ข่าวปนคน คนปนข่าว
** เปิดเหตุ“ครูอ้อย”เจาะจง“ดีเอสไอ”แทนพึ่งตำรวจ จงใจฟ้องผิดศาล เลี่ยงโดนย้อนศร“แจ้งความเท็จ”เล่นใหญ่บีบน้ำตา ตัดจบดราม่า โผล่ไปขายคอร์สต่อ
พอแล้วกับประเทศนี้ .. เป็นคำตัดพ้อชนิดไร้“พลังบวก”ของ“ครูอ้อย”ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือ และเจ้าของคอร์สอบรม“เข็มทิศชีวิต”ที่กำลังมีดราม่า กรุ่นๆอยู่ในตอนนี้ .. ก่อนหน้านี้ “ครูอ้อย”อ้างว่า ตัวเองถูกข่มขู่เพื่อกรรโชกทรัพย์เป็นเงิน 11 ล้านบาท พร้อมข่มขู่ด้วยว่า จะใส่ร้ายในทางเสียหาย แลกกับการให้ยุติการสอนคอร์สชื่อดัง .. จึงได้เดินทางเข้ามอบเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) .. ใครได้ติดตามก็จะเห็นได้ว่า มีการเซตอัพ-วางสคริปต์มาพอสมควร บวกกับ“ครูอ้อย”ที่เล่นใหญ่รัชดาลัย เค้นน้ำตาออกมาในการแถลงข่าว .. ไม่ใช่เพิ่มเติมแค่น้ำตา ยังมี “ตัวละครลับ”งอกออกมาจากการแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนพอสมควร ทั้งคลิปเสียงการวางแผนของ “แก๊งแบล็กเมล์”ที่มี “ผู้ที่ขอกันตัวเป็นพยาน”บันทึกไว้ หรือคลิปเสียง“อดีตผู้ร่วมแก๊งแบล็กเมล์” แล้วก็ยังมีเบาะแสที่เชื่อมโยงไปถึง “อดีตศิษย์เก่า”ของ “ครูอ้อย”อีกด้วย .. เท่าที่สำรวจฟีดแบ็กของผู้ที่ติดตาม“ดราม่าเข็มทิศ”ต่างก็ลงความเห็นว่า แม้ตัวละครจะตีบทแตกกระจุย แต่ “สคริปต์ไม่แน่น–บทไม่เนียน”
โดยเฉพาะความพยายามเชื่อมโยงว่า ตอนนี้มี“ลูกศิษย์คิดล้างครู”ที่เป็นข้อหาเก่า ที่น่าจะเหมาะสมกับตัว“ครูอ้อย”จากวีรกรรมในอดีต ที่มีข้อพิพาทไปกล่าวหา พระปราโมทย์ ปาโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม ผู้เป็นอาจารย์ มากกว่า .. และด้วยหลักฐานที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และสื่อมวลชน อ้างว่าได้ส่งมอบให้ “ดีเอสไอ”ไปหมดแล้ว ก็ยิ่งทำให้คิดกันไปได้ว่า งานนี้ต้อมีอะไรในกอไผ่ .. อีกทั้งคำถามว่า แค่กรณีข่มขู่กรรโชกทรัพย์ เป็นอำนาจของ“ดีเอสไอ”หรือ น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตามปกติ แค่“เจ้าทุกข์”รู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น ก็คงไม่น่าจะทำให้กลายเป็น“คดีพิเศษ”ได้ .. จนคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่า เหตุที่ “ครูอ้อย”ตีมึนมา“ฟ้องผิดศาล”เช่นนี้ คงมีเส้นสายคอนเนกชั่นกับ “บิ๊กดีเอสไอ”เป็นแน่ .. แต่ไม่ทันไรก็“โป๊ะแตก”ต้องสะดุดที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ ออกมายืนยันอีกเสียงว่า คดีแบบนี้น่าจะเป็นความรับผิดชอบของ“เจ้าหน้าที่ตำรวจ”มากกว่า ..
