เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าโดนเข้าไปหลายดอกต่อเนื่องกัน จนอาจทำให้อารมณ์ขุ่นมัวก็ได้ สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ตอนแรกโดนกระหน่ำมาตั้งแต่เรื่อง “หลาน” ลูกชายของน้องชาย คือ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ในเรื่องอนุมัติลูกชายเข้ารับราชการทหาร ตอนนั้นก็ถูกวิจารณ์ถึงเรื่องความไม่เหมาะสมแบบใช้เส้นสาย แต่อาจเป็นเพราะเป็นกรณีที่โผล่ขึ้นให้เห็นเป็นเรื่องแรก ๆ หลังจากมีการชี้แจงทำนองว่า “คนอื่นเขาก็ทำ” และเป็นสิทธิที่ทำได้เป็นการภายใน สังคมก็หรี่ตามองผ่านไป ถัดมาก็มาเจอเอาดอกสำคัญ นั่นคือ ตัว พล.อ.ปรีชา เอง กับภรรยา คือ ผ่องพรรณ จันทร์โอชา เรื่อง “ฝายแม่ผ่องพรรณ” ที่ออกมาในทาง “เวอร์” เกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์และเงินหลวง ทำให้สังคมเริ่มหันมามองเป็นตาเดียว และเริ่มมีเสียงวิจารณ์ดังขึ้นผิดปกติ และยังแถมด้วยเรื่องของลูกชายอีกคน ที่ตั้งบริษัทในบ้านพักของพ่อในค่ายทหารรับงานก่อสร้างของกองทัพเสร็จสรรพ
เจอกันติด ๆ ต่อเนื่องแบบนี้ มันก็นั่งไม่ติด ต้องออกมาชี้แจงรับรองกันพัลวัน แต่มันก็คงช่วยไม่ได้มาก เพราะถ้ามองถึงเรื่องความเหมาะสมและกาลเทศะ จริยธรรม แล้วมันคนละเรื่องกับเหตุผล และระเบียบกฎหมายที่ทำมาอ้าง เหมือนกับที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ยกเอากฎหมายมากางแล้วยืนยันว่า ไม่ได้ผิด มันก็อาจจะใช่ แต่ความเห็นของชาวบ้านจะเห็นคล้อยตามหรือไม่นี่สิเรื่องใหญ่ และดีไม่ดีคนที่ออกมาการันตีนั่นแหละจะเสียคน
อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะลุกลามบานปลายไปไกลกว่านี้ จู่ ๆ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พี่ชายก็ออกมาเบรกเกมลดอารมณ์ชาวบ้านด้วยการพูดเปิดทางให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาสอบสวนตามที่มีการร้องเรียนกันอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งมีคำพูดวลีเด็ดที่ว่า “ถึงจะรักน้องเพียงใดแต่ทุกอย่างก็ว่ากันตามกฎหมาย” อะไรประมาณนี้แหละ ซึ่งแน่นอนว่า ท่าทีแบบนี้มันก็ได้ใจชาวบ้าน แม้ว่าในใจลึก ๆ พวกเขาก็พอมองออกว่าเอาเข้าจริงมันคงไม่มีการตรวจสอบอะไรมากนักหรอก รู้ ๆ กันอยู่เพียงแต่ว่าท่าทีแบบนี้มันช่วยทำให้ดับอารมณ์และถนอมน้ำใจคนที่เขายังรักและศรัทธาไม่ให้เสียความรู้สึกมากไปกว่านี้ อีกทั้งเชื่อว่า เมื่อเจอเข้าแบบนี้ ทั้งตัว พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา กับภรรยา คงจะได้คิดคงแหยงไม่กล้าทำอะไรเวอร์ ๆ แบบนี้อีก
แต่แล้วเรื่อง น้องชาย น้องสะใภ้ หลานชาย ไม่ทันซาดีนัก ดันมาเกิดเรื่องให้วิพากษ์วิจารณ์ถึงความ “เวอร์” ในแบบลงทุนไม่คุ้มค่า ท้าทายความรู้สึกชาวบ้านซ้ำเข้าไปอีกจังเบ้อเร่อ กับกรณี “เที่ยวบินเช่าเหมาลำ” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระหว่างไปร่วมประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ - อาเซียน ที่ฮาวาย เมื่อวันก่อน ตามข่าวบอกว่าใช้งบประมาณทั้งหมดราว 20.9 ล้านบาท เฉพาะค่าอาหารและเครื่องดื่มบนเที่ยวบินก็ปาเข้าไปตั้ง 6 แสนบาท สำหรับคณะที่ไปจำนวน 38 - 40 คน
