ร่าง พ.ร.ป.พรรคฯ ถึงมือ กกต. ส่อไม่แย้งขัดเจตนารมณ์ รธน. “สมชัย” พร้อมปฏิบัติแม้ยากขึ้น แจง ไม่ได้ให้เหลือง-แดง กรณีไพรมารีไม่ชอบ แต่เป็นการตรวจสอบคุณสมบัติพบปัญหาไม่ประกาศเป็นผู้สมัคร-ส่งศาลเพิกถอน โต้ “มีชัย” ไม่เคยสั่ง จนท. บอกพร้อมปฏิบัติไม่ขัด รธน. ยันแจงได้หมดแต่ไม่ถูกใจ กรธ. แฉกลับมี กรธ.ล็อบบี้ จนท.ให้บอกว่าปฏิบัติไม่ได้
วันนี้ (27 มิ.ย.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าที่ประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.ป.พรรคการเมืองที่ได้รับจาก สนช.เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน โดยมีเวลา 10 วัน ครบกำหนดวันที่ 5 ก.ค.พิจารณาว่ามีประเด็นใดขัดกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญบ้าง ซึ่งได้มอบหมายให้กิจการพรรคการเมืองไปศึกษา ถ้าพบว่าขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญให้เสนอต่อ กกต. ในวันที่ 3 ก.ค. เพื่อเข้าสู่ที่ประชุม กกต.ในวันที่ 4 ก.ค. แต่เบื้องต้นสอบถามเจ้าหน้าที่แล้วก็ระบุว่าไม่มีประเด็นขัดรัฐธรรมนูญ พร้อมกับยืนยันว่า กกต.ไม่ได้สั่งให้นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.ไปชี้แจงต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ว่าสามารถปฏิบัติได้ไม่ขัดรัฐธรรมนูญตามที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญออกมาระบุ เพราะ กกต.ไม่มีธง หรือคำสั่งว่าเจ้าหน้าที่ต้องตอบอย่างไร โดยเจ้าหน้าที่ กกต.ตอบจากประสบการณ์จากการปฏิบัติอิงตามข้อกฎหมายตอบได้ทุกประเด็น เพียงแต่คำตอบอาจไม่ตรงใจ กรธ.
“รองเลขาธิการ กกต.ได้สรุปรายละเอียดเกี่ยวกับผลการไปหารือร่วมกับ กรธ.เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่ง กรธ.ได้ซักถามประเด็นต่างๆ อย่างละเอียดรวม 11 ประเด็น จากที่ผมได้อ่านบันทึกถามตอบก็เห็นว่า คำตอบที่เจ้าหน้าที่ กกต. ได้ชี้แจงต่อนายมีชัย เป็นการตอบที่เป็นสาระ ด้วยความเข้าใจในตัวกฎหมาย เอาประสบการณ์ที่ได้ทำงานด้านกิจการพรรคการเมืองไปตอบ เป็นการตอบได้หมดทุกประเด็น แต่คำถามที่รองเลขาฯ กกต.ตอบไม่ได้ น่าจะเป็นที่ถามว่าถ้าหาก กกต.ยืนยันว่าทำได้และทำแล้วมีปัญหา กกต.จะรับผิดชอบหรือไม่ ถ้าเป็นผม ผมขอตอบแทนเพราะเป็นเรื่องของ กกต. ด้วยการถามกลับไปที่ กรธ.ว่าถ้า กกต.ใหม่ 7 คนมาทำแล้วไม่ได้ผลดี หรือผู้ตรวจการเลือกตั้งมาทำงานแล้วล้มเหลว กรธ.จะรับผิดชอบหรือไม่” นายสมชัยกล่าว และว่าพร้อมให้สื่อมวลชนไปสอบถามโดยตรงกับนายแสวง เพราะได้อนุญาตให้นายแสวงพูดถึงประเด็นที่หารือกับ กรธ. รวมทั้งประเด็นที่มี กรธ.ท่านไหนมาล็อบบี้ให้พูดว่าทำไม่ได้ด้วย ทั้งนี้ ตนเห็นว่า ฝ่ายที่เห็นว่าขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญควรยกเหตุผลขึ้นมาแย้ง ไม่ใช่บอกว่าเป็นเพราะ กกต.ไม่พร้อมแล้วเอามาเป็นเหตุผล แล้วนำเรื่องนี้มาเป็นเหตุผลในการให้ตั้งกรรมาธิการร่วม