วิเคราะห์แบบไม่ลงลึกก็พอสรุปได้ว่า เหตุที่เลือกมาแวะป้าย“ดีเอสไอ”ก็เพราะเกรงว่า หากฟ้องถูกศาล ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับทางตำรวจ เรื่องราวจะยิ่งบานปลาย หากเป็นคดีความขึ้นมา คงไม่รอด“ข้อหาแจ้งความเท็จ”ตั้งแต่ในชั้นสอบสวน .. ก็เลยเลือกพึ่ง“ดีเอสไอ”แล้วก็ประกาศทันทีว่า“จะหยุด เพราะครูเบื่อเอง พอแล้วกับประเทศนี้”ตัดจบไปแบบห้วนๆ .. แต่ช้าก่อนคะคุณ ไม่ทันไรก็ไปโพสต์เฟซ ขายคอร์สใหม่ที่จะจัดช่วงต้นเดือนหน้า เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น .. วลีดัง “ครูอ้อย”ที่ว่า“จะมาร้องไห้ทำไม!! เราต้องคิดถึงความสุขสิ !!”ลอยขึ้นมาเลย
** เมื่อ“บิ๊กตำรวจ”บอก“เซ็งลี้ตำรวจ”ไม่มีจริง “ผบ.แป๊ะ”คงคิดไปเอง สั่งย้ายผู้การภาค 8 ไม่เท่าไร ยังสั่งสอบ“ตำรวจสุราษฎร์”อีกเป็นหางว่าว
เหมือนอยู่คนละประเทศ .. เห็นพล.ต.อ.สุวิระ ทรงเมตตา ที่ปรึกษา สบ.10 ในฐานะสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) พูดในที่ประชุม สปท. ถึงข้อกล่าวหาการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ ที่ วิทยา แก้วภราดัย อดีต สปท. ออกมาเปิดโปงแบบ“ขาวเป็นดำ”ว่า ได้ตรวจสอบจากเพื่อนตำรวจ รุ่นพี่ รุ่นน้อง 300 คน ลูกศิษย์ตำรวจอีก 3 หมื่นคน ระบุตรงกันว่า ไม่มีใครจ่ายเงิน และไม่มีใครรับเงินจากการซื้อขายตำแหน่งเลย .. เอากับท่านสิ แล้วก็ยังบอกอีกว่า ตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กำกับดูแล สตช. และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มีหู มีตา ก็รู้ดีว่า ไม่มีขบวนการเซ็งลี้ตำรวจ อย่างที่โจษจันกัน .. ถ้าเป็นอย่างที่ “ท่านสุวิระ”ว่าไว้จริง ก็น่าแปลกใจว่า ทำไม ผบ.ตร. ต้องมีคำสั่งโยกย้าย พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (ผบช.ภ.8) และตั้งคณะกรรมการสอบนั้น แล้วก็ยังมีคำสั่งเรียก“ตำรวจสุราษฎร์”10 กว่านาย เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จริงอีกล่ะท่าน .. จู่ๆมาล้งเล้งแล้วทำ“อินโนเซ้นท์”บอกว่า ไม่เคยมีการซิ้อขาย แม้แต่เด็กประถมก็คงถือว่าเป็นเรื่องโจ๊ก ไม่ต่างกับที่เคยมี นายตำรวจใหญ่บอกว่า ตำรวจไทย 99 เปอร์เซ็นต์ เป็นตำรวจดีหรอก .. อย่าให้ต้องรื้อถึง“ฟาร์มโชคชัย”นะ หึหึ
