ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ดรามาเข็มพิษ มโนโดนขู่ แถไปไกลถึง “ดีเอสไอ” ระวังจะบานไม่หุบ - ลงไม่ได้
ทองแท้ไม่กลัวไฟฉันใด คนดีแท้ๆ ก็คงไม่กลัวการพิสูจน์ฉันนั้น .. ใครได้ติดตามการแถลงข่าวของ“ครูอ้อย” ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือ และเจ้าของคอร์สอบรมชื่อดัง “เข็มทิศชีวิต” เมื่อวันก่อน คงมีไม่น้อยที่ต้องงุนงง ตามไม่ทัน .. ก็ข้อมูลที่แถลงออกมาแทบไม่เกี่ยวกับ “การโดนเท” จากเหล่าคนดัง แถมยังเปิดประเด็นใหม่ ว่า ถูกผู้ไม่หวังดี “แบล็กเมล์” เรียกค่าไถ่ถึง 11 ล้านบาท ที่ข่มขู่ให้เลิกหลักสูตรเข็มทิศชีวิต และเตรียมโจมตีทางลบ ในสังคมออนไลน์ .. เป็นความพยายามทำให้เห็นว่ามี “ขบวนการป้ายสี” ที่เป็น “มืออาชีพ” ต้องการสร้างความเสียหายต่อตัว “ครูอ้อย” และหลักสูตร โดยได้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับ “ไอ้โม่ง” ที่ไม่หวังดีไว้ที่ กรมสอบคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยไม่แวะลงบันทึกประจำวันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างที่ “ปุถุชนคนธรรมดา” ทำกันเสียด้วย
เรียกว่าไปไกลมาก กับประเด็นใหม่ที่ “ครูอ้อย” จุดพลุขึ้นมา ตลอดจนการที่บอกว่า ข้อมูลที่ “ไอ้โม่ง” ขู่ไว้เริ่มทยอยออกมาในโลกโซเชียลแล้ว .. อย่าง “ข้อกล่าวหา” ว่า ไสว ณ พัทลุง พ่อของ “ครูอ้อย” เป็น “คนเสื้อแดง” จริงๆ แล้ว “ครูอ้อย” คงทำความเข้าใจใหม่ว่า เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ “ข้อกล่าวหา” หากแต่เป็น “ข้อเท็จจริง” ต่างหาก จากร่องรอยในอดีตจนถึงปัจจุบันของ “คุณพ่อไสว” เอง .. เช่นเดียวกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า หลักสูตรแพงระยับของ “ครูอ้อย” เป็นการหาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ใช้อาการจิตตก “ไร้ที่พึ่ง - ต้องการที่ยึดเหนี่ยว” กระทั่งการนำภาพ หรือแอบอ้างชื่อเหล่าดาราศิลปิน ไม่ว่าจะเป็นเช่น “เอ๋ มณีรัตน์ - ครูเงาะ รสสุคนธ์ - ปอย ตรีชฎา - อุ๋ย บุดด้าเบลส” มาโปรโมต สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง และหลักสูตร “โดยไม่ได้รับอนุญาต” .. อีกทั้งประเด็น “จรรยาบรรณ” ที่ใช้โมเดลเดียวกับ “ลัทธิจานบิน” มิผิดเพี้ยน อ้างหลักคำสอนทางศาสนา ว่าเป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จร่ำรวย .. ข้อสงสัยเหล่านี้กลับไม่มีการพูดถึง จากการแถลงข่าว หรือควรเป็นการชี้แจงปมที่ “ครูอ้อย” โดนเท และกำลังถูกกระแสรุมกระหน่ำ กลายเป็น “ดรามา” เรียกคะแนนสงสารไปซะนี่
