“ประยุทธ์” เผยเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คนไทยมีรายได้ต่อหัว 4.5 แสน/ปี ศก. ขยายตัว 5% ขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ต่ำกว่าอันดับ 10 ของโลก ภายในปี 2579 ลั่นเร่งนำสายไฟลงใต้ดิน อีก 2 เดือนเห็นการเปลี่ยนแปลง
วันนี้ (18 ส.ค.) เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า การพัฒนาไปสู่มหานครไร้สาย โดยนำสายไฟฟ้า สายสื่อสารลงใต้ดิน นำร่องโครงการถนนพหลโยธิน จากแยกลาดพร้าว ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใช้เวลาดำเนินการ ช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายนนี้ ซึ่งต้องบูรณาการทำงานกันหลายหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาระบบโทรคมนาคมในประเทศ ซึ่งในอนาคตสายสื่อสารจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้เกิดปัญหาการพาดสายสื่อสารที่รกรุงรัง อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ จัดระเบียบยาก บางทีวางพาดกับสะพานลอย ทางข้ามอะไรต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับพี่น้องประชาชนได้ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ตลอดจนบดบังทัศนียภาพ ความงดงาม เสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
นายกฯ กล่าวอีกว่า อยากให้พี่น้องประชาชนเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลง ในอีก 2 เดือน แล้วจะเห็นว่า สิ่งนี้เราควรที่จะดำเนินการมานานแล้ว สำหรับเสาไฟฟ้าที่รื้อถอนแล้ว ประมาณ 800 เสา กฟน. ก็จะได้มอบให้ กทม. เพื่อนำไปใช้ในโครงการปลูกป่าในใจคนตามศาสตร์พระราชา ในการช่วยฟื้นฟูและป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลกรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน ตามแผนงาน เป็นระยะทาง 4.7 กิโลเมตร ต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า พี่น้องประชาชนที่รัก เป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่สำคัญ คือ คนไทยมีรายได้ต่อหัว เฉลี่ย 450,000 บาทต่อคนต่อปี เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ย 5% ต่อปี โดยมีอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ต่ำกว่าอันดับ 10 ของโลก ภายในปี 2579 และเราต้องเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศ ให้ได้ร้อยละ 40 ซึ่งเป็นหนี่งในตัวชี้วัดของการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลปัจจุบันนี้ ได้แก้ปัญหาเดิมๆ ของพี่น้องประชาชน และของประเทศ รวมทั้งวางรากฐานการพัฒนาไว้ ในหลายเรื่อง โดยยึดหลักศาสตร์พระราชา ที่ว่า การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชน ในการประกอบอาชีพ และตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่น เป็นพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งพาตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้า ระดับที่สูงขึ้นต่อไป ได้แน่นอน แต่ทุกคนก็ต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย
นายกฯ กล่าวอีกว่า อย่างที่กล่าวไว้แล้วทั้งหมด ความมีเหตุมีผล ความพอประมาณ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี ภายใต้หลักการเศรษฐกิจความรู้กับหลักคุณธรรม ดังนั้น ผมจึงให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องแรกๆ จนตัวชี้วัด ในภาพรวมของประเทศดีขึ้น ตามลำดับ เมื่อเทียบกันระหว่างปี 2557 กับไตรมาสแรกของปี 2560 นี้ เช่น ผลผลิตภาคเกษตรที่ติดลบ 5.3% กลับมาเป็นบวก 20.1%, การลงทุนที่ติดลบ 2.2% กลับมาเป็นบวก 1.7% และการส่งออกที่ย่ำแย่ แทบไม่เติบโต กลับฟื้นตัวเป็นบวกที่ 2.7% ทำให้โดยรวมแล้วจีดีพี ของประเทศในไตรมาส 1 ของปีนี้ เป็นบวก 3.3% ซึ่งทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะชี้แจงรายละเอียดต่อไป
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นภาพรวมของทั้งประเทศเท่านั้น เรายังต้องประคับประคองสถานการณ์ไว้ให้ได้ก่อน แล้ววันนี้ถึงเวลาที่ผมและคณะรัฐมนตรีจะลงพื้นที่เพื่อเอกซเรย์ปัญหาของพี่น้องประชาชนที่ย่อมแตกต่างกันออกไปตามภาค ตามจังหวัด ตามแต่ละท้องถิ่น จะได้สร้างความเชื่อมโยงให้ได้ ลดความเหลื่อมล้ำ เพราะเมื่อโครงสร้างหลักของบ้าน ของประเทศ มีความมั่นคงดีแล้ว ส่วนประกอบที่เหลือ ทั้งขื่อ คาน ผนังบ้าน ก็จะยึดเข้าด้วยกันได้อย่างแข็งแรงตามไปด้วย เช่นเดียวกับประชาธิปไตยของเรา ก็ต้องสร้างโครงสร้างให้เข้มแข็ง แข็งแรง ใส่ปูนใส่อะไรเข้าไป แล้วเราจะเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืน
