xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวร้ายเฉพาะบุคคล-ศาลยกคำร้องยังไม่ปล่อยตัว “จตุพร”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา


ถือว่าเป็นข่าวร้ายเฉพาะส่วนบุคคลจริงๆ สำหรับ “จตุพร พรหมพันธุ์” ที่มีตำแหน่งเป็นถึงถึงท่านประธาน นปช. ที่ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาได้ “ยกคำร้อง” ที่มอบหมายให้ทนายความของเขายื่นขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว ความหมายก็คือ จตุพร พรหมพันธุ์ ยังต้องอยู่ในเรือนจำต่อไประหว่างรอการพิจารณาคดีในคดีก่อการร้าย

อย่างไรก็ดี เพื่อให้เห็นภาพและเข้าใจเหตุผลว่าทำไมศาลถึงได้วินิจฉัยออกมาแบบนี้ ก็ต้องมาพิจารณาเหตุผลของศาลที่มีดังนี้

โดยเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม เวลา 15.00 น. วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. จำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษยื่นฟ้องในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวเมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้ายื่นคำร้องเพื่อขอปล่อยชั่วคราวนายจตุพรต่อศาลอาญาอีกครั้ง

โดยวิญญัติกล่าวว่า วันนี้เป็นการยื่นคำร้องครั้งแรกภายหลังจากที่นายจตุพรถูกเพิกถอนการประกัน โดยคำร้องที่ยื่นนั้นระบุเหตุผลว่า ศาลได้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวเป็นเวลา 15 วันแล้ว เป็นระยะเวลาที่เหมาะสม และจตุพรก็ได้ยอมรับถึงผลที่เกิดขึ้น มีการรับโทษไปแล้ว และหากได้รับการปล่อยชั่วคราว จำเลยจะระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก จึงขอความเมตตาต่อศาล

อย่างไรก็ดี “ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ก่อนหน้านี้ศาลเคยมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ โดยกำหนดเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวตามคำสั่งในรายงานลงวันที่ 22 สิงหาคม 2555 และวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 แล้ว ต่อมา จตุพร จำเลยที่ 2 ก็ยอมรับว่าได้พูดออกรายการโทรทัศน์และให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างๆ ตามที่โจทก์ร้องขอให้เพิกถอนประกันจริง ศาลพิจารณาแล้วเป็นการผิดเงื่อนไขตามที่ศาลกำหนดไว้ แม้บุคคลผู้ที่อาจได้รับความเสียหายมิได้ใช้สิทธิฟ้องร้องหรือยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเพิกถอนประกันก็ตาม แต่ก็ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะร้องขอถอนประกัน และศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนประกันได้ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปล่อยชั่วคราว และศาลเพิ่งมีคำสั่งเพิกถอนประกันจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2559 และขณะนี้ยังไม่มีพฤติการณ์ใดที่จะทำให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่เพิกถอนการปล่อยชั่วคราว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยที่ 2 ยกคำร้อง”

ภายหลัง วิญญัติ ทนายความกล่าวว่า หลังจากนี้จะพิจารณายื่นประกันใหม่อีกครั้ง ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไหร่ยังบอกไม่ได้ เพราะการที่จะยื่นคำร้องอีกครั้งจะต้องดูเหตุเพื่อให้มีผลเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ อย่างในคำสั่งของศาล ก็ระบุว่า เพิ่งมีคำสั่งถอนประกันนายจตุพรเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ช่วงระยะเวลาจึงอาจจะต้องมีความเหมาะสมมากกว่านี้

เมื่อผลออกมาแบบนี้มันถึงต้องบอกว่ามันเป็นข่าวร้ายสำหรับ จตุพร พรหมพันธุ์ จริงๆ เพราะเมื่อพิจารณาจากคำเปิดเผยของทนายความหลังทราบผลว่า “ต้องพิจารณาระยะเวลาที่มีความเหมาะสมมากกว่านี้"หลังจากเพิ่งถอนประกันไปเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ซึ่งถือว่าเพิ่งจะครบ 15 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากบทบาทและชะตากรรมของ จตุพร พรหมพันธุ์ ถือว่าต้องแยกออกมาแบบเฉพาะตัวจริงๆ และที่สำคัญ แทบทั้งหมดล้วนมาจาก “ปาก” ของเขาล้วนๆ ตั้งแต่ในยุคแรกๆ ที่แม้ว่าเขาเติบโตทางการเมือง และมีบทบาทในปัจจุบันนี้ก็ล้วนมาจากปากเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเขาเป็นนักพูดฝีปากกล้าคนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกัน ปากของเขาในอีกมุมหนึ่งก็สร้างศัตรูเอาไว้ไม่น้อย มีคนไม่ชอบก็ไม่น้อย ที่ผ่านมา ต้องพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. ไม่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็ล้วนมาจากแรงกดดันจากสังคมภายนอก จนทำให้ระดับแกนนำพรรคเพื่อไทยในยุคนั้นที่ก็มีการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันไม่ไม่น้อยใช้เป็นเหตุผลในการยกเก้าอี้ให้กับคนอื่น