** “รถไฟไทย” สไตล์ วัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอก
อุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ .. ช่วงเช้าเมื่อวานก็เกิดเหตุสลด“สาวท้อง”พลัดตกราง“แอร์พอร์ตลิงค์”สถานีบ้านทับช้าง จนศรีษะกระแทกราง-ขบวนรถทับดับ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด .. แต่เกิดแล้วก็ต้องหาทางป้องกัน เหมือนลูกเข้าทาง วิสุทธิ์ จันมณี ผู้บริหาร บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด ในฐานะผู้รับผิดชอบแอร์พอร์ตลิงค์ แถลงทันที เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย เพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำชานชาลา เดินหน้าประมูลติดตั้ง “ประตูกั้นชานชาลา”ทุกสถานี .. เหลือเชื่อว่า“แอร์พอร์ตลิงค์”ที่เปิดมาหลายปี แต่ก็เป็นรถไฟฟ้าสายใหม่ล่าสุดของประเทศ กลับไม่ได้ออกแบบให้มีประตูกั้นไว้ตั้งแต่แรก มีแค่ 2 จาก 9 สถานีเท่านั้น .. และจริงๆ ก็ได้มีการวางแผนติดตั้งประตูกั้นในทุกสถานีไว้อยู่แล้ว มูลค่างบประมาณ 200 ล้านบาท แต่ติดอยู่ที่กระบวนการจัดซื้อ จัดจ้าง พอเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต ก็เด้งดึ๋งกันทันควัน มั่นใจว่าประมูลจะเสร็จตามแผนเดือนส.ค.นี้ ติดตั้งแล้วเสร็จเดือน มี.ค.-เม.ย. 61 .. วัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอก สไตล์รถไฟไทยจริงๆ ก็อย่าปล่อยให้เหมือนมาตรการล้อมคอกอุบัติเหตุตามแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า ทั้งของ รฟม.-ร.ฟ.ท. ที่ดูจะเงียบๆ ไปล่ะท่าน
** กระทรวงกีฬายุค คสช. เรื่องเอาหน้าขอให้บอก ประกาศเป็น“ฮับกีฬาเอเชีย”แต่ไม่ให้ความสำคัญ“กีฬาแห่งชาติ”
เรามาถึงจุดนี้ได้ไง !? วันนี้แล้วจะมีการเปิด การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 ที่งวดนี้ จ.สงขลา รับเป็นเจ้าภาพในชื่อ "สงขลาเกมส์" .. เชื่อไหมว่า พิธีเปิดงานมีชื่อ ชวนี ทองโรจน์ ผู้ช่วย รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธี จนอดแปลกใจไม่ได้ว่า คำว่า “แห่งชาติ”ที่ถือเป็นมหกรรมกีฬารายการใหญ่ที่สุดของประเทศ ไม่ได้รับการเหลียวแลจาก“ผู้ใหญ่ในรัฐบาล” .. ในอดีตประธานเปิดงานกีฬาแห่งชาติไม่ระดับนายกฯ ก็ต้องเป็นระดับรองนายกฯ หรือพอให้รัฐมนตรีมาได้ พอกล้อมแกล้ม .. หนนี้ก็ไม่รู้บิ๊กๆ ติดภารกิจอะไรหนักหนา โยนมาไม่รู้กี่ขั้น ลดเกรดมาเหลือ “ผู้ช่วยรัฐมนตรี”ซะนี่ .. ช่างย้อนแย้งกับที่ “มาดามน้อง”กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เพิ่งประกาศชูประเทศไทยให้เป็น ศูนย์กลางกีฬาของอาเซียน-เอเชีย เป็นฮับกีฬาของภูมิภาค .. แต่กลับไม่ให้ความสำคัญกับมหกรรมกีฬารายการใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งปีนี้จะเป็นเวทีคัดเลือกนักกีฬาที่จะไปแข่งในกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศมาเลเซีย ช่วงเดือน ส.ค.นี้เสียด้วย
