เมืองไทย 360 องศา
หากนับจนถึงวันนี้ (21 ตุลาคม) ก็เป็นเวลาผ่านมา 7 - 8 วันแล้ว ที่พสกนิกรชาวไทยยังหัวใจสลายจากการเสด็จสวรรคตของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แต่ความทุกข์โศกดังกล่าวยังไม่มีทีท่าเสื่อมคลายลงเลย ตรงกันข้ามกลับยิ่งทุกข์หนักทับทวีมากขึ้นกว่าเดิม สังเกตเห็นได้จากการหลั่งไหลเข้ามาของประชาชนทุกเพศทุกวัย ทุกอาชีพจากทั่วประเทศ ทุกคนต่างมุ่งหน้ามาที่พระบรมมหาราชวัง แม้ว่าทางสำนักพระราชวังจะยังไม่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปถวายสักการะพระบรมศพ เนื่องจากยังตระเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ไม่เรียบร้อยก็ตาม แต่พวกเขาก็พยายามเข้าไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อมาแสดงความอาลัยต่อ “พ่อหลวง”
ภาพความรักความจงรักภักดีของพสกนิกรที่มีต่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อย่างหาที่สุดมิได้ สร้างความตื้นตันให้กับทุกคนที่ได้เห็น ขณะเดียวกัน ในภาพของความโศกเศร้าอาลัยดังกล่าว ก็ได้เห็นความร่วมแรงร่วมใจเกิดขึ้นเป็นหนึ่งเดียวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะนับตั้งแต่วันเสด็จสวรรคตเป็นต้นมา จะเห็นภาพพี่น้องคนไทยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน คนที่พอมีเงินก็ช่วยเหลือซื้อข้าวของ น้ำดื่มมาแจกจ่าย ใครมีแรงก็มีจิตอาสาช่วยกันคนละไม้ละมือ แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน เพราะมากันคนละพื้นที่ คนละจังหวัด แต่ก็มีการช่วยเหลือ ปรับทุกข์กันอย่างใกล้ชิด ภาพดังกล่าวสร้างความประทับใจเกิดขึ้นแผ่ไพศาลไปทั้งโลก
ทำให้ชาวโลกรับรู้ว่าประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ที่มีประชาชนรักมากที่สุด รักมากจนไม่อาจพรรณนาได้ ซึ่งก็ย่อมมีที่มาที่ไปว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น จนเป็นที่มาของการศึกษาข้อมูลและเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า พ่อหลวงพระองค์นี้ ว่า เป็นเพราะพระองค์ทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรมาตลอดระยะ 70 ปีของการครองราชย์
อย่างไรก็ดี เมื่อมีด้านบวกก็ย่อมมีด้านลบเข้ามาปะปนอยู่เสมอ แม้จะน้อยจนเป็นแค่เศษเสี้ยวไร้คุณค่า แต่หากปล่อยไปก็อาจสร้างความวุ่นวายตามมาได้เหมือนกัน
เวลานี้นอกจากมีขบวนการปล่อยข่าวลือบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง ทำลายความมั่นคงของชาติมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งเกิดขึ้นภายในประเทศ และมาจากต่างประเทศ ที่พยายามยุยง ปล่อยข่าวลือข่าวลวงต่าง ๆ เพื่อสร้างความสับสนและแตกแยก แต่กลายเป็นว่าไม่ได้ผล ในทางตรงกันข้าม ทำให้คนไทยมีความรักมีความสามัคคีกันมากขึ้น ขณะเดียวกัน กลับกลายเป็นว่าเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเร่งดำเนินคดีกับคนที่มีพฤติกรรมจ้วงจาบหยาบช้าพวกนั้นให้เร็วขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้คนพวกนี้ได้หลบหนีออกนอกประเทศแล้วอาศัยประเทศนั้นกระทำในสิ่งที่ไม่บังควร เกิดแรงกดดันให้ดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว อีกด้านหนึ่งได้เกิดปฏิกิริยาจากคนไทยที่มีต่อประเทศที่ให้ที่พักพิงกับพวกที่กระทำมิบังควร โดยเฉพาะในช่วงเวลาเศร้าโศกแบบนี้ เพราะแม้กับคนทั่วไทยก็ยังไม่มีใครที่จะแสดงพฤติกรรมกันแบบนี้
