กกต.สัมมนายุทธศาสตร์ 20 ปี วางทิศทางนำประเทศสู่ ปชต.ที่มีคุณภาพ “สมชัย” ทำใจ เหลือเวลาน้อย ทำเต็มที่ก่อนถูกเซตซีโร่ ส่งมอบงานไม่มีวางยา ระบุ กกต.ต้องเป็นกลาง ไม่ใช่ถูกใครกินรวบ ย้ำ สอบคุณสมบัติ 9 รมต. ตามหน้าที่ ไร้อคติไม่มีเอาคืน ย้อน รมต. อ้างมาตาม รธน.เก่าต่างจาก กกต.ตรงไหน ถามเอาคนคุณสมบัติครบออกเป็นธรรมหรือไม่ ใช้มาตรฐานเดียวกับองค์กรอื่นหรือเปล่า
วันนี้ (8 มิ.ย.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนารับฟังความเห็นต่อร่างยุทธศาสตร์แผนสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560-2579 ภายใต้ทิศทางยุทธศาสตร์ 20 ปี กกต. ทุกเสียงมีสิทธิ สุจริตเที่ยงธรรม นำประชาธิปไตยคุณภาพ โดยกำหนด 5 ยุทธศาสตร์ คือ 1. การจัดการเลือกตั้งที่สะดวกและคุ้มค่าต่อประชาชน 2. การจัดการเลือกตั้งที่เป็นที่ยอมรับ 3. การจัดการเลือกตั้งที่ประชาชนมีส่วนร่วม 4. การส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งให้แก่พรรคการเมืองและองค์กรทางการเมือง และ 5. การพัฒนาองค์การสู่ความเป็นมืออาชีพ
นายสมชัยกล่าวว่า การทำแผนยุทธศาสตร์เป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดทิศทางและกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อดำเนินงานในอนาคต ซึ่งจะไม่เปลี่ยนไปตามผู้บริหารแต่เป็นการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อเป็นแผนแม่บทแสดงวิสัยทัศน์ของหน่วยงาน ซึ่งมีบางคนมองว่าเป็นการฝันไกลเกินไปหรือไม่ เพราะกำลังจะถูกเซ็ตซีโร่และไม่รู้ว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ แต่ในช่วงที่กกต.ชุดนี้ยังทำหน้าที่อยู่จะซอยยุทธศาสตร์ 20 ปี ออกเป็นช่วงละ 5 ปี และในตอนนี้จะต้องคิดถึงยุทธศาสตร์ที่สั้นลงเพราะไม่รู้ว่าจะมีการเซตซีโร่เมื่อไหร่ หากเซตซีโร่ก็น่าจะเหลือเวลาอีกประมาณ 4 เดือน จึงต้องมีการจัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด เพื่อส่งมอบงานที่ดีที่สุดให้แก่ กกต.ชุดใหม่ ไม่มีการวางยา หรืออู้งานใช้เวลาที่เหลือในการท่องเที่ยว จะใช้เวลาที่เหลือทำงานอย่างเต็มที่ และให้ กกต.ชุดใหม่มีเวลาประมาณหนึ่งปีในการเตรียมการเลือกตั้งซึ่งน่าจะเพียงพอ และเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญในการตอบปัญหาประเทศ ทั้งนี้การดำรงอยู่ของ กกต.ทั้ง 7 คนต้องมีความเป็นกลางไม่ได้มาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือถูกใครกินรวบ เพราะจะมีความหวาดระแวงในทุกเรื่อง จนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งที่ได้รับการยอมรับได้ ซึ่งมีบทเรียนจากการลงโทษ กกต.ที่ทำหน้าที่ไม่เป็นกลางมาแล้ว
