ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ รับกองทัพบกเคยเชิญ “เบส” พูด สร้างความรู้สึกดีต่อสถาบัน แต่ไม่รู้จ่ายเท่าไหร่ อ้างบางคนไม่ได้เรียกค่าตัว บอกอย่ามองเรื่องค่าตัวมาจับผิด ให้ดูที่แก่น โวยพวกบิดเบือนจ้องให้เกิดความแตกแยก ป้องพูดตำหนิคนอีสานอาจหมายถึงคนส่วนน้อยที่ไม่จงรักภักดี
วันนี้ (20 พ.ย.) พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การเชิญ น.ส.อรพิมพ์ รักษาผล หรือ เบส นักพูดสาว มาบรรยายให้กับกำลังพลกองทัพบกโดยมีอัตราค่าตอบแทนที่สูง ว่า ใครเป็นวิทยากรที่เก่งๆ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิชาการต่างๆ ทางกองทัพก็จะเชิญมาให้ความรู้กับกำลังพลเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่เฉพาะน้องเบส คนเดียว หมายความว่า ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถที่เป็นวิทยากร เราก็จะเชิญมา ซึ่งมาถามว่า เคยเชิญไหม ก็ตอบว่า เคยเชิญมา เพราะว่าน้องเบส เป็นวิทยากรที่พูดโน้มน้าว สร้างความรู้สึกที่ดี มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยหน้าที่แล้วทางคสช. เองก็ปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามหน้าที่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่จะเชิญวิทยากรมาพูดเรื่องความจงรักภักดีต่อสถาบัน เพื่อให้กำลังพลได้รับทราบข้อมูล มีวิธีมีแนวคิด และมีวิธีการพูด ได้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เราก็เชิญมา ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เราเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เป็นปกติอยู่แล้ว
สำหรับประเด็นในเรื่องค่าตอบแทนวิทยากรนั้น พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้รู้ถึงรายละเอียดโหมการจ่ายค่าตอบแทน ว่า จะจ่ายชั่วโมงละ 300 บาท 800 บาท หรือเปล่าประเด็นคือว่า เราเชิญวิทยากรมาพูดในบางครั้งวิทยากรท่านนั้นก็ไม่ได้เรียกค่าตัวเพราะเค้าตั้งใจมาทำงานมาด้วยความสมัครใจ ซึ่งปกติแล้ววิทยากรก็จะมีเรตของการใช้งาน ซึ่งโดยหลักการของกระทรวง ทบวง กรม ก็จะมีเรตเป็นของการจ่ายค่าตอบแทนวิทยากรอยู่แล้ว ตามหลักการใช้งบประมาณในการบริหารราชการแผ่นดิน จะมีเรตในการจัดประชุมการจัดสัมมนา ซึ่งมีเรตอัตราของเค้าอยู่ แต่เรตค่าตอบแทนที่น้องเบสตั้งไว้ในการบรรยายภายนอก ซึ่งเป็นภาคเอกชน ก็อีกเรื่องหนึ่ง หรือตอนที่น้องเบส มาบรรยายให้กองทัพบก ซึ่งมีความรู้สึกที่ดีกับกองทัพ บางครั้งก็ไม่เรียกร้องว่าจะต้องไปเรตนั้นเรตนี้
“อย่าไปมองเรื่องค่าตัว แล้วมาจับผิดกันว่ากองทัพบกต้องไปจ่ายเป็นชั่วโมงละ 30,000 บาท 2 ชั่วโมง ก็ 60,000 บาท อย่าไปมองประเด็นอย่างนั้น เรามองประเด็นว่าเราเอาวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถ มาบรรยายให้กับกำลังพล ที่แสดงออกถึงความจงรักภักดี พอในตอนนี้กระแสสังคมกลับกลายเป็นว่า พออธิบายไปเรื่องหนึ่ง ก็จะไปขยายบิดเบือนไปอีกเรื่องหนึ่ง เพราะว่ามีกลุ่มคนที่จุดกระแสเรื่องเหล่านี้อยู่ เพราะต้องการที่จะนำไปสู่ความแตกแยก แต่หากให้เรามองเป็นกลาง ว่า วิทยากรเขาพูดเรื่องอะไร ผมว่าตรงนั้นเป็นแก่นของมันมากกว่า เพราะเขามาพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในแง่ของความจงรักภักดี ในฐานะที่เป็นคนไทย และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องเทิดทูนและรักษาไว้ ผมว่าตรงนี้มันเป็นแก่นสาระมากกว่าไปมองเรื่องของการจ้างเรื่องของที่มาที่ไป เรื่องของเป็นเครื่องมือของกองทัพ หรือ คสช. หรือเปล่า" พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าว
พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า พอมีเรื่องประเด็นอย่างนี้ขึ้นมา ตนขอให้คนไทยได้มีสติในการที่จะรับรู้ รับฟัง คิดวิเคราะห์ แยกแยะ ออกไปว่าประเด็นที่เกิดขึ้นในโซเชียล เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ประเด็นอาจจะไปพูดพาดพิงพี่น้องคนไทยที่อยู่ทางภาคอีสาน แต่เราต้องมาดูว่าภาพรวมเขาพูดอะไรอย่างไร ซึ่งตนไม่ได้อยู่ตรงนั้น เลยไม่สามารถที่จะบอกได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่เท่าที่ได้ติดตามในการพูดเราก็มองกลางๆ ว่า เขามีความจงรักภักดี เพราะฉะนั้นเนื้อหาโดยรวม คิดว่า เขาอาจจะพูดพาดพิงคนที่ไม่ได้จงรักภักดี ที่เป็นคนส่วนน้อย ที่ยังมีภาพการเคลื่อนไหวอยู่ในโลกโซเชียล ตนเข้าใจว่า เขาน่าจะพูดตรงนั้นมากกว่า