ผอ.สมาคมยาสูบ ซัดเลขาฯ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ โยนบาปให้ธุรกิจ อ้างนักสูบหน้าใหม่เพิ่มเหตุใช้กลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ ชี้เป็นสินค้าที่ถูก กม. มีการควบคุมเข้มอันดับต้นๆ ของโลก ยกข้อมูลสวนผู้สูบลดลง เผยผู้บริโภคหนีไปสูบของที่ถูกกว่าหลังเจอภาษีพุ่ง ติง สนช.ดัน กม.สุดโต่ง ละเมิดสิทธิผู้ค้าเกินไป แก้ปัญหาไม่ตรงจุด
วันนี้ (26 ก.ย.) จากกรณีที่ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ออกมาเปิดเผยว่าตลาดบุหรี่ไทยจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 5.2 หมื่นล้านมวน และมีมูลค่าสูงถึง 1.9 แสนล้านบาท เหตุใช้กลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ จับนักสูบหน้าใหม่ ประเด็นนี้ นางวราภรณ์ นะมาตร์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทยกล่าวว่า “สิ่งที่นักล็อบบี้ยิสต์ต้านบุหรี่กล่าวเป็นการโยนบาปให้ธุรกิจและคนทำมาหากินที่สินค้านี้ยังเป็นสินค้าที่ถูกกฎหมาย อีกทั้งประเทศไทยเองมีกฎหมายที่ควบคุมเรื่องการขายยาสูบอย่างเข้มงวดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ข้อมูลดังกล่าวสวนทางกันเองกับข้อมูลที่หน่วยงานตนเองได้เอามาเผยแพร่ว่า ระหว่างปี 2534-2558 ขณะที่จำนวนคนที่สูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่กลับลดลงเหลือ 10.9 ล้านคน นั่นคือลดลงจาก 12.3 ล้านคน ในปี 2534 ลดไป 1.4 ล้านคน
ปัจจุบันตลาดบุหรี่ในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากผู้บริโภคหันไปซื้อผลิตภัณฑ์ยาสูบที่มีราคาถูกหรือราคาต่ำ อันเป็นผลมาจากมาตรการภาษีที่สูงขึ้นอย่างฉับพลัน ที่รัฐกำหนดให้ภาษีสรรพสามิตยาสูบเพิ่มสูงเป็นร้อยละ 90 จนชนเพดานการจัดเก็บ ส่งผลให้ราคาบุหรี่พุ่งขึ้นไปจากเดิมในช่วง 10-25 บาททั้งบุหรี่ไทยและบุหรี่นำเข้า แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ การ down-trading ที่ผู้บริโภคไม่ได้หยุดซื้อ แต่กลับไปหาของราคาถูกกว่าแทนซึ่งส่วนมากจะเป็นสินค้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้สัดส่วนการบริโภคยาสูบของไทยกว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มผู้ใช้ยาเส้นมวนเองที่มีการเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำมากจนถึงไม่เก็บเลย จึงทำให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในท้องตลาด
สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือ แนวทางการรณรงค์ของหน่วยงานเหล่านี้ที่ได้รับงบประมาณมหาศาลจากการเก็บภาษีสุรา-ยาสูบกว่าสี่พันล้านบาทต่อปี ว่านโยบายที่นำเสนอนั้นมีประสิทธิภาพและแก้ปัญหาตรงจุดหรือไม่ ร่างกฎหมายควบคุมยาสูบปัจจุบันที่เหล่านักรณรงค์กำลังผลักดันวิ่งเต้นใน สนช. มีข้อกำหนดที่สุดโต่งและละเมิดสิทธิผู้ค้าขายมากเกินไปและไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าใกล้ยาสูบ เช่น กฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบที่ห้ามไม่ให้พิมพ์โลโก้ และเครื่องหมายการค้าใดๆ อันเป็นสิทธิชอบธรรมของภาคธุรกิจ สิ่งนี้จะทำให้ซองบุหรี่ปลอมง่ายขึ้น สถานการณ์บุหรี่เถื่อน-ปลอมก็จะยิ่งเลวร้ายลง