โดยกิจกรรมหลัก 3 ประการ สำหรับการจัดประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ได้แก่
1. การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อรับทราบปัญหาใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่ และติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาเดิมตามมาตรการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
2. การพบปะพี่น้องประชาชน ในลักษณะเวทีสาธารณะ เพื่อสร้างการรับรู้ยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจในภูมิภาค จะได้เข้าใจตรงกัน เห็นทิศทาง มองอนาคตร่วมกัน ทำให้เกิดความร่วมมือ อันจะนำมาสู่การพัฒนาชีวิตที่ยั่งยืนให้ได้ในอนาคต
3. การประชุมคณะรัฐมนตรี ที่จะนำประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ได้จากการลงพื้นที่และเวทีสาธารณะดังกล่าว มาหารือกันในที่ประชุม เพื่อจะอนุมัติ สั่งการ ในเรื่องแผนงานโครงการและงบประมาณ จะได้มีความรวดเร็วในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ไม่ใช่การมองปัญหาจากกรุงเทพฯ แต่เพียงอย่างเดียว วันนี้ผมก็รับฟังจากทุกที่อยู่แล้ว แต่ลงไปให้เห็นด้วยตาอีก จะได้สังเกตให้ดีขึ้น พบปะกับประชาชน พูดคุยกับบรรดาพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ที่เราทำมาแล้ว 3 ปี ท่านจะได้รับทราบด้วย และมีแผนงานอีก 2 ปี 60 - 62 ที่เราจะเร่งเติมลงไปให้อีก เพราะว่าโครงสร้างแรกก็ได้ทำไปบ้างแล้วใน 3 ปีแรก อีก 2 ปีนี่ก็จะใช้งบประมาณที่เราจัดทำมาแล้ว ทำให้มันต่อเนื่องเชื่อมโยง ลดความเหลื่อมล้ำทางกายภาพให้ได้ แล้วก็ทำยังไงจะมีรายได้สูงขึ้น ก็ต้องไปดูคนที่ยังไม่ได้เข้าในระบบ เพราะเรามีคนจนจำนวนมาก ผมคิดว่ามากกว่า 14.9 ล้านคน ตัวเลขที่ทำมานะครับ มากกว่านั้น เพราะเป็นเพียงคนมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท ผมคิดว่าอยู่ไม่ได้หรอกครับ 1 แสนบาท ยังไงก็ต้อง 3 แสนขึ้นมั้ง ผมคิดอย่างนั้นนะครับ แต่จะทำยังไง มันก็ต้องมาเข้าในระบบ ในโครงการ แต่ถ้ายังไม่เข้าจะทำยังไง รัฐบาลก็ต้องไปหาวิธีการ แต่ข้อสำคัญประชาชนต้องยอมรับหลักการด้วย ไม่งั้นมันไปไม่ได้ รัฐบาลคิด รัฐบาลทำโครงการ แต่ประชาชนไม่เห็นด้วยมันก็ไปไม่ได้ทั้งหมด มันก็เกิดอะไรขึ้นมาใหม่ไม่ได้ การสร้างงาน สร้างอาชีพ มันก็เกิดขึ้นไม่ได้นะครับ ก็ขอร้องก็แล้วกัน พยายามเข้าใจกันหน่อย
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 18 สิงหาคม 2560
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน สัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำวีดิทัศน์ชุดสืบสาน รักษา ต่อยอดสร้างสุขปวงประชา ขึ้นเพื่อรวบรวมแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ในการถวายพระเกียรติและเผยแพร่สร้างความเข้าใจในแนวพระราชดำริ ให้น้อมนำสู่การปฏิบัติ อีกทั้งเพื่อให้รัฐบาลและทุกภาคส่วนได้นำไปใช้ประโยชน์ในการสานต่อและต่อยอดพระราชปณิธานของทั้งสองพระองค์อีกด้วย วีดิทัศน์ชุดดังกล่าวมี 4 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 น้ำคือชีวิตแผ่นดิน ตอนที่ 2 พิทักษ์ป่า พัฒนาสินสายน้ำ ตอนที่ 3 พืชพรรณ ปลูกชีวิตมั่นคง และตอนที่ 4 เศรษฐกิจพอเพียงนำทางชีวิต ซึ่งผมได้เปิดให้คณะรัฐมนตรีได้รับชมเพื่อรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมแล้ว และมอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์นำไปเผยแพร่และส่งต่อไปยังสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ แล้ว พี่น้องประชาชนสามารถติดตามรับชม และร่วมกันน้อมรำลึกถึงสิ่งที่ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงวางรากฐานไว้ เพื่อให้ปวงชนชาวไทยทุกคนมีความเป็นอยู่ที่ดี มีทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ยาวนานและยั่งยืน ขอให้พวกเราทุกคนรวมทั้งประชาชนด้วย รับพระราชดำริใส่เกล้าใส่กระหม่อมและช่วยกันสานต่อสืบไป