** “มือบึ้มวงษ์สุวรรณ” แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ระเบิดการเมืองจับมือใครดมไม่ได้ ยังมีอีกเพียบ
แม้จะมีความไม่เป็นธรรมชาติเจืออยู่ แต่นับวันข้อมูลที่ไหลออกมาจากเจ้าหน้าที่ก็ยิ่งชัดเจนว่า วัฒนา ภุมเรศ อดีตวิศวกรไฟฟ้า วัย 62 ปี คือ “มือระเบิดตัวจริง” ที่ก่อเหตุวางระเบิดที่ “ห้องวงษ์สุวรรณ รพ.พระมงกุฎเกล้า” .. ด้วยมูลเหตุการก่อเหตุที่ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน จากพื้นฐานของผู้ต้องหาที่ “ฝักใฝ่การเมือง - เคียดแค้นทหาร” .. แม้ข้อมูลหลักฐานที่ไหลออกมาจะค่อนข้าง “มัดแน่น” มีน้ำหนักเพียงพอ จนศาลได้อนุมัติหมายจับรวม 5 หมาย แต่ข้อสงสัย “จับแพะ” ก็ยังไม่คลายจาก “อีกฝ่าย” .. ที่น่าแปลกไม่น้อย ก็การทำงานของเจ้าหน้าที่ ที่ดูโป๊ะเชะลงตัวไปหมด แต่ “ผู้รับผิดชอบหลัก” อย่าง “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดคลี่คลายคดี ก็ยัง “ตีบทแตก” ทำท่าไม่รู้ไม่เห็นการเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยได้อย่างแนบเนียนสุดๆ ย้อนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ยังบอกว่าผลการสืบสวนคืบหน้าแค่ 1 เปอร์เซ็นต์
และแม้ข้อมูลที่ออกมาจนถึงขณะนี้ เป็นไปในลักษณะ “คำกล่าวอ้าง” จากเจ้าหน้าที่ ว่า คนร้าย “รับสารภาพ” ว่า เป็นผู้ก่อเหตุจริง และ “ลงมือคนเดียว” แต่ก็ลำดับขั้นตอนการวางแผน - การเข้าทำอย่างเห็นภาพ บวกกับภาพจากกล้องวงจรปิด ที่เคย “สับขาหลอก” ว่า เสียไปหลายตัวในวันเกิดเหตุ ก็ปรากฏภาพผู้ต้องหาอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ ตลอดจนการเดินทางเข้าออก รพ.พระมงกุฎฯ ไปถึงบ้านพัก .. ต้องยอมรับว่า หลายๆ อย่างก็ดูจะเหนือความคาดหมายพอสมควร โดยเฉพาะการซ่องสุมวัสดุอุปกรณ์ประกอบการทำระเบิดไว้ในบ้านพัก ทั้งที่ข่าวสะพัดไปทั่ว ว่า เจ้าหน้าที่กำลังไล่ล่าบุคคลต้องสงสัยเดินถือถุงอยู่ใน รพ. ก่อนเกิดเหตุ .. แบบนี้ไม่โง่ก็บ้า หรืออาจจะ “ย่ามใจ” ว่าอย่างไรเสียก็สาวมาไม่ถึงตัวเอง เฉกเช่นเหตุการณ์ระเบิดอย่างน้อย 3 ครั้ง เมื่อปี 2550 ที่เจ้าตัวสารภาพว่า เป็นผู้ลงมือเอง แต่ก็ลอยนวลมาเป็น 10 ปี .. อาจเป็นเพราะความสามารถพิเศษในการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ ทำให้ผู้ต้องหาย้อนไปสารภาพความผิดที่ก่อไว้ เมื่อ 10 ปีก่อน ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึงด้วยซ้ำ
ยังมีความขมุกขมัวในความชัดเจน ที่มาจากการใช้ “อำนาจพิเศษ” ในการจับกุมนายวัฒนา ทั้งการไม่มีหมายค้น หรือหมายจับ การใช้ มาตรา 44 ควบคุมตัวเข้า “ค่ายทหาร” ทันที ที่แม้จะเป็นไปเพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ แต่ก็ทำให้ผู้คนมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถามถึง “ความไม่เป็นธรรมชาติ” ที่เกิดขึ้นเหมือนกัน .. เพราะในทางกลับกัน ก็ได้สร้างความคลุมเครืออันนำมาสู่ความเคลือบแคลงสงสัย โดยเฉพาะความลงตัวในเรื่อง “รสนิยมทางการเมือง” อย่าง “นาฬิกาทักษิณ” หรือ “สายคล้องบัตรทักษิณ” ที่โผล่อยู่ในที่พัก ดูจะจงใจไปหน่อย .. กระทั่งไปป์บอมบ์ พร้อมใช้งานอีก 4 ลูก ที่มีเหตุผลมารองรับทันทีว่า “มือระเบิด” เตรียมก่อเหตุในวันสำคัญ หรือ “วันสัญลักษณ์” ตลอดจนมี “รพ.