เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่า “เกือบไปแล้ว” ก็ได้ สำหรับกระแสความโกรธเคืองที่มีความ “พยายามสร้าง” กันขึ้นมา เพื่อหวังผลให้เกิดความแตกแยก และนำไปสู่ความรุนแรง หรือมุ่งหวังให้บานปลายเพื่อเป้าหมายให้เกิดการเปลี่ยนแปลง “บางอย่าง” ตามมาหรือเปล่า เพราะเท่าที่สังเกตนั้น ดูเหมือนมีการสร้างกระแสกันอย่างผิดสังเกต
แน่นอนว่ากำลังพูดถึงกรณีของ “เบส” อรพิมพ์ รักษาผล นักพูดที่กำลังมีความพยายามขยายผลและสร้างกระแสบางอย่างขึ้นมา ด้วยการนำเอาคำพูดบางตอนของเธอมาชี้ให้เห็นว่าเธอดูถูก และกล่าวหาในทำนองว่า “คนอีสาน” ไม่รัก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งรับรองว่าถ้าเห็นแบบนี้ใครที่เป็นพี่น้องชาวภาคอีสานก็ย่อมต้องเดือดดาลวันยังค่ำ ยิ่งในยุคของการสื่อสารยุคใหมที่ประชาชนทุกคนมีสื่ออยู่ในมือ มันก็ยิ่งถูกขยายผลได้ง่ายและรวดเร็วยิ่ง
ทั้งที่หากมีการตั้งสติกันให้ดีก็จะพบว่า คำพูดดังกล่าวของ อรพิมพ์ รักษาผล มีขึ้นเมื่อราวต้นปีนี้ ที่ห้องประชุมแห่งหนึ่งให้นักศึกษาในจังหวัดมหาสารคามฟัง ในเรื่องที่เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจอันประเสริฐของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และที่สำคัญ คนที่เดือดดาลนั้นเชื่อว่าแทบทั้งหมดไม่ได้รับรู้ทุกคำพูดของเธอที่พูดในวันนั้น เพียงแต่ว่ารู้สึกโกรธจากบางคำที่มีการตัดต่อแล้วเอามาลงในสื่อโชเชียลฯ มีการแชร์ต่อกันไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
หากย้อนไปสักนิดจะพบว่า เรื่องราวของเธอเริ่มมีการขยายผลมาจากกรณีที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย ไม่ออกวีซ่าเข้าเมืองให้เธอ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของประเทศนั้น ที่จะอนุญาตให้ใครเข้าหรือไม่ให้เข้าประเทศก็ได้ ซึ่งตัวเธอในตอนนั้นก็ไม่ได้ติดใจอะไร
แต่ก็มีการขยายผลกันขึ้นมาจากหัวข้อที่เธอได้รับเชิญไปพูดจากคนไทยในสหรัฐฯ ในเรื่องพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ซึ่งในตอนแรกหากสังเกตให้ดีจะพบว่า พุ่งเป้าไปที่ประเทศที่ปฏิเสธวีซ่า จนต่อมากลายมาเป็นการขุดคุ้ยเรื่องอาชีพ รายได้ ฐานะทางการเงินสารพัด มาจนถึงคำพูดที่ระบุว่า มีการ “เหยียดหยามระหว่างภาค” จนกระทั่งโยงมาเป็นหน่วยงานสำคัญ คือ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)” เป็นคนจ้างเธอให้เป็นคนพูดเกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูงในที่สุด
ล่าสุดก็มีทนายความคนหนึ่งเข้ามาแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อ เบส-อรพิมพ์ รักษาผล ฐานดูหมิ่นคนภาคอีสาน อย่างไรก็ดี พอเห็นหน้าคนเข้ามาแจ้งความว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ทำให้หลายคนเกิด “บางอ้อ” ขึ้นมาทันที เพราะชื่อของทนายความคนดังกล่าวเป็นคนเดียวกับที่เคยทำคดีให้กับ ทักษิณ ชินวัตร ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคนเสื้อแดงและเครือข่ายหลายคดี แน่นอนว่า เมื่อมีตัวละครแบบนี้ มันก็ย่อมมองเห็นภาพบางอย่าง “ซ้อน” ขึ้นมาทันที
อย่างน้อยก็ทำให้กรณี “คนภาคอีสาน” ไม่พอใจ ได้กลายมาเป็นการตั้งสติหยุดคิดกันมากขึ้น หลายคนมองว่าเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ อย่างน้อยกรณีของ “ผู้หญิง” คนดังกล่าว ที่หลายคนเชื่อว่ามีความพยายาม “เสี้ยม” โดยนำเอาเรื่อง “ละเอียดอ่อน” และจุดกระแสความขัดแย้งแตกแยกระหว่าง “ภาค” มาจุดชนวน และมีเป้าหมายเชื่อมโยง เพื่อโค่นล้มรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา เพราะในตอนหลังมีความพยายามเน้นย้ำว่า คสช. เป็นคนจ้างให้เธอไปพูด ความหมายเหมือนกับว่าอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ
เป็นการขยายความขัดแย้งออกไปอีก นั่นคือ ในตอนแรกจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างคนในชาติระหว่างภาค ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนไทยด้วยกัน จากนั้นก็ขยายมาเป็น คสช. อยู่เบื้องหลังเป็นการสร้างปมให้บานปลายระหว่าง คสช. และรัฐบาล กับพี่น้องทางภาคอีสาน
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาอีกมุมหนึ่ง การปรากฏตัวของ คารม พลพรกลาง ทนายความเสื้อแดง รวมไปถึงแกนนำคนเสื้อแดงบางคนที่ออกมาขยายความในช่วงเวลาแบบนี้ ทำให้หลายคนเริ่มตั้งสติมองเห็นสิ่งผิดปกติ จะสังเกตได้ว่า กระแสในช่วงหลังๆ มานี้ เริ่มหยุดนิ่งไม่ได้ขยายลุกลามออกไปกว่าเดิม ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ อรพิมพ์ รักษาผล ได้ออกมาขอโทษ รวมไปถึงได้เห็นความผิดปกติเมื่อทนายความของเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ออกมาแจ้งความดำเนินคดี
เอาเป็นว่า นาทีนี้กระแสเริ่มนิ่งและม้วนกลับ เพราะสังคมเริ่มมองออกว่ามันไม่ปกติ เนื่องจากการสืบค้นกลับไป พบว่าเป็นพูดมาตั้งแต่ต้นปี แต่ทำไมเพิ่งมารู้สึกตัวกันเอาตอนนี้ และที่สำคัญ มันกลายเป็นเรื่องการเมืองที่ต้องการโจมตี คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในทำนองว่าอยู่เบื้องหลังผู้หญิงคนดังกล่าว เพราะเป็นคนจ้างให้พูดอะไรประมาณนั้น และเมื่อมีทนายความคนเดิมออกมา เรื่องมันก็ถึง “บางอ้อ” เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนั้น จึงนำไปสู่ข้อสงสัยว่า นี่คือ หมากของ “คน” บางคนที่ยังไม่หยุด ยังต้องการสร้างกระแสปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา แต่โชคดีที่คราวนี้ “ออกตัว” เร็วไปหน่อย ทำให้ความแตก สังคมตั้งสติได้ทัน ทุกอย่างเลยฝ่อลงไป
อย่างไรก็ดี เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญในยุคโซเซียลฯ ที่กระจายอย่างรวดเร็วฉับไว ขณะเดียวกัน ยังไม่อยากนึกภาพว่าหากเหตุการณ์บานปลายขึ้นมาจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งคราวนี้ลงทุนน้อยแต่เกือบจะได้ผลเหมือนกัน!