สำหรับในวันที่ 18 สิงหาคม ปี 2561 ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะเป็นวาระครบรอบ 150 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพิสูจน์การเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ซึ่งก็เป็นจริงตามที่ได้ทรงคำนวณไว้ด้วยพระองค์เอง ล่วงหน้า 2 ปี ณ บ้านหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยพระองค์ได้ทรงเชิญคณะสำรวจ ทั้งจากฝรั่งเศส อังกฤษ และสิงคโปร์ เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย และด้วยพระปรีชาญาณที่ได้ทรงทำนายการเกิดสุริยุปราคาอย่างแม่นยำ ประชาคมดาราศาสตร์ในระดับสากล ได้ยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยการกล่าวถึงสุริยุปราคาเต็มดวงในครั้งนั้นว่าเป็น King of Siam's Eclipse ด้วย
สำหรับพวกนั้น พสกนิกรชาวไทย เพื่อเป็นการประกาศพระเกียรติคุณ และพระปรีชาชาญาณของพระองค์ท่านให้โลกรับรู้ จึงได้มีการพัฒนา อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้เป็นสถานที่สำคัญในการท่องเที่ยว และเป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ระดับชาติ อย่างสมพระเกียรติ ซึ่งจะเป็นแหล่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ของภูมิภาค และของโลก ทั้งในปัจจุบันและอนาคต พร้อมกันนี้ คณะกรรมการบูรณาการด้านพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้ได้จัดให้มี เส้นทางการท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้จากกรุงเทพมหานคร ถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยได้รวบรวมพิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้สำคัญ จำนวน 30 แห่ง ในพื้นที่ 4 จังหวัด อันได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งนี้ ก็เพื่อจะกระตุ้น และส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเรียนรู้และพิพิธภัณฑ์ ที่กระจายอยู่ในพื้นที่ สามาถนำความรู้ไปพัฒนาตนเอง และพัฒนาอาชีพ อย่างยั่งยืนต่อไป
ผมขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้มาใช้ประโยชน์จากเส้นทางแห่งความรู้นี้ รวมถึงเยี่ยมชมอุทยานวิทยาศาสตร์ ณ หว้ากอฯ และร่วมใจกันน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 4 ที่ทรงเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ ของไทย ที่ได้ทรงพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์ไว้อีกหลายแขนง ให้กับพวกเราชาวไทยอีกด้วย ด้วยรากฐานและแนวทางการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่มั่นคงนี้เอง งานด้านการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมของไทย ก็ได้เดินหน้ามาต่อเนื่อง ในหลายๆ ด้าน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการก้าวเข้าสู่ ยุคดิจิทัล ของประเทศ และให้พี่น้องประชาชนได้ทยอยปรับตัว กับการเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ได้ สะดวกสบายยิ่งขึ้น
ผมอยากเรียนให้พี่น้องประชาชนได้ทราบถึงงานสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ที่กำลังดำเนินอยู่ในช่วงนี้ งานแรก ได้แก่ มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติประจำปี 2560 เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็น พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระบิดาแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมไทย โดยเป็นกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี และของประเทศ โดยมีการจัดแสดงนิทรรศการ และกิจกรรมจากความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน ทั้งในและต่างประเทศกว่า 30 แห่ง เพื่อแสดงถึงศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่นำสมัย สามารถสร้างความตื่นเต้น สร้างแรงบันดาลใจ และความตระหนักรู้ด้านวิทยาศาสตร์แก่สังคมไทย โดยเป็นโอกาสที่ประชาชนและเยาวชนทั่วไป จะได้เข้าถึงข้อมูลความรู้ ได้รับประสบการณ์ และมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบที่สนุกสนานและทันสมัย เปิดโอกาสให้ผู้ชมมีส่วนร่วมโดยเน้นหัวข้อที่สำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ New S-Curve
นอกจากนี้ ยังได้มีการนำเสนอประเด็นการเปลี่ยนแปลงของวิกฤตโลก เช่น ภาวะโลกร้อน ความหลากหลายทางชีวภาพ วิทยาศาสตร์สุขภาพ และอื่นๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดทัศนคติเชิงบวก กระตุ้นการคิดและการตั้งคำถาม และนำไปสู่การเป็นผู้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทางวิทยาศาสตร์ต่อไป งานนี้จัดขึ้นจนถึงวันที่ 27 สิงหาคมนี้ ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พี่น้องประชาชน สามารถมาเยี่ยมชม และพาลูกหลานมาปลูกฝังการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ และตระหนักรู้ถึงความสำคัญของนวัตกรรมและประโยชน์ในการนำมาใช้นะครับ เพื่อให้เยาวชนได้เติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป
