนด์ไม่เคยมีประวัติด้านนี้ หรือระหว่างที่เป็นนักการเมืองจำเป็น ก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นว่ามีหลักการอะไรที่โดดเด่น ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มองแบบนั้น
ดังนั้น การ “หนี” หรือ “หนีไปก่อน” น่าจะเป็นการดีที่สุดสำหรับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างน้อยก็ไม่เป็นความเสี่ยงสำหรับตัวเอง ส่วนจะมีผลกระทบกับคนที่อยู่ข้างหลังที่ถูกดำเนินคดี เช่น บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวกจะมีความยากง่ายสำหรับการยื่นขอประกันตัวต่อศาลหรือไม่ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง
ในทางการเมือง แม้ว่าการหลบหนีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติของเขา ที่รวมไปถึง “พี่ใหญ่” อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะโดนโจมตีมากแค่ไหน เนื่องจากสังคมส่วนมากเชื่อว่า นี่คือ การ “หรี่ตา” หรืออาจถึงขั้น “พาหนี” กันเลยทีเดียว แต่ก็ช่างเถอะ อีกสักพักเสียงด่าเสียงวิจารณ์ก็จะค่อยๆ ลดลงไปแล้ว เพราะมีเรื่องใหม่หมุนเวียนเข้ามา
แต่สิ่งที่ต้องจับตากันต่อในช่วงนับจากนี้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทย และสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคคนใหม่ ที่ล่าสุดมีแนวโน้มว่า สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากมีผลต่อการประสานงานกับฝ่ายอำนาจของ คสช.ได้ดีกว่า
ขณะเดียวกัน ในทางการเมืองที่เป็นความจริงปฏิเสธไม่ได้ ก็คือ สำหรับพรรคเพื่อไทย และครอบครัวของทักษิณ ชินวัตร ยังมีแฟนคลับที่เหนียวแน่น แบบที่ไม่สนใจว่าคนในครอบครัวจะโกง จะถูกดำเนินคดีทุจริตมากมายแค่ไหน หรือตลอดช่วงชีวิตในเส้นทางการเมืองที่มักจะถูกดำเนินคดีประเภทนี้มาตลอด ทั้งซุกหุ้น ยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ ผลประโยชน์ทับซ้อน ใช้ตำแหน่งหน้าที่มิชอบ เป็นต้น แต่ก็ไม่เคยสะเทือน จะสังเกตได้ว่าเมื่อมีการเลือกตั้งคราวใด พรรคของพวกเขาก็ชนะเลือกตั้งทุกครั้ง มีคนในครอบครัวชินวัตร และ “หุ่นเชิด” รายอื่นๆ มาเป็นนายกรัฐมนตรีหลายคน และที่ผ่านมา แม้แต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังยอมรับในเรื่องนี้
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความนิยมทางการเมืองแบบนี้ ก็ยังเชื่อว่าหลังการเลือกตั้งตามโรดแมป พรรคเพื่อไทยก็น่าจะยังชนะเลือกตั้งเหมือนเดิมอีก เพียงแต่ว่าด้วยกลไกตามรัฐธรรมนูญใหม่ อาจจะไม่ใช่ชนะแบบถล่มทลาย แต่ถึงอย่างไรในเมื่อชนะการเลือกตั้ง มันก็ย่อมมีความชอบธรรมในการเสนอชื่อนายกฯ คนใหม่ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากเสียงสนับสนุนอาจจะไม่พอ
และด้วยบทเฉพาะกาลก็เปิดทางให้มีการเสนอชื่อ “นายกฯ คนนอก” เข้ามาได้ ซึ่งด้วยองค์ประกอบที่จัดวางเอาไว้ล่วงหน้าทุกอย่างมันจึงลงล็อกพอดี และไม่ต้องเดาว่านายกฯ คนนอกดังกล่าวคือใคร เพราะรับรองว่าทุกคนคงจะเดาออกไม่ยาก
เมื่อพิจารณาจากรูปการณ์และแนวโน้มในวันหน้า มันก็พอมองเห็นแล้วว่าการหลบหนีไปของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันส่งผลบวกกับทุกฝ่ายอย่างไร ทั้งกับตัว ยิ่งลักษณ์ และฝ่ายอำนาจ ทั้งในวันนี้และวันหน้า โดยเริ่มมองเห็นการ “ประนีประนอม” หรือจะเรียกอีกอย่างว่า “เกี้ยเซี้ย” ก็ได้ เพราะถึงตอนนั้นแล้วมัน “วิน-วิน” กันทั้งสองฝ่าย อย่างน้อยก็ในช่วง 5 ปี ตามบทเฉพาะกาล และในช่วงที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกตัดสิทธิ ทางการเมือง 5 ปี!