xs
xsm
sm
md
lg

วินาศกรรมซ้ำกรุงเทพฯ-เขตเศรษฐกิจ หายนะจาก “คนเลว” (อีกแล้ว) !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา



หลังจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ดูแลด้านคดีความมั่นคง เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลจากการข่าวแจ้งเตือนว่า มีความเคลื่อนไหวของคนร้ายเพื่อเตรียมก่อเหตุในลักษณะคาร์บอมบ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ช่วงวันที่ 25 - 30 ตุลาคมนี้ ก็ต้องบอกว่ารู้สึกหวั่นไหวพอสมควร เพราะเราเพิ่งผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ จากการลอบวางระเบิด วางเพลิงในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจสำคัญทั้งสิ้น โดยเฉพาะเป็นพื้นที่การท่องเที่ยว ที่ตอนนี้กำลังเป็นฟันเฟืองหลักในการลากดึงเศรษฐกิจในบ้านเราอยู่ในเวลานี้

แน่นอนว่า ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 11 - 12 สิงหาคม ซึ่งผ่านมาไม่กี่วันได้เกิดเหตุร้ายดังกล่าวใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนมีคนบาดเจ็บล้มตาย สร้างความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจในวงกว้าง ดังนั้น จึงได้แต่ภาวนาว่าอย่าได้เกิดเหตุซ้ำขึ้นมาอีกเลย

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งการที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่รับผิดชอบดูแลด้านคดีความมั่นคงออกมาเปิดเผยข้อมูลอันน่าตกใจนี้ มันก็ย่อมสร้างความตื่นตระหนกกันพอสมควร แต่ถ้ามองกันอีกทางหนึ่งมันก็อาจเป็นการดีที่ทำให้เกิดความตื่นตัว และช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ ช่วยกันแจ้งเบาะแสคนร้ายได้ทันท่วงที

จากข้อมูลที่รายงานเข้ามาพบว่า เป็นการแจ้งเข้ามาจากต่างประเทศที่มีความร่วมมือกันในด้านต่อต้านการก่อการร้ายในระดับสากล จนเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ได้เรียกประชุมตัวแทนจากหน่วยงานตำรวจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น กองบัญชาการตำรวจนครบาล กองปราบฯ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นต้น กับตัวแทนระดับเอกอัครราชทูตบางประเทศ ถือว่าเป็นจริงเป็นจังมาก บรรยากาศจึงดูเคร่งเครียด

จากนั้นในวันรุ่งขึ้นเมื่อเช้ามืดวันอังคารที่ 11 ตุลาคม กำลังจากหน่วยอินทราชสนธิกำลังกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 191 บุกเข้าตรวจค้นอพาร์ตเมนต์ในซอยรามคำแหง 53 มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยไปสอบสวนประมาณ 10 ราย ขณะเดียวกัน ก็มีการเฝ้าระวังในพื้นที่สำคัญ 3 จุด ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมไปถึงพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ เอาเป็นว่า คราวนี้ฝ่ายเจ้าหน้าที่มีการเตรียมพร้อมติดตามมากกว่าคราวที่แล้ว ซึ่งคราวนั้นเจ้าหน้าที่แทบจะตั้งตัวไม่ติด เพราะคนร้ายสามารถก่อเหตุต่อเนื่องได้พร้อม ๆ กันใน 7 พื้นที่ 7 จังหวัดสำคัญทางภาคใต้ตอนบน

ขณะเดียวกัน การจับกุมคนร้ายในครั้งนั้น ก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก อีกทั้งเรื่องมูลเหตุจูงใจก็ยังไม่มีการแถลงออกมาแบบฟันธงว่ามาจากเรื่องใดกันแน่ รู้แต่เพียงว่าผู้ที่ถูกออกหมายจับแทบทั้งหมดมาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพียงแต่เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับการขยายพื้นที่ก่อเหตุออกมาจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ แต่เป็นลักษณะออกมาในแบบ “รับจ้างก่อเหตุ” เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองเท่านั้น