อีกงานหนึ่งที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ก็คือ งาน Thailand Research Expo 2017 หรือ มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ 2560 ครั้งที่ 12 ของกระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้แนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหารกรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ตลอดจนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่องานวิจัยไทย โดยภายในงานจะมีการนำเสนอผลงานวิจัยที่น่าสนใจ เช่น เครื่องมือเฝ้าตรวจพื้นที่ระยะไกลในการตรวจจับการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดน การออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผ้าใยกล้วยด้วยการพิมพ์แบบกราฟิกและตกแต่ง นวัตกรรมนาโนที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้ และการใช้เทคโนโลยีคลื่นอัลตราซาวด์ เพื่อการรักษาก้อนมะเร็งเต้านม ซึ่งสามารถจะกำจัดก้อนมะเร็ง โดยไม่ทำลายเนื้อเยื้อ บริเวณข้างเคียงของร่างกายอีกด้วย
สำหรับงานด้านการวิจัยนี้ จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 27 สิงหาคม 2560 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ผมขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนได้แวะเวียนไปชมผลงานที่น่าชื่นชมเหล่านี้ เพื่อร่วมกับผมในการจะเป็นกำลังใจให้กับบรรดานักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ทุกท่าน และสนับสนุนให้มีการสร้างสรรค์นวัตกรรมดีๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง
พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ อย่างที่ผมเคยเรียนไปแล้วว่า นับเป็นโชคดีที่สุดของประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ที่มีพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ได้ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญ และสนับสนุนงานด้านวิทยาศาสตร์มาหลายแขนงมาทุกยุคทุกสมัย เห็นได้ชัดงานแสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่ไม่ได้มีขึ้นเพื่อตอบโจทย์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพียงด้านเดียว ในช่วงเดียวกันนี้ เราได้เห็นงานที่จัดขึ้น เพื่อแสดงผลงาน และสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมในภาคการเกษตร ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอีกด้วย นั่นก็คือ งานเกษตรไทยก้าวหน้าภายใต้ร่มพระบารมี หรือ Thai Farmer EXPO 2017
งานนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมภาคการเกษตรของไทยได้มีการพัฒนาให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมาอย่างต่อเนื่อง และมีความพร้อมในการสนับสนุนในการก้าวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยในงานนี้จะมีการแสดงศักยภาพของ Smart Farmer เกษตรกรต้นแบบ, Young Smart Farmer เกษตรกรรุ่นใหม่ และ Smart Group กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ทั้งหมดกว่า 4,000 คน ที่จะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน ทั้งยังได้เชิญคณะทูตานุทูตประจำประเทศไทยกว่า 30 ประเทศ เข้าร่วมชมงาน เพื่อจะแสดงให้เห็นถึงพลัง และศักยภาพของการเกษตรไทยในฐานะเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของโลก โดยได้รับความร่วมมือครอบคลุมทุกมิติทั้งเศรษฐกิจและการลงทุน
นอกจากนี้ ภายในงานได้มีการจัดแสดงผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ที่หลากหลายในราคายุติธรรม มีนิทรรศการสานต่อพระราชปณิธานทางด้านการเกษตร การให้บริการคลินิกทางการเกษตร พร้อมให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ การให้บริการความรู้การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผึ้งและแมลงเศรษฐกิจ รวมทั้งการให้คำปรึกษาการดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงในสังคมเมือง และมีการอบรมด้วยมากกว่า 20 หลักสูตร มีการสาธิตการแปรรูปจากผลผลิตทางการเกษตรสู่การประกอบอาชีพในอนาคต อีกทั้งยังได้จัดให้มีโซน Business Matching เพื่อเจรจาธุรกิจจากเหล่าเกษตรกรกับผู้ประกอบการ เพื่อจะสร้างเครือข่ายสินค้าการเกษตรให้กว้างขวางด้วย