ตอกย้ำให้เห็นว่า “กระทรวงกีฬา”ยุคนี้เน้นแค่การเกาะแสฉาบฉวยมากกว่าการเสริมสร้างพัฒนากีฬาและนักกีฬาอย่างจริงจัง และเป็นระบบ .. เห็นได้ชัดจากอาการ“ห้อย-โหน”กระแสในเวลาที่นักกีฬาไปสร้างชื่อ ประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับโลก ที่แม้จะภารกิจรัดตัวเพียงใด ก็จะเห็นภาพ “รัฐมนตรีกอบกาญจน์”ไปต้อนรับนักกีฬาถึงประตูทางออกสนามบิน .. ดูอย่างสมัยที่ “น้องเมย์”รัชนก อินทนนท์ นัดแบดมินตันสาว มือ 1 ของไทย ทะยานขึ้นสู่มือ 1 โลกได้สำเร็จ เมื่อปีกลาย ทั้งที่ “มาดามน้อง”ติดภารกิจต้องไปต่างประเทศ ก็ยังเลื่อนไฟลท์ เพื่อนำตัว“น้องเมย์”เข้าทำเนียบรัฐบาลไปตีแบดกับ“นายกฯลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาแล้ว .. รายถัดไปก็คงไม่พ้น “โปรเม”เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวมือ 1 ของโลกชาวไทย ที่หากมีโอกาสแวะกลับประเทศ คงหนีไม่พ้นโดนฉกตัวจากสนามบิน ให้ไปพบ “บิ๊กรัฐบาล”เพื่อเป็นหน้า เป็นตา ราวกลับเป็นผลงานการสนับสนุนอย่างไง อย่างงั้น .. นี่ยังไม่รวมปัญหาที่ผู้หลักผู้ใหญ่ไปเชิญชวนสมาพันธ์กีฬาระดับโลกมาตั้งในไทย แล้วไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ จนถูกตราหน้าเป็น“สมาพันธ์เถื่อน”หรืออย่างข่าว นักมวยสากลชุดโอลิมปิก ต้องกินข้าวคลุกน้ำปลา ในระหว่างเก็บตัวที่ประเทศคิวบา ก็อีก .
ช.ชฎา
** เปิดเหตุ“ครูอ้อย”เจาะจง“ดีเอสไอ”แทนพึ่งตำรวจ จงใจฟ้องผิดศาล เลี่ยงโดนย้อนศร“แจ้งความเท็จ”เล่นใหญ่บีบน้ำตา ตัดจบดราม่า โผล่ไปขายคอร์สต่อ
พอแล้วกับประเทศนี้ .. เป็นคำตัดพ้อชนิดไร้“พลังบวก”ของ“ครูอ้อย”ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือ และเจ้าของคอร์สอบรม“เข็มทิศชีวิต”ที่กำลังมีดราม่า กรุ่นๆอยู่ในตอนนี้ .. ก่อนหน้านี้ “ครูอ้อย”อ้างว่า ตัวเองถูกข่มขู่เพื่อกรรโชกทรัพย์เป็นเงิน 11 ล้านบาท พร้อมข่มขู่ด้วยว่า จะใส่ร้ายในทางเสียหาย แลกกับการให้ยุติการสอนคอร์สชื่อดัง .. จึงได้เดินทางเข้ามอบเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้แก่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) .. ใครได้ติดตามก็จะเห็นได้ว่า มีการเซตอัพ-วางสคริปต์มาพอสมควร บวกกับ“ครูอ้อย”ที่เล่นใหญ่รัชดาลัย เค้นน้ำตาออกมาในการแถลงข่าว .. ไม่ใช่เพิ่มเติมแค่น้ำตา ยังมี “ตัวละครลับ”งอกออกมาจากการแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนพอสมควร ทั้งคลิปเสียงการวางแผนของ “แก๊งแบล็กเมล์”ที่มี “ผู้ที่ขอกันตัวเป็นพยาน”บันทึกไว้ หรือคลิปเสียง“อดีตผู้ร่วมแก๊งแบล็กเมล์” แล้วก็ยังมีเบาะแสที่เชื่อมโยงไปถึง “อดีตศิษย์เก่า”ของ “ครูอ้อย”อีกด้วย .. เท่าที่สำรวจฟีดแบ็กของผู้ที่ติดตาม“ดราม่าเข็มทิศ”ต่างก็ลงความเห็นว่า แม้ตัวละครจะตีบทแตกกระจุย แต่ “สคริปต์ไม่แน่น–บทไม่เนียน”