นายสมชัยยังยกตัวอย่างคำถามคำตอบที่รองเลขาธิการ กกต.ได้ชี้แจงต่อ กรธ.ว่ากรณีการคัดเลือกตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดสามารถดำเนินการได้ทันทีหลัง พ.ร.ป.พรรคการเมืองมีผลบังคับ ไม่ต้องรอการแบ่งเขตตาม พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. อีกทั้งในการแบ่งเขตก็มักจะไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก เพราะการแบ่งเขตครั้งแรกกับครั้งต่อมาจะมีการเปลี่ยนแปลงบางจังหวัดแต่น้อยมาก การเตรียมการคนแต่ละเขต จึงสามารถวางคนล่วงหน้าได้ และแม้เมื่อมีกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งออกมา ก่อนรับสมัคร กกต.มีเวลาอย่างน้อย 20 วัน ก่อนการประกาศรับสมัคร กกต. ในช่วงเวลาดังกล่าว 15 วัน ก่อนเปิดรับสมัคร 5 วัน ถือเป็นเวลาที่เพียงพอที่พรรคการเมืองจะดำเนินการกระบวนการไพรมารีโหวตได้
ส่วนที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ระบุว่า กกต.อาจเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญกรณีที่จะให้ใบเหลือง-ใบแดง จากการร้องเรียนว่ากระบวนการสรรหาไพรมารีโหวตไม่ถูกต้องนั้น นายสมชัยกล่าวว่า เป็นการเข้าใจผิด เพราะไม่ใช่เรื่องของการให้ใบเหลือง-ใบแดง แต่เป็นการตรวจสอบคุณสมบัติเหมือนที่ กกต. เคยดำเนินการมาถ้าคุณสมบัติไม่ครบถ้วนก็สามารถไม่ประกาศรายชื่อผู้สมัครได้ เช่นเดียวกับระบบไพรมารีโหวตหากทำไม่ถูกต้องก็ไม่ประกาศรายชื่อ แต่ถ้าไปพบปัญหาภายหลังจากได้รับเลือกตั้งแล้ว กกต.ก็ส่งศาลให้เพิกถอน เพราะคุณสมบัติไม่ครบ หรือที่ว่า ถ้าใช้ระบบดังกล่าวพรรคอาจไม่ส่งผู้สมัคร และสุดท้ายอาจทำให้การเลือกตั้งไม่ราบรื่น ก็เห็นว่าเป็นจินตนาการ เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น แล้วจะไปบอกว่าทำไม่ได้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำ ตนเข้าใจว่าถ้าพรรคมีความเข้มแข็งเพียงพอก็จะสามารถทำได้
“หลายคนไปเข้าใจผิดว่าเป็นการเอาคืนของ กกต. เราไม่เคยคิดแบบนั้น เรามองสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นหลักว่ากฎหมายจะก่อให้เกิดผลดีต่อชาติหรือไม่ แม้ว่าคนของ กกต.จะยากลำบากเพราะมีขั้นตอนการทำงานมากขึ้นแต่ก็พร้อมที่จะทำ ทุกอย่างเป็นไปด้วยเหตุผลและประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ และระบบไพรมารีโหวตพรรคการเมืองใหญ่ได้เปรียบพรรคการเมืองเล็ก เพราะมีสาขา มีทุนแต่พรรคเล็กไม่มีสิ่งเหล่านี้ กรณีนี้พรรคเล็กพรรคกลางค้านเป็นเรื่องปกติแต่ที่พรรคใหญ่ค้านด้วย น่าคิดว่าเป็นเพราะไม่เคยฟังเสียงจากประชาชน และข้อเท็จจริงส่วนกลางจะเป็นคนชี้ตัวบุคคลว่าใครจะเป็นผู้สมัคร ดังนั้น กรณีไพรมารีโหวตทำให้อำนาจส่วนกลางหายไป จึงทำให้พรรคใหญ่ไม่ต้องการทำ ผมเห็นว่าระบบนี้จะเป็นการลบคำปรามาสที่ว่าพรรคส่งเสาไฟฟ้า หรือคนขับรถลงสมัครยังไงก็ได้รับเลือกตั้ง เพราะกระบวนการนี้จะทำให้ประชาชนเลือกทั้งคนทั้งพรรคแม้ว่าการปฏิบัติจะยากก็ต้องทำเพื่อให้กระบวนการปฏิรูปสำเร็จ”
สำหรับการตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ในการพิจารณาร่าง พ.ร.ป.กกต.นั้น ทราบว่า สนช.จะมีการประชุมเพื่อพิจารณาแต่งตั้งในวันที่ 30 มิ.ย. และในวันที่ 3 ก.ค.น่าจะเป็นการประชุมนัดแรกของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ซึ่ง กกต.ก็ได้เสนอประเด็นที่เห็นว่า ร่าง พ.ร.ป.กกต.มีปัญหาขัดรัฐธรรมนูญรวม 6 ประเด็น โดยประธาน กกต.พร้อมเป็นตัวแทนของ กกต.ไปเข้าร่วมประชุม แม้ว่าจะเป็นเพียงเสียงเดียวก็ตาม