ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาเพิกถอนคำสั่งปลัดมหาดไทยปลดรองผู้ว่าฯ กำแพงเพชร ให้ มท.คืนสู่ตำแหน่งโดยไม่ต่ำกว่าเดิมใน 30 วัน ชี้สำนวนไต่สวน ป.ป.ช. ยังไม่พอฟังได้ว่าพบเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับจ้างเฉพาะ แถมไร้หลักฐานยืนยันได้ประโยชน์จากการอนุมัติ จึงถือไม่ได้ว่าทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง สั่งปลดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เจ้าตัวลั่นพร้อมกลับไปทำงาน ขอเป็นคดีตัวอย่าง เชื่อมีคนโดนเหมือนกัน
วันนี้ (6 มิ.ย.) ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งปลัดกระทรวงมหาดไทย สั่งปลด นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกำแพงเพชร ออกจากราชการ โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. 57 ซึ่งเป็นที่คำสั่งมีผลบังคับใช้ และให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายเพื่อให้นายจีระเกียรติกลับสู่ตำแหน่งโดยไม่ต่ำกว่าตำแหน่งเดิมภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องปลัดกระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งปลดนายจีระเกียรติ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผู้ว่ากำแพงเพชร ออกจากราชการ หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลว่านายจีระเกียรติกระทำผิดวินัยร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ จากเหตุสมัยที่นายจีระเกียรติ เป็นนายอำเภอสุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด และทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอสุวรรณภูมิรายงานเหตุด่วนสาธารณภัยอันเป็นเท็จ และอนุมัติให้ว่าจ้างผู้รับจ้างซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า คณะกรรมการเจรจาต่อรอง และตกลงราคาจ้างไม่ได้เจรจาต่อรองราคากับผู้รับจ้างทำให้ราชการเสียหายกว่า 9 ล้านบาท ซึ่งนายจีระเกียรติ เห็นว่าการสอบสวนในคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงได้ยื่นฟ้องปลัดกระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) และ ป.ป.ช. เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 ต่อศาลปกครองสูงสุด เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งปลดออกจากราชการดังกล่าว
ส่วนเหตุที่ศาลปกครองสุงสุด มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยคืนตำแหน่งให้กับนายจีระเกียรติ นั้น ศาลเห็นว่า การที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลนายจีระเกียรติ ว่า ผิดวินัยนั้นไม่ใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 223 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ 50 ที่ศาลปกครองจะไม่มีอำนาจตรวจสอบได้ ส่วนคำสั่งให้ปลดออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดือน ก.ย. 49 มีพายุดีเพรสชั่นเคลื่อนตัวเข้าใกล้ประเทศไทย มีผลต่อสภาพอากาศใน จ.ร้อยเอ็ด ทุกอำเภอมีการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เตรียมการป้องกันระมัดระวังอันตรายจากภัยธรรมชาติ เฝ้าระวังอุทกภัย นายจีระเกียรติ ได้รับรายงานจากกำนัน อ.สุวรรณภูมิ ว่าถนนชำรุดเสียหายสัญจรไม่ได้ และได้มอบหมายปลัดอำเภอลงสำรวจความเสียหาย ก่อนทำรายงานเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด การรายงานดังกล่าวจึงเป็นการรายงานตาม ตามสภาพจริงไม่ใช่การรายงานเท็จ
แม้ผลไต่สวนของคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. จะรับฟังได้ว่าปริมาณน้ำฝนไม่มากผิดปกติ แต่เป็นดุลพินิจของผู้ว่าฯ ร้อยเอ็ด ที่จะพิจารณาประกอบกับรายงานของหน่วยงานอื่น อีกทั้งที่อ้างว่า นายจีระเกียรติ อนุมัติให้ว่าจ้างผู้รับจ้าง ซ่อมแซมสิ่งสาธารณประโยชน์ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า คณะกรรมการเจรจาต่อรอง และตกลงราคาจ้างไม่ได้เจรจาต่อรองราคากับผู้รับจ้าง เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากสำนวนไต่สวนของป.ป.ช. ก็ยังไม่พอฟังได้คณะกรรมการเจรจาต่อรองและตกลงราคาจ้างเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้รับจ้างรายใดเป็นการเฉพาะ และไม่มีพยานหลักฐานยืนยันหรือพิสูจน์ได้ว่าการอนุมัติจัดจ้างผู้รับจ้างนั้น นายจีระเกียรติ ได้รับประโยชน์อื่นใดอันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายจากการอนุมัติ ทั้งหมดจึงถือไม่ได้ว่า นายจีระเกียรติกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์อันไม่ควรได้ ที่ถือเป็นทุจริตต่อหน้าที่ราชการตามมาตรา 82 วรรคสามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารข้าราชการพลเรือน 2535 ดังนั้น การที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 127/2557 ลงวันที่ 24 ก.พ. 57 เรื่องลดโทษนายจีระเกียรติจากไล่ออกจากการราชการ เป็นปลดออกจากการราชการ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับคดีอาญาที่ นายจีระเกียรติ ถูกอัยการฟ้องนั้น ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ก็ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 58 ให้ยกฟ้องนายจีระเกียรติ เนื่องจากเห็นว่า การกระทำของนายจีระเกียรติ กับพวก ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ หรือผู้ใด และไม่ใช่เป็นการกระทำทุจริต
นายจีระเกียรติ กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจที่วันนี้ศาลปกครองสูงสุดให้ความเป็นธรรม เพราะถูกใส่ร้ายและต้องออกจากราชการกว่า 4 ปี ทั้งที่เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าไม่ได้ทำความผิด ทั้งนี้ ตนพร้อมที่จะกลับไปทำงาน เพราะปัจจุบันเพิ่งจะอายุ 55 ส่วนจะเป็นการทำงานในตำแหน่งไหนนั้นก็ต้องแล้วแต่ผู้บังคับบัญชา แต่ยืนยันว่าหากได้กลับเข้าไปทำงานก็จะทำงานอย่างเต็มที่ ในระหว่างนี้คงจะต้องเตรียมตัวและตัดชุดสีกากีตัวใหม่ อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้กรณีของตนเป็นตัวอย่างให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณากฎหมาย ป.ป.ช. ที่มีลักษณะตัดตอนคดีที่ ป.ป.ช. ชี้มูลแล้ว ขึ้นสู่การพิจารณาของศาล ซึ่งตนเชื่อว่า ยังมีคนที่เป็นเหมือนตน ซึ่งข้าราชการจะพูดอะไรมากไม่ได้