โดยเฉพาะความพยายามเชื่อมโยงว่า ตอนนี้มี“ลูกศิษย์คิดล้างครู”ที่เป็นข้อหาเก่า ที่น่าจะเหมาะสมกับตัว“ครูอ้อย”จากวีรกรรมในอดีต ที่มีข้อพิพาทไปกล่าวหา พระปราโมทย์ ปาโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม ผู้เป็นอาจารย์ มากกว่า .. และด้วยหลักฐานที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ และสื่อมวลชน อ้างว่าได้ส่งมอบให้ “ดีเอสไอ”ไปหมดแล้ว ก็ยิ่งทำให้คิดกันไปได้ว่า งานนี้ต้อมีอะไรในกอไผ่ .. อีกทั้งคำถามว่า แค่กรณีข่มขู่กรรโชกทรัพย์ เป็นอำนาจของ“ดีเอสไอ”หรือ น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตามปกติ แค่“เจ้าทุกข์”รู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่น ก็คงไม่น่าจะทำให้กลายเป็น“คดีพิเศษ”ได้ .. จนคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่า เหตุที่ “ครูอ้อย”ตีมึนมา“ฟ้องผิดศาล”เช่นนี้ คงมีเส้นสายคอนเนกชั่นกับ “บิ๊กดีเอสไอ”เป็นแน่ .. แต่ไม่ทันไรก็“โป๊ะแตก”ต้องสะดุดที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ ออกมายืนยันอีกเสียงว่า คดีแบบนี้น่าจะเป็นความรับผิดชอบของ“เจ้าหน้าที่ตำรวจ”มากกว่า ..
วิเคราะห์แบบไม่ลงลึกก็พอสรุปได้ว่า เหตุที่เลือกมาแวะป้าย“ดีเอสไอ”ก็เพราะเกรงว่า หากฟ้องถูกศาล ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับทางตำรวจ เรื่องราวจะยิ่งบานปลาย หากเป็นคดีความขึ้นมา คงไม่รอด“ข้อหาแจ้งความเท็จ”ตั้งแต่ในชั้นสอบสวน .. ก็เลยเลือกพึ่ง“ดีเอสไอ”แล้วก็ประกาศทันทีว่า“จะหยุด เพราะครูเบื่อเอง พอแล้วกับประเทศนี้”ตัดจบไปแบบห้วนๆ .. แต่ช้าก่อนคะคุณ ไม่ทันไรก็ไปโพสต์เฟซ ขายคอร์สใหม่ที่จะจัดช่วงต้นเดือนหน้า เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น .. วลีดัง “ครูอ้อย”ที่ว่า“จะมาร้องไห้ทำไม!! เราต้องคิดถึงความสุขสิ !!”ลอยขึ้นมาเลย
** เมื่อ“บิ๊กตำรวจ”บอก“เซ็งลี้ตำรวจ”ไม่มีจริง “ผบ.แป๊ะ”คงคิดไปเอง สั่งย้ายผู้การภาค 8 ไม่เท่าไร ยังสั่งสอบ“ตำรวจสุราษฎร์”อีกเป็นหางว่าว
เหมือนอยู่คนละประเทศ .. เห็นพล.ต.อ.