ศิริราช” เป็นหนึ่งในเป้าหมายก่อเหตุในอนาคต .. ที่ทุกฝ่ายต่างไม่เชื่อเลย คงเป็นประเด็น “ข้ามาคนเดียว” ที่เจ้าหน้าที่บอกว่า นายวัฒนา ยืนยันหลายครั้งว่า คิดเอง ทำเอง วางแผนเอง ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ถือเป็นโจทย์ที่ “ฝ่ายรัฐ” ต้องไขให้ออกว่า จริงตามคำให้การหรือไม่ หรือจริงๆ แล้ว “วัฒนา” เป็นแค่หมากตัวเดียวที่โดนจับได้เท่านั้น เพราะนอกจากเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ กทม. รวม 6 ครั้ง ที่เจ้าตัวแสดงความรับผิดชอบ .. อย่าลืมว่า ยังมีเหตุการณ์ระเบิดที่ยังจับมือใครดมไม่ได้อีกเกือบร้อยครั้ง เอาแค่ 3 ปีของ คสช. ก็หลายสิบครั้งแล้ว ขณะเดียวกัน “ขบวนการลักลอบขนอาวุธ” ที่ขนผ่านแนวชายแดนฝั่งบูรพาทิศ กันอย่างโจ๋งครึ้มก็เงียบไปเลย
** ธรรมาภิบาล สไตล์ คสช. ม.44 ทุบโต๊ะ ดันรถไฟไทย-จีน งดเว้นใช้ พ.ร.บ. ฮั้วประมูล เฉยเลย
กลายเป็นศึกอีกด้าน ที่รัฐบาล คสช. ต้องเผชิญ .. หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ใช้อำนาจ มาตรา 44 ของหัวหน้า คสช. สั่งเดินหน้ารถไฟไทย - จีน .. หลักใหญ่ใจความ คือ เปิดทางให้ “วิศวกรจีน - สถาปนิกจีน” ไม่อยู่ในบังคับกฎหมายไทย แถมยกเว้น “พ.ร.บ. ฮั้วประมูล” เสียด้วย .. ถือเป็นการใช้อำนาจ มาตรา 44 ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักอีกครั้ง ย้อนแย้งกับ “เหตุผล” ที่ให้ไว้ในคำสั่งที่ว่าด้วย “...ในขณะที่จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ รัดกุม โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และสามารถเร่งรัดการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จได้โดยเร็ว จึงจำเป็นต้องกำหนดขั้นตอนและหลักเกณฑ์วิธีการไว้เป็นกรณีพิเศษ...” อย่างเห็นได้ชัด .. แถมในคำสั่ง ม.44 ล่าสุดนี้ ยัง “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” ย้อนไปยกเว้นคำสั่งตั้งซูเปอร์บอร์ด จัดซื้อจัดจ้าง ที่เคยประกาศไว้ในช่วงต้นๆ ที่เข้ามามีอำนาจอีกด้วย ซึ่งเคยอ้างว่าเพื่อ “ความโปร่งใส” ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอีกต่างหาก
จนมีคำถามดังๆ มาจาก มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ในแง่ของความโปร่งใส การยอมรับกลไกตรวจสอบ .. พร้อมๆ กับเรื่องก่นด่าจากสมาคมวิชาชีพ ทั้งวิศวกร - สถาปนิกชาวไทย ที่ไม่พอใจ “สิทธิพิเศษ” ที่รัฐบาลไทยประเคนให้กับประเทศจีน จนคาดว่า ทั้งโครงการจะมีทั้ง “วิศวกรจีน - สถาปนิกจีน - แรงงานจีน” แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ .. เป็นที่มาของคำตัดพ้อแรงๆ ที่ว่า “เหลือกระดูกไว้ให้คนไทยแทะบ้างเถอะ” .. ท่ามกลางกระแสข่าวหนาหูที่ว่า มีการตกลงสิทธิประโยชน์ข้างทางของรถไฟความเร็วสูง ให้กับทางจีนอีกต่างหาก .
ช.ชฎา