ประธาน กรธ.ชี้ให้รัฐปฏิรูปสื่อมวลชนอาจทำปัญหาหนักกว่าเดิม ต้องให้ประชาชนร่วม ไม่ใช่แค่ใช้กฎหมาย หาจุดพอดีสร้างจริยธรรม เปิดกว้างแสดงความเห็นแต่ต้องแยกออกจากข่าว จวกคนใส่ความเห็นในข่าวจนคนเข้าใจผิดพวกรับจ้างบิดเบือน รับจิตวิญญาณนักสู้หายทำสื่อกลายเป็นธุรกิจ ระบุให้การเมืองเลิกยุ่งเรื่องยาก ต้องรักษาสมดุล ย้ำหน้าที่สื่อรายงานข้อเท็จจริง ชี้นักข่าวพลเมืองผ่านสังคมออนไลน์คือหายนะของสื่อหลัก
วันนี้ (24 พ.ย.) ที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) บรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘การปฏิรูปสื่อกับเจตนารมณ์ของรัฐ’ ในงานสัมมนายุทธศาสตร์เพื่ออนาคตวารศาสตร์ ครั้งที่ 12 หัวข้อ ‘ปฏิรูปสื่อ : ทางออกสังคมไทย?’ โดยนายมีชัยกล่าวว่า ตนเฉลียวใจว่าทำไมสังคมไทยต้องหาทางออกเกี่ยวกับสื่อ และการที่ให้รัฐดำเนินการปฏิรูปสื่ออาจจะทำให้ปัญหาหนักหนาสาหัสกว่าเดิม เพราะสื่อนั้นเป็นช่องทางแสดงออกถึงเสรีภาพอันสมบูรณ์ของประชาชนทุกคน ซึ่งไม่มีทางไปกำกับข่าวให้เป็นอย่างที่ตัวเองต้องการจะเป็นเพราะข่าวคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามสภาพ เช่นเดียวกัน ความเห็นก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร การคิดเห็นไม่เหมือนใครไม่ได้แปลว่าใครผิดใครถูก ความเห็นบางอย่างเมื่อแสดงออกไปวันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่แย่ ไม่เป็นที่ยอมรับ แต่วันหนึ่งอาจจะเป็นที่ยอมรับก็ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรบอกว่าใครผิดใครถูกในเรื่องแสดงความเห็น ตนคิดว่าควรเปิดใจกว้างในเรื่องการแสดงความเห็น คนเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ต่างคนก็เอาหลักฐานมาสนับสนุนกัน ตนคิดว่าสื่อเป็นแบบนี้คงไม่มีปัญหาอะไร แต่คำถามก็คือ ทุกวันนี้สื่อเป็นแบบนี้หรือไม่
“ผมเห็นว่าความคิดเห็นกับข่าวต้องแยกกัน สื่อในปัจจุบันแยก 2 เรื่องนี้ไม่ออก เพราะผู้รายงานข่าวได้ใส่ความเห็นลงไปด้วย อาทิ มีข่าวคนตกตึก คนรายงานข่าวอาจไปใส่ความเห็นว่าคนนั้นถูกผลักตกตึก ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก ความเข้าใจผิดที่เกิดจากการใส่ความคิดเห็น และเป็นความคิดเห็นที่อยู่บนความไม่จริง โดยผู้ที่รายงานนั้นได้กระทำอย่างตั้งใจ ผมคิดว่าการทำแบบนี้ไม่ใช่คนทำสื่อ แต่เป็นคนที่ทำงานรับจ้างบิดเบือนความจริง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ก็ทำให้ความน่าเชื่อถือลดลง” นายมีชัยกล่าว
นายมีชัยกล่าวต่อว่า ในอดีตตนเห็นว่านักสื่อมวลชนทำตัวเป็นนักต่อสู้ ทำงานด้วยใจรัก แต่ในวันนี้จิตวิญญาณแบบที่สื่อเหล่านั้นได้กลับเลือนหายไป คิดว่าเป็นเพราะว่าอิทธิพลของธุรกิจและการเมืองซึ่งให้ผลประโยชน์แก่สื่อจึงทำให้สื่อกลายเป็นธุรกิจพันล้านแทน หากมองดูในสังคมขณะนี้ก็จะเห็นว่าสื่อทุกแขนงมีการแบ่งเป็น 2 ข้าง สุดแล้วแต่ว่าใครจะใจอ่อนไปฝั่งไหน ต้องยอมรับว่าการจะทำให้ธุรกิจและการเมืองเข้ามาเลิกยุ่งกับสื่อนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะว่าธุรกิจก็จำเป็นกับความอยู่รอดของสื่อ เช่นเดียวกับการเมืองที่ต้องใช้พื้นที่ของสื่อในการเผยแพร่ข่าว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องหาทางว่าจะทำให้ธุรกิจ การเมือง ไปด้วยกันกับสื่อ โดยต้องรักษาดุลทั้งสองข้างเอาไว้ ซึ่งการปฏิรูปสื่อจะเกิดผลนั้นจะต้องอาศัยความคิดของคนทั้งประเทศที่จะต้องร่วมกันปฏิรูปสื่อด้วยกัน ลำพังแค่คนทำสื่ออย่างเดียวมาปฏิรูป