ผมได้เดินทางไปเปิดงานเมื่อวันที่ 16 ที่ผ่านมา และงานจะมีไปจนถึงวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ที่สวนลุมพินี มีสินค้าที่น่าสนใจมากมาย ลองไปเยี่ยมชมความก้าวหน้าของภาคเกษตรไทย และช่วยกันสนับสนุนให้กำลังใจพี่น้องเกษตรกรกันให้มากๆ ขอขอบคุณภาคเอกชนที่มาร่วมมือสนับสนุนให้เกิดงานนี้ขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชารัฐต่างๆ
พี่น้องประชาชนครับ การเกษตรกรรมนั้นเป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศและประชาชนคนไทย โดยเฉพาะการปลูกข้าวเนื่องจากทั้งเป็นอาหารหลักของพี่น้องประชาชนในทุกๆ ภาคทุกพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศมาช้านาน อย่างไรก็ตาม พี่น้องเกษตรกรที่ปลูกข้าวต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ทั้งจากภัยธรรมชาติ ภัยแล้ง น้ำท่วม ราคาข้าวที่ผันผวนจากราคาในตลาดโลก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น และต่อเนื่องจากประเทศผู้ส่งออกข้าวต่างๆ ในโลกอีกด้วย มีหลายประเทศที่ผลิตข้าวและส่งออกเช่นกัน แนวทางการแก้ปัญหาหนึ่งที่จะช่วยสร้างรายได้ให้ยั่งยืน และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับพี่น้องเกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าว คือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการผลิตนั่นเอง
ตัวอย่างล่าสุดของการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าว ที่ผมได้ไปพบปะพูดคุยและอยากจะมาเล่าให้พวกเราฟังคือ เรื่องน้ำมันรำข้าว เริ่มต้นจากข้าวเปลือกที่มีมูลค่าประมาณ 8,000 บาทต่อตัน เมื่อเราไปแปรรูปเป็นข้าวสาร จะมีผลิตผลพลอยได้เป็นรำข้าวมีมูลค่า 10,000 บาทต่อตัน และเมื่อนำรำข้าวมาแปรรูปเป็นน้ำมันสำหรับบริโภคจะมีมูลค่าถึง 60,000 บาทต่อตัน แต่ถ้าแปรรูปเป็นอาหารเสริมชนิดน้ำมันรำข้าวบรรจุแคปซูล จะมีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านบาทต่อตัน ในปัจจุบันนั้นอุตสาหกรรมน้ำมันรำข้าวของไทย ใช้รำข้าวประมาณ 800,000 ตันต่อปี จะได้น้ำมันรำข้าวดิบ 140,000 ตันต่อปี และทำรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งน้ำมันรำข้าว นอกจากจะใช้ประกอบอาหารแล้ว เรายังสามารถใช้ประโยชน์ด้านโภชนเภสัช เวชสำอาง แล้วก็เป็นอาหารเสริมได้ แต่การสร้างมูลค่าเพิ่มจากรำข้าวในปัจจุบันอาจจะยังทำได้น้อย ซึ่งในระยะต่อไป รัฐบาลจะมุ่งสนับสนุนในเรื่องการทำวิจัย และพัฒนาการสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงคุณประโยชน์ และส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ถ้าเราช่วยกันอุดหนุนราคาก็ค่อยลดลง ยิ่งผลิตมาก ราคาจะถูกลง ถ้าผลิตน้อยคนไม่เข้าใจไม่นิยมใช้ ราคาก็ต้องสูง ถึงแม้จะมีคุณภาพดีก็ตาม ผมขอความร่วมมือให้ช่วยกันมาใช้แล้วกัน ไม่มีอันตรายอะไร เพราะมีการรับรองคุณภาพผ่านเรียบร้อยแล้ว
ในวันที่ 24 - 25 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวร และผู้ประกอบการน้ำมันรำข้าว จะร่วมกันจัดประชุมวิชาการน้ำมันรำข้าวนานาชาติ ครั้งที่ 4 ในการประยุกต์ใช้น้ำมันรำข้าวทางเวชสำอาง โภชนเภสัช และอาหาร ที่โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส โดยจะมีนักวิชาการและผู้ประกอบการกว่า 200 คนจากทั่วโลกมาเข้าร่วม เพื่อหาแนวทางผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านน้ำมันรำข้าวอย่างยั่งยืน และส่งผ่านประโยชน์ไปยังเกษตรกรได้มากขึ้น ผมอยากให้พี่น้องประชาชนหันมาบริโภคน้ำมันรำข้าวในรูปแบบต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และเป็นการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าวอีกทางหนึ่งด้วย เมื่อวันก่อนนี้ผมได้เห็นการนำข้าวมาทำในลักษณะที่เป็นเหมือนนมเม็ด ดูแล้ว ผมชิมดูแล้วก็อร่อยดี และเป็นประโยชน์ด้วย ลองอุดหนุนกันที่เป็นผลผลิตจากข้าว และอีกอันที่อยากให้ทำเพิ่มเติมคือ การทำนมข้าวน้ำนมข้าว เพื่อจะให้คนไทยได้มีโอกาสได้รับประทานมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ เมื่อถึงวัยที่สามารถรับประทานได้แล้ว เด็กแรกเกิดก็รับประทานนมแม่ไปก่อน ไม่เช่นนั้นเราจะต้องทำนมผงเข้ามากันเยอะแยะ ก็ลองดูว่าจะทำอย่างไรให้คุณภาพดีกว่า ดีกว่าที่เรารับประทานทุกวันนี้ ในเรื่องการดูแลเด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่ก็ตาม