สุวิระ ทรงเมตตา ที่ปรึกษา สบ.10 ในฐานะสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) พูดในที่ประชุม สปท. ถึงข้อกล่าวหาการซื้อขายตำแหน่งตำรวจ ที่ วิทยา แก้วภราดัย อดีต สปท. ออกมาเปิดโปงแบบ“ขาวเป็นดำ”ว่า ได้ตรวจสอบจากเพื่อนตำรวจ รุ่นพี่ รุ่นน้อง 300 คน ลูกศิษย์ตำรวจอีก 3 หมื่นคน ระบุตรงกันว่า ไม่มีใครจ่ายเงิน และไม่มีใครรับเงินจากการซื้อขายตำแหน่งเลย .. เอากับท่านสิ แล้วก็ยังบอกอีกว่า ตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กำกับดูแล สตช. และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มีหู มีตา ก็รู้ดีว่า ไม่มีขบวนการเซ็งลี้ตำรวจ อย่างที่โจษจันกัน .. ถ้าเป็นอย่างที่ “ท่านสุวิระ”ว่าไว้จริง ก็น่าแปลกใจว่า ทำไม ผบ.ตร. ต้องมีคำสั่งโยกย้าย พล.ต.ท.เทศา ศิริวาโท ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (ผบช.ภ.8) และตั้งคณะกรรมการสอบนั้น แล้วก็ยังมีคำสั่งเรียก“ตำรวจสุราษฎร์”10 กว่านาย เข้าให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จริงอีกล่ะท่าน .. จู่ๆมาล้งเล้งแล้วทำ“อินโนเซ้นท์”บอกว่า ไม่เคยมีการซิ้อขาย แม้แต่เด็กประถมก็คงถือว่าเป็นเรื่องโจ๊ก ไม่ต่างกับที่เคยมี นายตำรวจใหญ่บอกว่า ตำรวจไทย 99 เปอร์เซ็นต์ เป็นตำรวจดีหรอก .. อย่าให้ต้องรื้อถึง“ฟาร์มโชคชัย”นะ หึหึ
** “รถไฟไทย” สไตล์ วัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอก
อุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ .. ช่วงเช้าเมื่อวานก็เกิดเหตุสลด“สาวท้อง”พลัดตกราง“แอร์พอร์ตลิงค์”สถานีบ้านทับช้าง จนศรีษะกระแทกราง-ขบวนรถทับดับ เป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด .. แต่เกิดแล้วก็ต้องหาทางป้องกัน เหมือนลูกเข้าทาง วิสุทธิ์ จันมณี ผู้บริหาร บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด ในฐานะผู้รับผิดชอบแอร์พอร์ตลิงค์ แถลงทันที เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย เพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำชานชาลา เดินหน้าประมูลติดตั้ง “ประตูกั้นชานชาลา”ทุกสถานี .. เหลือเชื่อว่า“แอร์พอร์ตลิงค์”ที่เปิดมาหลายปี แต่ก็เป็นรถไฟฟ้าสายใหม่ล่าสุดของประเทศ กลับไม่ได้ออกแบบให้มีประตูกั้นไว้ตั้งแต่แรก มีแค่ 2 จาก 9 สถานีเท่านั้น .. และจริงๆ ก็ได้มีการวางแผนติดตั้งประตูกั้นในทุกสถานีไว้อยู่แล้ว มูลค่างบประมาณ 200 ล้านบาท แต่ติดอยู่ที่กระบวนการจัดซื้อ จัดจ้าง พอเกิดเหตุมีผู้เสียชีวิต ก็เด้งดึ๋งกันทันควัน มั่นใจว่าประมูลจะเสร็จตามแผนเดือนส.ค.นี้ ติดตั้งแล้วเสร็จเดือน มี.ค.-เม.ย. 61 .. วัวหายแล้วค่อยมาล้อมคอก สไตล์รถไฟไทยจริงๆ ก็อย่าปล่อยให้เหมือนมาตรการล้อมคอกอุบัติเหตุตามแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า ทั้งของ รฟม.-ร.ฟ.ท. ที่ดูจะเงียบๆ ไปล่ะท่าน