อย่างไรก็ดี มีความเคลื่อนไหวบางอย่างที่น่าสนใจ ก็คือ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กล่าวถึงการติดตามตัวผู้กระทำผิด มาตรา 112 ว่า หลังจาก คณะรัฐมนตรี มอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมการ ดูแลเกี่ยวกับผู้ที่กระทำผิด ม.112 ซึ่งเมื่อวาน (17 ตุลาคม) ได้ลงนามไปถึงเอกอัครราชทูตประเทศนั้น ๆ ประจำประเทศไทย จำนวน 7 ประเทศ ว่า มีประมาณ 19 ราย ที่มีการเคลื่อนไหวและกระทำผิดเพื่อแจ้งให้เอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ทั้ง 7 ประเทศ ได้รับทราบ
“ผมส่งหนังสือเพื่อขอร้องให้เข้าใจถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศและในต่างประเทศควรเข้าใจประเทศไทย โดยเราไม่ได้ไปละเมิดอธิปไตยกฎหมายของประเทศนั้น ๆ แต่ความเป็นมหามิตรย่อมเข้าใจความรู้สึกกันว่าประเทศไทยอยู่ในความรู้สึกอะไร ณ ขณะนี้ พร้อมบอกที่อยู่ตำแหน่งที่พักของผู้กระทำผิดในประเทศนั้น ๆ เรียบร้อย ถึงแม้ว่าประเทศนั้น ๆ ไม่มีกฎหมายดูแลเรื่องพวกนี้ แต่ก็ควรจะกำกับดูแลไม่ให้สิ่งเหล่านี้มากระทบจิตใจของคนไทยและไม่ควรเกิดขึ้น ผมอยากจะใช้คำว่ามันมากเกินไปที่จะทนเห็นสิ่งเหล่านี้ได้”
“ผมได้เรียนพี่น้องประชาชนคนไทยไปแล้ว ว่า เราไม่สามารถไปละเมิดอธิปไตย เพราะไม่มีกฎหมายดูแลเรื่องนี้ แต่เราควรพูดกันให้เข้าใจเรื่องดังกล่าวและผมทำมาตลอด รวมทั้งได้ส่งหนังสือเป็นระยะผ่านกระทรวงต่างประเทศ โดยมี พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นเลขานุการคณะกรรมการ ทำหน้าที่สรุปรวบรวมเอกสารจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อส่งให้เอกอัครราชทูตประจำประเทศนั้น ๆ เป็นระยะ และทำสุดความสามารถมาตลอด”
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา แม้ว่าพอทราบดีว่าคงจะไม่ได้ผลมากนัก เนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ และอธิปไตยของแต่ละประเทศ แต่อย่างน้อยก็เป็นการเพิ่มแรงกดดันให้เห็น อย่างน้อยก็ในช่วงที่คนไทยกำลังทุกข์โศก และเกิดปรากฏการณ์ “คลื่นความจงรักภักดี” ในแบบที่ไม่เคยเห็นในประเทศไหนมาก่อน มันก็ย่อมทำให้ประเทศเหล่านั้นได้หยุดคิดบ้างว่าการให้การสนับสนุน ให้ที่พักพิงกับคนที่จาบจ้างสถาบันฯ มันก็เหมือนกับร่วมมือกันย่ำยีหัวใจคนไทย อย่างน้อยก็ได้เห็นการออกมาขอโทษและการปฏิเสธการเกี่ยวข้องของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซีอาร์) ว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือให้คนพวกนั้นลี้ภัย และประณามพฤติกรรมเหล่านั้นด้วย
แม้ว่าความเป็นจริงจะเป็นแบบไหน เพราะมีหลักฐานว่าองค์กรระหว่างประเทศเหล่านี้ให้การช่วยเหลือให้การรับรองจนคนพวกนั้นได้สถานะผู้ลี้ภัย แต่อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าประเทศเหล่านั้นหรือองค์กรบางแห่งกำลังสร้างความรู้สึกในทางลบกับคนไทย และที่สำคัญก็คือ ได้เห็นพลังของคนไทยที่เป็นหนึ่งเดียวให้โลกได้ประจักษ์ !!