สำหรับการพัฒนาประเทศในภาพรวม วันนี้รายังมีงานที่ต้องทำอีกมาก โดยเฉพาะการปรับปรุงสภาพแวดล้อมเดิม เพื่อจะสร้างภาพลักษณ์ของประเทศ ให้เป็นสากล ให้พร้อมรองรับการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว การต้อนรับนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เรามีโอกาสอีกมาก ตัวอย่างสิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังดำเนินการอยู่ อาทิ ตัวอย่างแรก อย. 4.0 คือ การเพิ่มประสิทธิภาพ ในกระบวนการพิจารณาอนุญาต ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งนอกจากจะเป็นการส่งเสริมศักยภาพบริการสาธารณสุขของประเทศแล้ว ยังเป็นการปูทางไปสู่ศูนย์กลางการแพทย์ (Medical Hub)
โดยให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดำเนินการขจัดอุปสรรคในอดีตอย่างครบวงจร อาทิ การจ้างผู้เชี่ยวชาญ และผู้ตรวจสอบเอกสารจากภายนอกเพิ่มขึ้น เพื่อจะช่วยประเมินเอกสารทางวิชาการ การลดขั้นตอนโดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วย การจ้างหน่วยงานภายนอกมาช่วยตรวจสถานประกอบการ รวมทั้งการหาแหล่งเงินนอกเหนือจากเงินงบประมาณมาสนับสนุนกิจกรรม
ทั้งนี้ เพื่อจะทำให้กระบวนการพิจารณาอนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพ เป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้ง ช่วยให้กลไกการคุ้มครองผู้บริโภค คือ พี่น้องประชาชนทุกคน ให้มีความคล่องตัว และเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น การปรับระบบใหม่นี้ เกิดผลดีต่อ ผู้ประกอบการหลายประการ ได้แก่
1. ช่วยลดระยะเวลา ตั้งแต่การให้คำปรึกษา เตรียมเอกสาร ตรวจสอบ ติดตามเรื่อง จนได้รับการพิจารณาอนุญาต รวดเร็วมากขึ้น โดยเฉลี่ยร้อยละ 20 เช่น การขออนุญาตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เดิมใช้เวลา 35 วันทำการ เหลือ 28 วันทำการ การขึ้นทะเบียนตำรับยาใหม่ ชีววัตถุใหม่ เดิม 280 วันทำการ เหลือ 220 วันทำการ คำขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย กรณีสารใหม่ เดิม 120 วันทำการ เหลือ 100 วันทำการ เป็นต้น
2. ส่งเสริมการวางแผนธุรกิจได้แม่นยำและรวดเร็วขึ้น โดยการพัฒนาระบบ e-Submission ซึ่งใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ นั่นหมายถึง การเพิ่มความสะดวกในการสรรค์สร้างธุรกิจและนวัตกรรม ได้อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ เปิดใช้งานระบบ e-Submission แล้ว 29 ระบบ และจะพัฒนาเพิ่มเติม จนครบสมบูรณ์ ทั้ง 70 ระบบ ภายในปี 2562 ช่วยกันดูด้วย
3. อำนวยความสะดวกในวิธีการชำระค่าใช้จ่าย ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ตามนโยบาย Digital Economy ของรัฐบาล โดยเริ่มใช้ในเดือนสิงหาคมนี้
4. สร้างความมั่นใจ และยกระดับการให้บริการ ให้มีความทันสมัย ตอบสนองต่อผู้ประกอบการในยุค 4.0 มากยิ่งขึ้น ที่เน้นความถูกต้อง รวดเร็ว และโปร่งใส โดยการจัดตั้งสถาบันนวัตกรรม และศูนย์ให้คำปรึกษา สำหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการให้ผู้บริโภคปลอดภัย ผู้ประกอบการก้าวไกล และมีระบบคุ้มครองสุขภาพไทย ที่ยั่งยืน
ในเรื่องนี้ผมก็ฝากไปถึงสำนักงานตรวจสอบมาตรฐานอุตสาหกรรม (สมอ.) ด้วย ตัวอย่างที่ 2 คือ การพัฒนาไปสู่มหานครไร้สาย โดยนำสายไฟฟ้า สายสื่อสารลงใต้ดิน นำร่องโครงการถนนพหลโยธิน จากแยกลาดพร้าว ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใช้เวลาดำเนินการ ช่วงเดือนสิงหาคม - กันยายนนี้ ซึ่งต้องบูรณาการทำงานกันหลายหน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาระบบโทรคมนาคมในประเทศ ซึ่งในอนาคตสายสื่อสารจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้เกิดปัญหาการพาดสายสื่อสารที่รกรุงรัง อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ จัดระเบียบยาก บางทีวางพาดกับสะพานลอย ทางข้ามอะไรต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับพี่น้องประชาชนได้ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ตลอดจนบดบังทัศนียภาพ ความงดงาม เสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ
ผมอยากให้พี่น้องประชาชนเฝ้าสังเกตความเปลี่ยนแปลง ในอีก 2 เดือน แล้วจะเห็นว่า สิ่งนี้เราควรที่จะดำเนินการมานานแล้ว สำหรับเสาไฟฟ้าที่รื้อถอนแล้ว ประมาณ 800 เสา กฟน.ก็จะได้มอบให้ กทม. เพื่อนำไปใช้ในโครงการปลูกป่าในใจคนตามศาสตร์พระราชา ในการช่วยฟื้นฟูและป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลกรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน ตามแผนงาน เป็นระยะทาง 4.7 กิโลเมตร ต่อไป