** กระทรวงกีฬายุค คสช. เรื่องเอาหน้าขอให้บอก ประกาศเป็น“ฮับกีฬาเอเชีย”แต่ไม่ให้ความสำคัญ“กีฬาแห่งชาติ”
เรามาถึงจุดนี้ได้ไง !? วันนี้แล้วจะมีการเปิด การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 45 ที่งวดนี้ จ.สงขลา รับเป็นเจ้าภาพในชื่อ "สงขลาเกมส์" .. เชื่อไหมว่า พิธีเปิดงานมีชื่อ ชวนี ทองโรจน์ ผู้ช่วย รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธี จนอดแปลกใจไม่ได้ว่า คำว่า “แห่งชาติ”ที่ถือเป็นมหกรรมกีฬารายการใหญ่ที่สุดของประเทศ ไม่ได้รับการเหลียวแลจาก“ผู้ใหญ่ในรัฐบาล” .. ในอดีตประธานเปิดงานกีฬาแห่งชาติไม่ระดับนายกฯ ก็ต้องเป็นระดับรองนายกฯ หรือพอให้รัฐมนตรีมาได้ พอกล้อมแกล้ม .. หนนี้ก็ไม่รู้บิ๊กๆ ติดภารกิจอะไรหนักหนา โยนมาไม่รู้กี่ขั้น ลดเกรดมาเหลือ “ผู้ช่วยรัฐมนตรี”ซะนี่ .. ช่างย้อนแย้งกับที่ “มาดามน้อง”กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เพิ่งประกาศชูประเทศไทยให้เป็น ศูนย์กลางกีฬาของอาเซียน-เอเชีย เป็นฮับกีฬาของภูมิภาค .. แต่กลับไม่ให้ความสำคัญกับมหกรรมกีฬารายการใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งปีนี้จะเป็นเวทีคัดเลือกนักกีฬาที่จะไปแข่งในกีฬาซีเกมส์ที่ประเทศมาเลเซีย ช่วงเดือน ส.ค.นี้เสียด้วย
ตอกย้ำให้เห็นว่า “กระทรวงกีฬา”ยุคนี้เน้นแค่การเกาะแสฉาบฉวยมากกว่าการเสริมสร้างพัฒนากีฬาและนักกีฬาอย่างจริงจัง และเป็นระบบ .. เห็นได้ชัดจากอาการ“ห้อย-โหน”กระแสในเวลาที่นักกีฬาไปสร้างชื่อ ประสบความสำเร็จในการแข่งขันระดับโลก ที่แม้จะภารกิจรัดตัวเพียงใด ก็จะเห็นภาพ “รัฐมนตรีกอบกาญจน์”ไปต้อนรับนักกีฬาถึงประตูทางออกสนามบิน .. ดูอย่างสมัยที่ “น้องเมย์”รัชนก อินทนนท์ นัดแบดมินตันสาว มือ 1 ของไทย ทะยานขึ้นสู่มือ 1 โลกได้สำเร็จ เมื่อปีกลาย ทั้งที่ “มาดามน้อง”ติดภารกิจต้องไปต่างประเทศ ก็ยังเลื่อนไฟลท์ เพื่อนำตัว“น้องเมย์”เข้าทำเนียบรัฐบาลไปตีแบดกับ“นายกฯลุงตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาแล้ว .. รายถัดไปก็คงไม่พ้น “โปรเม”เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟสาวมือ 1 ของโลกชาวไทย ที่หากมีโอกาสแวะกลับประเทศ คงหนีไม่พ้นโดนฉกตัวจากสนามบิน ให้ไปพบ “บิ๊กรัฐบาล”เพื่อเป็นหน้า เป็นตา ราวกลับเป็นผลงานการสนับสนุนอย่างไง อย่างงั้น .. นี่ยังไม่รวมปัญหาที่ผู้หลักผู้ใหญ่ไปเชิญชวนสมาพันธ์กีฬาระดับโลกมาตั้งในไทย แล้วไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกจากภาครัฐ จนถูกตราหน้าเป็น“สมาพันธ์เถื่อน”หรืออย่างข่าว นักมวยสากลชุดโอลิมปิก ต้องกินข้าวคลุกน้ำปลา ในระหว่างเก็บตัวที่ประเทศคิวบา ก็อีก .
ช.ชฎา