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลที่พยายามสื่อออกมาให้เห็น ก็คือ เป็นฝีมือของกลุ่มการเมืองในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองระดับชาติที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับฝ่ายรัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งกลุ่มการเมืองดังกล่าวกำลังถูกรุกไล่ทุกด้านระดับหัวขบวนกำลังต้องคดีสำคัญเสี่ยงติดคุก และโอกาสที่จะหวนกลับคืนสู่อำนาจแทบมองไม่เห็นเลยในอนาคตอันไกล้นี้

เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่หลังจากเกิดเหตุลอบวางระเบิดและวางเพลิง ในพื้นที่ 7 จังหวัดทางภาคใต้ตอนบน เมื่อวันที่ 11 - 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา สังคมส่วนใหญ่กลับชี้หน้าไปที่กลุ่มการเมือง หรือ “กลุ่มอำนาจเก่า” ทันที เชื่อว่า มีเหตุจูงใจทางการเมืองแน่นอน เพราะเกิดขึ้นหลังจากการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ผ่านไปด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ลักษณะจึงออกมาในโทนข่มขู่ ประเภท “ถ้าข้าอยู่ไม่ได้เอ็งก็อย่าอยู่เป็นสุข” อะไรประมาณนั้น เพราะเป้าหมายในพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจในภาคใต้ และน่าสังเกตก็คือ ทุกจังหวัดโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ซึ่งก่อนหน้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยพูดในทำนองว่า “พวกคนเลว” ยังเคลื่อนไหวไม่หยุด

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งผลจากการก่อเหตุดังกล่าว ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่น้อย เพราะเหมือนกับการ “ตบหน้า” อย่างจัง เพราะเป็นการก่อเหตุที่แทบป้องกันไม่ได้เลย ที่บอกว่าเหมือนกับการตบหน้าก็เพราะว่ารัฐบาลชุดนี้ชูในเรื่อง “ความมั่นคง” แต่เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมามันก็เสียหาย และยิ่งบอกว่าเป็นเครือข่ายภายในประเทศด้วยแล้ว มันก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพด้าน “การข่าว” ว่า เป็นอย่างไร มันมีคำตอบให้เห็นอยู่แล้ว

ดังนั้น คราวนี้เมื่อมีการรับรู้ว่าเริ่มมีการเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันขึ้นมาอีก นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัว รวมไปถึงแสดงให้เห็นว่า มีการปรับปรุงด้านการข่าว มีการเชื่อมโยงข้อมูลกับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ทำให้มีการจู่โจมตรวจค้นพื้นที่ต้องสงสัยตามเป้าหมายอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเป็นเพียงการจับกุมผู้ต้องสงสัย แต่อย่างน้อยมันก็เหมือนกับการป้องปรามไม่ให้คนร้ายได้ลงมือสะดวกนัก

ขณะเดียวกัน เมื่อมีการเคลื่อนไหวด้านก่อการร้ายแบบเดิม อีกด้านหนึ่งฝ่ายที่น่าสงสัยก็ยังเป็นกลุ่มเดิม เพราะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหากกลุ่มอำนาจใหม่ในนาม คสช. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำอยู่ยาว ที่เห็นชัดก็คือหลายคดีเริ่มงวดเข้ามา แนวโน้มเสี่ยงคุกเสี่ยงยึดทรัพย์ยังไม่เปลี่ยนแปลง มันก็ต้องเร่งทำลายให้ย่อยยับ

สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จที่ชูผลงานด้านความมั่นคงมานานนับปี หากยังปล่อยให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นมาอีกในช่วงระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน มันก็จบเห่เหมือนกัน เพราะนั่นหมายถึงความพังพินาศทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ยังเป็นจุดเด่น อย่างไรก็ดี มันก็ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่อย่าให้เกิดเหตุเป็นอันขาด !!
กำลังโหลดความคิดเห็น