นายสมชัยกล่าวว่า ไม่ค่อยสบายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น มีการวิจารณ์ว่า กกต.ยื้อ หรือเอาคืน จากกรณีที่มีการตรวจสอบ 9 รัฐมนตรี คำว่ายื้อไม่อยู่ในทัศนคติของตน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต้องพิจารณาบนหลักการที่ถูกต้อง คือ หลักนิติธรรมต่อคนที่มีคุณสมบัติครบแล้วถูกให้ออกไป หลักของความเป็นมาตรฐานถ้าใช้กับองค์กรนี้ต้องใช้กับองค์กรอื่นหรือไม่ หลักเรื่องปลาสองน้ำถูกต้องหรือไม่ เพราะปลาสองน้ำเกิดขึ้นในทุกองค์กร ตนไม่ได้ยื้อ แต่เล่าสิ่งที่เป็นเหตุผลให้สังคมตระหนักว่าเหตุผลที่ถูกต้องคืออะไร
ส่วนประเด็นที่บอกว่า กกต.เอาคืนนั้นยืนยันว่า กกต.ไม่ได้เอาคืน เพราะการตรวจสอบคุณสมบัติ 9 รัฐมนตรีนั้นเป็นไปตามคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ที่ยื่นเรื่องตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 60 และดำเนินการตามขั้นตอนมาโดยลำดับจนเข้าสู่การประชุมของ กกต.ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. ก่อนที่จะมีการเซตซีโร่ กกต.แต่ไม่ได้พิจารณาเพราะ กกต.อยู่ไม่ครบห้าคน ตนจึงมีคำถามว่าหากมีการพิจารณาในวันดังกล่าวแล้วมีการเซตซีโร่ในภายหลังจะเป็นการที่รัฐบาลเอาคืน กกต.หรือไม่ การดำเนินการจึงเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ไม่ใช่เป็นการเอาคืนเหมือนที่มีรัฐมนตรีบางคนเข้าใจ ส่วนที่มีรัฐมนตรีบางคนออกมาชี้แจงว่าตัวเองเข้ามาตามรัฐธรรมนูญเก่านั้น ในส่วนของ กกต.ก็มาภายใต้รัฐธรรมนูญเก่าแต่มีการกำหนดคุณสมบัติที่สูงขึ้นจึงบอกว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนตามรัฐธรรมนูญใหม่
“ที่บอกว่า การตรวจสอบคุณสมบัติ 9 รัฐมนตรีเป็นการเอาคืนของ กกต. เป็นการให้ความเห็นที่ไม่เข้าใจกฎหมายและบทบาทหน้าที่ของ กกต. ถ้า กกต.ไม่ทำก็จะถูกดำเนินคดีได้ เรื่องนี้ กกต.ดำเนินการตามขั้นตอนและจังหวะเวลาที่เหมาะสม จะบอกว่าเอาคืนไม่ได้ สมมติว่าถ้า กกต.มีมติให้มีกรรมการสอบสวนตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค.ก่อนที่จะมีการเซตซีโร่ ก็จะกลายเป็นว่าอีกฝ่ายเอาคืน ยืนยันว่าไม่มีอคติในการดำเนินการเรื่องนี้ แต่พิจารณาภายใต้เหตุผลและข้อมูล”
ส่วนที่มีการโต้แย้งว่า กกต.มีอำนาจหน้าที่หรือไม่นั้น ทางฝ่ายกฎหมายพิจารณาแล้วรัฐธรรมนูญระบุว่า ถ้าเป็นเรื่อง ส.ส., ส.ว. หรือรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติ เป็นหน้าที่ กกต. แต่ผู้ชี้ขาดคือศาลรัฐธรรมนูญ และที่มีการพูดว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหามาจากคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญเก่าทำไมต้องเดือดร้อนด้วยเมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่ ด้วยประโยคเดียวกัน องค์กรอิสระ หรือ กกต.เองก็มาภายใต้รัฐธรรมนูญเก่า แต่เมื่อมีการกำหนดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญใหม่ก็มีการคัดคนที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนออก ก็ต้องดำเนินการตามนั้น อย่างไรก็ตาม กกต.เป็นแค่บุรุษไปรษณีย์ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่ารัฐมนตรีจำเป็นต้องมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่