จนกระทั่งมาถึงยุครัฐบาลทหารภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จตุพร พรหมพันธุ์ ก็มีบทบาทแหลมคมมากกว่าใคร วิพากษ์วิจารณ์ผ่านทางสื่อในเครือข่าย ทั้งสื่อโทรทัศน์ ผ่านทางโซเชียลฯ การให้สัมภาษณ์โจมตีอย่างเผ็ดร้อน และด้วยบุคลิกแบบท่าทางดุดันอย่างต่อเนื่อง จนเข้าข่ายผิดเงื่อนไข และนำไปสู่การเพิกถอนการประกันตัวในที่สุดดังกล่าว

สาเหตุที่ต้องยกเอากรณีของจตุพร พรหมพันธุ์ ขึ้นมาพิจารณาก็เนื่องจากน่าสนใจนักเมื่อเปรียบเทียบกับแกนนำมวลชนคนอื่นๆ อย่างน้อยเท่าที่เห็นในระดับเดียวกันและรุ่นราวคราวเดียวกัน อย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งเวลานี้ถือว่าคนหลังมี “สถานะ” ยิ่งนานยิ่งล้ำหน้าไปหลายช่วงตัว ทั้งที่ในตอนเริ่มก็ต้องบอกว่า จตุพร กระดูกชื่อชั้นเหนือกว่า หากพิจารณาจากเส้นทางของ ณัฐวุฒิ ที่เริ่มมาจากนักพูดใน “สภาโจ๊ก” ขณะที่จตุพร ผ่านการต่อสู้ในสนามของจริงมาตั้งแต่ยุค “พฤษภาทมิฬปี 35”

หากให้เทียบกันทีละช็อตจะเห็นภาพชัดเจน คือ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เริ่มเส้นทางการเมืองในตำแหน่งโฆษกรัฐบาล ตำแหน่งรัฐมนตรีก่อนในเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรฯ แล้วมานั่งในกระทรวงเกรดเอ อย่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

หากยังเทียบให้เห็นชัดอีกก็คือ ในระดับ 5 คนที่เป็นจำเลยในคดีร่วมกันก่อการร้ายในอีก 4 คนที่เหลือคือ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ วีระกานต์ มุสิกพงศ์ เหวง โตจิราการ และ นิสิต สินธุไพร ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ศาลก็ยกคำร้องขอให้ถอนประกันตัวชั่วคราว เนื่องจากพิจารณาจากหลักฐานยังฟังไม่ได้ รอดคุกไปอีก

ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ คำพูดของ จตุพร ที่ทำให้สังคมไม่ลืมก็คือ คำพูดที่เดิมพันว่าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปี พ.ศ. 2559 ผ่านการลงประชามติเขาจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง ไม่ลงสมัคร ส.ส. ซึ่งผลประชามติออกมาอย่างไรก็ทราบกันดีอยู่แล้ว ส่วนสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนลงประชามติ “รับร่าง” มาจากคำพูดของเขาหรือไม่นั้นก็ค่อยมาพิจารณากันนอกเหนือจากนี้ แต่อย่างน้อยหากไม่ต้องการผิดคำพูด เขาก็จะไม่ลงสมัคร ส.ส. และไม่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองหากมีการเลือกตั้งในปลายปีหน้าตามโรดแมป ขณะที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และคนอื่นๆ ก็ไม่เกี่ยวอีก เพราะเขาไม่ได้พูดล้ำหน้าแบบนั้น

ดังนั้น จะว่าไปแล้วชะตากรรมของ จตุพร พรหมพันธุ์ ในบางมุมมันก็น่าเห็นใจเหมือนกัน เหมือนกับ “ตายเดี่ยว” ในแบบที่ค่อยๆ จมหายลงไปเรื่อยๆ เหมือนอย่างตอนนี้ แม้ว่าจะมีพรรคพวกเพื่อนฝูงไปเยี่ยมเยียน แต่ในเมื่อมันไม่มีข่าวคราวออกมา ไม่อาจแสดงความเห็นออกมาได้ เนื่องจากเกรงจะผิดเงื่อนไขซ้ำเข้าไปอีก ซึ่งมันก็น่าเห็นใจเพราะเป็นชะตากรรมเฉพาะตัวอธิบายได้ยาก!
กำลังโหลดความคิดเห็น