อดีตประธาน กมธ.ปฏิรูปพุทธศาสนา ชี้เหตุฆ่าเณรโบกปูนมาจากวัดไม่มีระบบจัดการทรัพย์สิน ทำให้มีช่องก่อเหตุเพื่อผลประโยชน์ เผย พศ.ควรมีอำนาจเปิดเผยบัญชีวัดเพื่อความโปร่งใส เล็งเสนอให้ออกเป็น กม. ให้หน่วยงานรัฐมีหน้าที่ตรวจสอบ เชื่อส่งเสริมความศรัทธาของศาสนิกชน
วันนี้ (6 มิ.ย.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า จากการที่ตนตรวจสอบการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับกรณีที่เกิดเหตอุ้มฆ่าสามเณรปลื้ม ที่วัดวังตะวันออก จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างโหดเหี้ยมและนำไปที่วัดฝังโบกปูนทำแท่นคอนกรีตแล้วนำพระพุทธรูปมาไว้บนแท่น และต่อมาฆาตกรยังกล้าที่จะเข้าบวชเป็นพระอยู่เฝ้าดูแลในวัดเพื่อเก็บผลประโยชน์จำนวนมากในวัดต่อไป มีสาเหตุมาจากวัดไม่มีระบบการจัดการทรัพย์สินวัด ทั้งที่เป็นศาสนาสมบัติ เปิดช่องให้มีบุคคลทั้งที่บวชเป็นภิกษุและฆราวาสร่วมกันหาประโยชน์จากวัดโดยทุจริต เปลี่ยนวัดให้เป็นแหล่งทำมาหากิน มั่วสุมผิดกฎหมาย ก่ออาชญากรรมร้ายแรงหลายเรื่อง สร้างความเสียหายให้แก่กิจการพระพุทธศาสนา เกิดความห่วงใยในพุทธศาสนิกชน
ล่าสุดผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศานนาแห่งชาติ (พศ.) ออกมาเปิดเผยว่าไม่มีอำนาจในการดูแลการจัดการทรัพย์สินวัดต่างๆ และรวมทั้งที่ตนได้มีหนังสือไปให้เปิดเผยบัญชีวัดที่มหาเถรสมาคมให้ข่าวว่าได้มีวัดจำนวน 10,000 กว่าวัดได้จัดส่งบัญชีรับจ่ายของวัดไปให้สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ แล้วนั้น ผอ.พศ.บอกว่าขณะนี้ได้มีวัดที่ส่งบัญชีรับจ่ายเพียง 180 วัดเท่านั้น และยังบอกว่า พศ.ไม่มีอำนาจเปิดเผยบัญชีรับจ่ายวัดเหล่านั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเกิดขึ้น อาจจะมีฝ่ายใดพยายามปกปิดข้อเท็จจริงที่ประชาชนควรมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลหรือไม่
ตนเห็นว่าจากปัญหานี้แสดงถึงการขาดธรรมาภิบาลในเรื่องบัญชีรับจ่ายวัด หากเรื่องเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถทำให้เปิดเผยโปร่งใสตรวจสอบได้จะมีผลกระทบไปเรื่องอื่นให้มีธรรมภิบาลได้อย่างไร แต่เชื่อมั่นในความตั้งใจที่จริงจังในการปฏิรูปแก้ไขปัญหาต่างๆ ของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงจะมีหนังสือเสนอขอให้มีกฎหมายว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินและจัดทำบัญชีรับจ่ายศาสนสถานที่เป็นนิติบุคคลให้มีกระบวนการจัดทำงบบัญชีรับจ่ายตามมาตรฐานบัญชีและมีผู้ตรวจสอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบ โดยให้หน่วยงานรัฐมีอำนาจกำกับดูแลตรวจสอบ และให้หน่วยงานรัฐดังกล่าว เปิดเผยงบบัญชีดังกล่าวต่อสาธารณะทางอินเทอร์เน็ตด้วย และใช้กับศาสนสถานทุกศาสนาที่มีสถานะนิติบุคคล เช่น วัด มัสยิด โบสถ์คริสต์ เป็นต้น เชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมความศรัทธาของศาสนิกชน และเสนอขอให้มีพิจารณานำร่างพระราชบัญญัติอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ที่ ครม.เห็นชอบแล้ว แม้ทาง มส.ยังไม่เห็นด้วยก็ตาม เสนอให้นำเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อไป เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม