เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าดาหน้าออกมาถล่มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบเข้มข้นก็ว่าได้สำหรับกลุ่มการเมืองและพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็น “ขั้วเก่า” อย่างพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร ที่แม้ว่าในอดีตจะคอยหาจังหวะปัดแข้งปัดขาทำลายจังหวะกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ในช่วงระยะนี้หากสังเกตจะเห็นว่าทยอยออกมาถล่มรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กันแบบต่อเนื่องไม่ขาดตอนกันเลย ซึ่งก็มีทั้ง “ขาประจำ” และ “ขาจร” ที่มักออกมาแบบตีหัวเข้าบ้านหายเงียบไปเลย
ส่วนอีกพวกหนึ่งก็เป็น “คนกันเอง” อย่างพรรคประชาธิปัตย์ที่มาในรูปของ กปปส. หรือในแบบแทงกั๊กทั้งสองบทบาทคร่อมกันอยู่ก็ต้องออกมาร่วมถล่มกับเขาด้วยเหมือนกัน เหตุผลก็เพื่อรักษาพื้นที่ รักษาบทบาทให้มวลชนได้รับรู้ว่าพวกเขายังมีตัวตนก่อนถึงเทศกาลเลือกตั้งในวันหน้า
หากโฟกัสไปที่ “ขั้วเก่า” ที่มีพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงกลุ่ม นปช. ที่เวลานี้ถ้าบอกว่า “ถล่มหนัก” ก็อาจกล่าวแบบนั้นก็ได้ เพราะแน่นอนว่าหากพิจารณาตามสถานะก็ต้องถือว่า “เริ่มลำบาก” เข้าไปทุกทีไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ทำเอาระดับ “หัวโจก” หลายคนขาดคุณสมบัติไล่ลงมาตั้งแต่หัวขบวน คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมไปถึงพวกระดับ “แถวหนึ่ง” แถวสอง ก็หมดอนาคตมิหนำซ้ำยังต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงถูกยึดทรัพย์กันจนขนหัวลุก แทบไม่มีสมาธิไปคิดทำเรื่องอื่นแล้ว
อย่างไรก็ดี เมื่อระดับเกรดเอ เกรดบี ถูกปิดทางอีกด้านหนึ่งมันก็เปิดช่องให้ “ลูกน้อง” ที่เคยอยู่นอกสายตา ระดับปลายๆ รวมทั้งพวกที่เคยกบดานรอจังหวะมานานได้เปิดตัวสร้างโอกาสเพื่อหวังก้าวเดินเข้ามาอยู่หัวแถวรอเป็น “หุ่นเชิด” รายใหม่ เมื่อพิจารณาจากรูปแบบมันก็ชี้ให้เห็นว่า “มีการแข่งขันสูง” เพื่อช่วงชิงการนำและขอเสียงสนับสนุนจากมวลชนข้างนอก ซึ่งก็แน่นอนว่า มันก็ต้องมาในรูปแบบ “ต้องถล่มผู้นำรัฐบาล” และ คสช.เท่านั้นมันถึงจะได้แต้ม
อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้มีหลายคนในพรรคเพื่อไทย ที่เห็นคุ้นหน้ากำลังทำแต้มอย่างสม่ำเสมอก็เห็นจะมี วัฒนา เมืองสุข ที่จากภาพลักษณ์ตัวแทนกลุ่มทุนใหญ่กลับกลายเป็นนักต่อสู้ชนชั้น เป็นนักสิทธิมนุษยชนหัวรุนแรงไปแบบไม่น่าเชื่อ ล่าสุดออกมาซัดรัฐบาล โจมตี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องความล้มเหลวด้านแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง โดยให้เปรียบเทียบกับยุคของทักษิณ ชินวัตร ที่อ้างว่า “เสกเงิน” ในกระเป๋าของชาวบ้านให้เพิ่มขึ้น เพื่อหาความนิยมทั้งจากมวลชน และจากเจ้าของพรรคคือทักษิณ ชินวัตร เพราะอีกด้านหนึ่งมันคือการแข่งขันเพื่อชิงเก้าอี้ในพรรคเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจที่ต้องเล่นให้แรงเท่านั้นเพื่อหวังให้ “เข้าตานาย”
แนวทางแบบนี้ก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่น หากยังหวังจะได้ลุ้นตำแหน่งและบทบาทในพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงการมีชื่อเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แม้ว่ายังไม่มีรายละเอียดของพระราชบัญญัตประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองจะออกมาที่มีหลักการไม่ให้นายทุน หรือใครมาครอบงำพรรคก็ตาม แต่อย่างน้อยการที่มีบทบาทโดดเด่นมันก็ย่อมได้เปรียบ
อีกฟากหนึ่งในขั้วพรรคประชาธิปัตย์ และในระดับแกนนำ กปปส.ที่เวลานี้ก็ออกมาเคลื่อนไหวในแบบเดียวกัน ก็คือ ถล่มรัฐบาลแบบถี่ยิบ ทั้งในเรื่องการทุจริต ล่าสุด วิทยา แก้วภราดัย ที่เคยร่วมเคลื่อนไหวกับ กปปส. ล่าสุด เพิ่งเป็นสมาชิก สปท. และลาออกกลับเข้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อรอลงสมัครรับเลือกตั้งก็เปิดแผลในเรื่อง “ซื้อขายตำแหน่ง” ในวงการตำรวจ แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานมานำเสนอกันแบบจะจะ แต่ของแบบนี้ปูดขึ้นมาคราวใดรับรองว่าชาวบ้านพยักหน้าคล้อยตามอยู่แล้ว เพราะเชื่อว่า “มีอยู่จริง”
ที่น่าจับตาก็คือ การออกโรงถล่มรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. และอดีตรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ โดยระบุให้รัฐบาลรีบแก้ปัญหาราคายางตกต่ำจนผิดปกติ ที่สำคัญชี้ว่า เป็นความล้มเหลวของ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งก็เป็นเพื่อนกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเรียกร้องให้ลาออกเพื่อให้มีการแต่งตั้งคนอื่นที่มีความสามารถเข้าไปแทน
หากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์จากพื้นที่ก็ไม่น่าแปลกใจว่านี่คือการเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นการ “ช่วงชิงมวลชน” เพื่อเป้าหมายในการเลือกตั้งคราวหน้า แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นความล้มเหลว หรือด้อยประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาของรัฐบาลจริงๆ จึงสามารถแทรกตัวเข้ามา อีกทั้งยังเป็นช่วงเริ่มขาลงของทั้งระดับผู้นำรัฐบาล และ คสช. ยิ่งถูกเขย่าซ้ำๆ แบบต่อเนื่องจากฝ่ายการเมืองมันก็น่าเป็นห่วงว่ากลุ่ม “อำนาจใหม่” ที่ไม่ชินกับเสียงวิจารณ์จะตบะแตกหรือไม่ ถ้าทนแรงยั่วยุไม่ไหวก็อาจซ้ำรอยเดิมในอดีตก็เป็นได้!