พี่น้องประชาชนที่รัก เป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่สำคัญ คือ คนไทยมีรายได้ต่อหัว เฉลี่ย 450,000 บาทต่อคนต่อปี เศรษฐกิจขยายตัวเฉลี่ย 5% ต่อปี โดยมีอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ต่ำกว่าอันดับ 10 ของโลก ภายในปี 2579 และเราต้องเพิ่มพื้นที่ป่าของประเทศ ให้ได้ร้อยละ 40 ซึ่งเป็นหนี่งในตัวชี้วัดของการพัฒนาที่ยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลปัจจุบันนี้ ได้แก้ปัญหาเดิมๆ ของพี่น้องประชาชน และของประเทศ รวมทั้งวางรากฐานการพัฒนาไว้ ในหลายเรื่อง โดยยึดหลักศาสตร์พระราชา ที่ว่า การช่วยเหลือสนับสนุนประชาชน ในการประกอบอาชีพ และตั้งตัวให้มีความพอกินพอใช้ก่อนอื่น เป็นพื้นฐานนั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผู้ที่มีอาชีพและฐานะเพียงพอที่จะพึ่งพาตนเอง ย่อมสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้า ระดับที่สูงขึ้นต่อไป ได้แน่นอน แต่ทุกคนก็ต้องมีภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย
อย่างที่ผมกล่าวไว้แล้วทั้งหมด ความมีเหตุมีผล ความพอประมาณ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี ภายใต้หลักการเศรษฐกิจความรู้กับหลักคุณธรรม ดังนั้น ผมจึงให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาปากท้องเป็นเรื่องแรกๆ จนตัวชี้วัด ในภาพรวมของประเทศดีขึ้น ตามลำดับ เมื่อเทียบกันระหว่างปี 2557 กับไตรมาสแรกของปี 2560 นี้ เช่น ผลผลิตภาคเกษตรที่ติดลบ 5.3% กลับมาเป็นบวก 20.1%, การลงทุนที่ติดลบ 2.2% กลับมาเป็นบวก 1.7% และการส่งออกที่ย่ำแย่ แทบไม่เติบโต กลับฟื้นตัวเป็นบวกที่ 2.7% ทำให้โดยรวมแล้วจีดีพี ของประเทศในไตรมาส 1 ของปีนี้ เป็นบวก 3.3% ซึ่งทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะชี้แจงรายละเอียดต่อไป
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นภาพรวมของทั้งประเทศเท่านั้น เรายังต้องประคับประคองสถานการณ์ไว้ให้ได้ก่อน แล้ววันนี้ถึงเวลาที่ผมและคณะรัฐมนตรีจะลงพื้นที่เพื่อเอกซเรย์ปัญหาของพี่น้องประชาชนที่ย่อมแตกต่างกันออกไปตามภาค ตามจังหวัด ตามแต่ละท้องถิ่น จะได้สร้างความเชื่อมโยงให้ได้ ลดความเหลื่อมล้ำ เพราะเมื่อโครงสร้างหลักของบ้าน ของประเทศ มีความมั่นคงดีแล้ว ส่วนประกอบที่เหลือ ทั้งขื่อ คาน ผนังบ้าน ก็จะยึดเข้าด้วยกันได้อย่างแข็งแรงตามไปด้วย เช่นเดียวกับประชาธิปไตยของเรา ก็ต้องสร้างโครงสร้างให้เข้มแข็ง แข็งแรง ใส่ปูนใส่อะไรเข้าไป แล้วเราจะเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคงยั่งยืน
โดยกิจกรรมหลัก 3 ประการ สำหรับการจัดประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ ได้แก่
1. การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อรับทราบปัญหาใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่ และติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาเดิมตามมาตรการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
2. การพบปะพี่น้องประชาชน ในลักษณะเวทีสาธารณะ เพื่อสร้างการรับรู้ยุทธศาสตร์และแผนพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจในภูมิภาค จะได้เข้าใจตรงกัน เห็นทิศทาง มองอนาคตร่วมกัน ทำให้เกิดความร่วมมือ อันจะนำมาสู่การพัฒนาชีวิตที่ยั่งยืนให้ได้ในอนาคต
3. การประชุมคณะรัฐมนตรี ที่จะนำประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ได้จากการลงพื้นที่และเวทีสาธารณะดังกล่าว มาหารือกันในที่ประชุม เพื่อจะอนุมัติ สั่งการ ในเรื่องแผนงานโครงการและงบประมาณ จะได้มีความรวดเร็วในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่ไม่ใช่การมองปัญหาจากกรุงเทพฯ แต่เพียงอย่างเดียว วันนี้ผมก็รับฟังจากทุกที่อยู่แล้ว แต่ลงไปให้เห็นด้วยตาอีก จะได้สังเกตให้ดีขึ้น พบปะกับประชาชน พูดคุยกับบรรดาพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ที่เราทำมาแล้ว 3 ปี ท่านจะได้รับทราบด้วย และมีแผนงานอีก 2 ปี 60 - 62 ที่เราจะเร่งเติมลงไปให้อีก เพราะว่าโครงสร้างแรกก็ได้ทำไปบ้างแล้วใน 3 ปีแรก อีก 2 ปีนี่ก็จะใช้งบประมาณที่เราจัดทำมาแล้ว ทำให้มันต่อเนื่องเชื่อมโยง ลดความเหลื่อมล้ำทางกายภาพให้ได้ แล้วก็ทำยังไงจะมีรายได้สูงขึ้น