แน่นอนว่า เรื่องแบบนี้มันอ่อนไหวและสะดุดต่อมอยากรู้อยากเห็น และที่สำคัญ โผล่ออกมาคราวใดเป็นต้องหัวเสียกันทุกที และรู้ทั้งรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันอ่อนไหวกระทบความรู้สึก มันก็เกิดขึ้นอีกจนได้ ขณะเดียวกัน เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว กลับมีท่าทีคนละอย่าง โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี แทนที่จะมีท่าทีตามน้ำเหมือนก่อน กลับมีอารมณ์หงุดหงิด “ท้าทายให้ไปฟ้องเอาเอง” แบบนี้ก็ยุ่งละซี
อีกทั้งเมื่อมีการสอบถามถึงคณะที่ไปร่วมประชุมกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในจำนวน 38 - 40 คนดังกล่าว มีใครเดินทางไปบ้าง ทางโฆษกกระทรวงกลาโหม ก็ได้รับคำสั่งมาแถลงว่าเปิดเผยไม่ได้อ้างว่าเป็นเรื่อง “ความมั่นคง” และยืนยันว่าเป็นการใช้งบประมาณที่คุ้มค่า เหมาะสม และจำเป็นต้อง “เช่าเหมาลำ” เพราะการบินไทยไม่มีเที่ยวบินตรงไปฮาวาย ต้องต่อเครื่องบินหลายครั้ง จนอาจเสียเวลา และไปประชุมไม่ทันเวลา อีกทั้งต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยสำหรับ พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในฐานะตัวแทนรัฐบาล
อาจเป็นเพราะไม่พยายามชี้แจงให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ออกมาในแบบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อ้างความมั่นคง มันก็เลยกลายเป็นประเด็นถูกขยายความวิพากษ์วิจารณ์กันกว้างขวาง โดยเฉพาะในโลกโซเซียลที่ฉับไวและไปไกลแบบไฟลามทุ่ง ดังนั้น การออกมาชี้แจงของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ดูเหมือนจะรับรู้อารมณ์ของชาวบ้านที่ยืนยันว่าไม่ได้หรูหราฟุ่มเฟือยอย่างที่วิจารณ์กัน มีการใช้งบประมาณไม่ได้เต็มจำนวนที่ระบุ และอาหารที่รับประทานบนเครื่องบินก็เป็นอาหารไทยธรรมดาเท่านั้น แต่มันก็ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้
เพราะอย่างที่บอกว่าเรื่องแบบนี้มันอ่อนไหวต่อความรู้สึกที่บรรดาผู้นำ คนสำคัญ และคนใกล้ชิด ต้องระมัดระวัง สอง ยิ่งตัวบุคคลที่เป็น “จุดอ่อน” ยิ่งต้องระวัง อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นี่ต้องยอมรับความจริงมาตั้งนานแล้วว่า เป็น “หลุมใหญ่” เลยก็ว่าได้ เพียงแต่ว่าในช่วงที่ผ่านมา มีกระแสศรัทธาในตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครอบทาบทับเอาไว้ ขณะเดียวกัน ชาวบ้านก็ยังฝากความหวังไว้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องการปฏิรูปบ้านเมือง การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งถือเป็นเรื่องหลัก จึงยอมหรี่ตาในเรื่องอื่นไปก่อน แต่เมื่อเกิดเรื่องซ้ำซากต่อเนื่องแบบประดังเข้ามาซ้อน ๆ กัน มันก็น่าหนักใจเหมือนกัน เพราะต้องไม่ลืมว่าคณะรัฐประหารชุดนี้อยู่ได้ด้วยพลังศรัทธาของประชาชนส่วนใหญ่เท่านั้น
ในทางตรงข้าม ตราบใดก็ตามที่พลังศรัทธานั้นถดถอยมันก็อยู่ลำบาก เพราะถึงตอนนั้นสารพัดเรื่องก็จะถูกโหมนำมาโจมตี โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องปากท้อง ที่เวลานี้ชาวบ้านกำลังกัดฟันอดทนมานาน มันก็จะประดังเข้ามา ถึงได้บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจโมโหได้วันละร้อยครั้ง ไม่น่ากลัวเท่ากับชาวบ้านโมโหพร้อมกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น !!