ตนคิดว่าคงเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นตนคิดว่าถ้าทุกฝ่ายมีวินัย ยึดมั่นในกฎเกณฑ์ เคารพซึ่งกันและกันก็คงไม่ต้องมีการปฏิรูปกัน เพราะสองสิ่งนี้จะเป็นตัวบังคับให้ปฏิบัติตามกรอบที่มีความเหมาะสม ซึ่งในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ได้เกื้อหนุนตรงนี้ด้วยการปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้เกิดการตระหนักตั้งแต่เล็กๆ ขอย้ำว่าตนอยากให้สื่อนั้นมีความเป็นกลาง ทำหน้าที่สำคัญก็คือรายงานข้อเท็จจริงให้กับประชาชนได้ทราบเป็นเรื่องหลัก
“ถ้าเราจะออกกฎหมายเพื่อการปฏิรูปสื่อ หากจะให้ได้ผลก็ต้องมีบทบังคับว่าทุกคนต้องเข้ามาอยู่ภายใต้ตรงนี้ ซึ่งก็มีการเสนอว่าให้เขาใช้กฎหมายที่รัฐบังคับไปอยู่ในมือคนกันเอง ถ้าคนกันเองที่ว่านั้นเกิดลุแก่อำนาจ คิดว่าก็คงจะมีปัญหาเช่นกัน ดังนั้นถ้าเกิดกรณีนี้แล้วจะทำอย่างไรกับเขา แล้วคนที่ทำผิดกฎจะทำอย่างไร จะไปดำเนินคดีกับกฎหมายก็คงยากเช่นกัน ดังนั้น การปฏิรูปสื่อคงไม่ใช่แค่อาศัยตัวบทกฎหมายบังคับอย่างเดียว แบบนี้คงไม่ได้ ต้องอาศัยการวิวัฒนาการด้วย ดังนั้นในระดับอุดมศึกษาที่เป็นที่ผลิตบัณฑิตก็ต้องผลิตสื่อรุ่นใหม่ๆ ให้มีความสามารถโต้แย้งคนรุ่นเก่าที่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้ด้วย ขณะเดียวกัน สื่ออาวุโสก็ต้องรวมตัวคุยกันเพื่อหาจุดพอดีในการสร้างจริยธรรมสื่อ คิดว่าแบบนี้คงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในการปฏิรูปสื่อ” นายมีชัยกล่าว
นายมีชัยระบุอีกว่า เรื่องการปฏิรูปสื่อกับเจตนารมณ์ของรัฐนั้น ตนคิดว่าถ้ารัฐหมายถึงประเทศ ประชาชน และสังคมไทย คำตอบของการปฏิรูปจะอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญ 3 มาตรา ได้แก่มาตรา 35 ที่รับรองสื่อมวลชน กำหนดข้อห้ามไม่ให้รัฐสนับสนุนกิจการสื่อ กำหนดว่าหน่วยงานของรัฐที่สนับสนุนสื่อ ต้องรายงานต่อ สตง. และเปิดเผยให้ประชาชนทราบว่าจ่ายอุดหนุนไปเท่าไหร่ ในมาตรา 98 ระบุว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องไม่เป็นเจ้าของและผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชน และเรื่องที่ 3 ในมาตราที่ 184 ระบุว่า ส.ส., ส.ว. และรัฐมนตรีต้องไม่ไปแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชนทุกแขนงทั้งทางตรงและทางอ้อม อีกทั้ง ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังเขียนว่าหน่วยงานของรัฐที่เป็นสื่อจะต้องนึกถึงพันธกิจของตัวเองด้วย ไม่ใช่แค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมา
นายมีชัยกล่าวว่า แต่อย่างไรก็ตามถ้าสื่อละเมิดประชาชน ประชาชนก็มีทางเลือกก็คือ ใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อฟ้องร้องสื่อหากถูกละเมิด เลือกเสพสื่อที่เชื่อมั่นว่ายังเหลือความเป็นสื่ออยู่ อาทิ ประชาชนบางคนเรื่องไม่ซื้อหนังสือพิมพ์บางฉบับแล้ว และประชาชนทำสื่อกันเองหรือที่เรียกว่า ‘นักข่าวพลเมือง’ Citizen Reporter ทางนี้ถือเป็นหายนะของสื่อ ซึ่งตัวอย่างของสื่อประชาชนที่ชัดเจนก็กรณีที่อดีต ดีเจถอยรถไปชนรถคันอื่น ประชาชนก็ใช้เทคโนโลยีอัปข้อมูลอีกด้านขึ้นสื่อออนไลน์ กลายเป็นสื่อโซเชียลฯ นี่ถือเป็นการตบหน้าสื่อหลัก เพราะสื่อเหล่านี้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ดังนั้นกรณีนี้ก็ถือเป็นการบีบบังคับให้สื่อหลักก็ต้องปฏิรูปด้วย อย่างไรก็ตาม สื่อหลักในอนาคตตนคิดว่าก็ยังจำเป็นอยู่เพราะว่าจะเป็นตัวถ่วงสื่อโซเชียลฯ เหล่านี้และในขณะเดียวกัน สื่อโซเชียลฯ ก็จะเป็นตัวที่จะทำหน้าที่ถ่วงดุลสื่อหลักด้วย