ก็ต้องไปดูคนที่ยังไม่ได้เข้าในระบบ เพราะเรามีคนจนจำนวนมาก ผมคิดว่ามากกว่า 14.9 ล้านคน ตัวเลขที่ทำมานะครับ มากกว่านั้น เพราะเป็นเพียงคนมีรายได้ไม่เกิน 1 แสนบาท ผมคิดว่าอยู่ไม่ได้หรอกครับ 1 แสนบาท ยังไงก็ต้อง 3 แสนขึ้นมั้ง ผมคิดอย่างนั้นนะครับ แต่จะทำยังไง มันก็ต้องมาเข้าในระบบ ในโครงการ แต่ถ้ายังไม่เข้าจะทำยังไง รัฐบาลก็ต้องไปหาวิธีการ แต่ข้อสำคัญประชาชนต้องยอมรับหลักการด้วย ไม่งั้นมันไปไม่ได้ รัฐบาลคิด รัฐบาลทำโครงการ แต่ประชาชนไม่เห็นด้วยมันก็ไปไม่ได้ทั้งหมด มันก็เกิดอะไรขึ้นมาใหม่ไม่ได้ การสร้างงาน สร้างอาชีพ มันก็เกิดขึ้นไม่ได้นะครับ ก็ขอร้องก็แล้วกัน พยายามเข้าใจกันหน่อย
ทั้งนี้ ก็เพื่อจะเป็นไปตามหลักการทรงงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วย "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เข้าใจถึงปัญหา เข้าใจถึงพื้นที่ เข้าใจถึงประชาชน และเข้าให้ถึงวิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งหมด และนำไปสู่การพัฒนา
สำหรับแนวทางของการพัฒนาเชิงพื้นที่ของภาคและเมืองนั้น เราจะต้องมุ่งสร้างความเข้มแข็งของฐานการผลิต และบริการของประชาชนในภูมิภาค โดยจะต้องกระจายความเจริญและโอกาสทางเศรษฐกิจไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึงมากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่ และพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจอย่างมีทิศทาง ให้มีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ เราต้องศึกษาข้อมูลสภาพทั่วไปของภาค โดยประมวลสถานการณ์การพัฒนาภาคในด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประเมินบริบทการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาภาคอีกด้วย รวมทั้งการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในรูปแบบต่างๆ เช่น เส้นทางคมนาคมทางถนน ทางราง การค้าชายแดน การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว ในลักษณะไทยแลนด์ +1 +2 +3... เป็นต้น
ซึ่งในช่วงวันเสาร์ที่ 19 ถึงวันอังคารที่ 22 สิงหาคมนี้ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนทุกคน โดยเฉพาะชาวอีสาน ได้ติดตามข่าวสารการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี ตามที่ผมได้กล่าวไป โดยรายละเอียด ทิศทางการพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบทสรุปต่างๆ ผมจะนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้งในวันศุกร์หน้า
ส่วนภูมิภาคอื่นๆ ก็อยากให้ตื่นตัว เตรียมการและรอพบปะจับเข่าคุยกันกับคณะรัฐมนตรี ในโอกาสต่อๆ ไปด้วย ก็ขอให้หน่วยงานในพื้นที่ไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องเตรียมการ ใหญ่โต หรูหรา ผมต้องการเพียงแค่พบกับประชาชน พบกับข้าราชการ รับทราบปัญหา ไม่ต้องต้อนรับใหญ่โต เสียเงินเสียทองมากมาย แล้วทำให้ทุกคนเดือดร้อน เราต้องปรับรูปแบบใหม่นะครับ
สุดท้ายนี้ผมขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมกันส่งแรงกาย แรงใจ เชียร์กองทัพนักกีฬาไทย ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ปี 2017 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 20 - 30 สิงหาคม ศกนี้
แม้ว่าชัยชนะนั้น จะเป็นเป้าหมายในการแข่งขันของนักกีฬาและกองเชียร์ และเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ของแต่ละประเทศ แต่ความจริงแล้ว หัวใจในการเล่นกีฬา คือ น้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และความเป็นเพื่อน ที่จะมีค่ายิ่งกว่า นอกจากนี้ สิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญเช่นกัน คือ การเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพกายและใจที่ดี ก็อยากให้กีฬาซีเกมส์ และการชมการแข่งขันใดๆ ก็ตาม จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทย เยาวชนไทย รักสุขภาพ รักการเล่นกีฬา เพื่อสุขภาพของตัวเองด้วย ขอขอบคุณโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทรท.) ช่อง 3, 5, 7, โมเดิร์นไนน์ทีวี, และช่อง 11 ที่หมุนเวียนกันถ่ายทอดสดตลอดการแข่งขัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ติดตาม ให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง รายละเอียดตามหน้าจอนะครับ
ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับพี่น้องชาวโคราช พบกันวันจันทร์นะครับ สวัสดีครับ