ปัจจุบันเรามีกฎหมายเรื่องกำหนดอายุขั้นต่ำผู้ซื้ออยู่แล้วที่จะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทาง อีกทั้งสมาคมฯ มองว่ารัฐควรเน้นมาตรการที่ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่เยาวชนดีกว่าที่จะมาออกกฎหมายที่สุดโต่งแต่ตีไม่ตรงประเด็นและไร้ประสิทธิภาพ สมาคมฯ ขอวิงวอนให้ สนช. ศึกษาและรับฟังข้อเท็จจริงในเรื่องผลกระทบจากร่างกฎหมายสุดโต่งนี้อย่างรอบด้านกับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งกลุ่มผู้ค้าปลีกโชห่วย ชาวไร่ยาสูบและผู้เกี่ยวข้อง”
วันนี้ (26 ก.ย.) จากกรณีที่ ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ออกมาเปิดเผยว่าตลาดบุหรี่ไทยจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 5.2 หมื่นล้านมวน และมีมูลค่าสูงถึง 1.9 แสนล้านบาท เหตุใช้กลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ จับนักสูบหน้าใหม่ ประเด็นนี้ นางวราภรณ์ นะมาตร์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทยกล่าวว่า “สิ่งที่นักล็อบบี้ยิสต์ต้านบุหรี่กล่าวเป็นการโยนบาปให้ธุรกิจและคนทำมาหากินที่สินค้านี้ยังเป็นสินค้าที่ถูกกฎหมาย อีกทั้งประเทศไทยเองมีกฎหมายที่ควบคุมเรื่องการขายยาสูบอย่างเข้มงวดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ข้อมูลดังกล่าวสวนทางกันเองกับข้อมูลที่หน่วยงานตนเองได้เอามาเผยแพร่ว่า ระหว่างปี 2534-2558 ขณะที่จำนวนคนที่สูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่กลับลดลงเหลือ 10.9 ล้านคน นั่นคือลดลงจาก 12.3 ล้านคน ในปี 2534 ลดไป 1.4 ล้านคน
ปัจจุบันตลาดบุหรี่ในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไป เนื่องจากผู้บริโภคหันไปซื้อผลิตภัณฑ์ยาสูบที่มีราคาถูกหรือราคาต่ำ อันเป็นผลมาจากมาตรการภาษีที่สูงขึ้นอย่างฉับพลัน ที่รัฐกำหนดให้ภาษีสรรพสามิตยาสูบเพิ่มสูงเป็นร้อยละ 90 จนชนเพดานการจัดเก็บ ส่งผลให้ราคาบุหรี่พุ่งขึ้นไปจากเดิมในช่วง 10-25 บาททั้งบุหรี่ไทยและบุหรี่นำเข้า แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ การ down-trading ที่ผู้บริโภคไม่ได้หยุดซื้อ แต่กลับไปหาของราคาถูกกว่าแทนซึ่งส่วนมากจะเป็นสินค้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้สัดส่วนการบริโภคยาสูบของไทยกว่าร้อยละ 50 เป็นกลุ่มผู้ใช้ยาเส้นมวนเองที่มีการเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำมากจนถึงไม่เก็บเลย จึงทำให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในท้องตลาด
สิ่งที่ต้องตั้งคำถามคือ แนวทางการรณรงค์ของหน่วยงานเหล่านี้ที่ได้รับงบประมาณมหาศาลจากการเก็บภาษีสุรา-ยาสูบกว่าสี่พันล้านบาทต่อปี ว่านโยบายที่นำเสนอนั้นมีประสิทธิภาพและแก้ปัญหาตรงจุดหรือไม่ ร่างกฎหมายควบคุมยาสูบปัจจุบันที่เหล่านักรณรงค์กำลังผลักดันวิ่งเต้นใน สนช. มีข้อกำหนดที่สุดโต่งและละเมิดสิทธิผู้ค้าขายมากเกินไปและไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมไม่ให้เยาวชนเข้าใกล้ยาสูบ เช่น กฎหมายซองบุหรี่แบบเรียบที่ห้ามไม่ให้พิมพ์โลโก้ และเครื่องหมายการค้าใดๆ อันเป็นสิทธิชอบธรรมของภาคธุรกิจ สิ่งนี้จะทำให้ซองบุหรี่ปลอมง่ายขึ้น สถานการณ์บุหรี่เถื่อน-ปลอมก็จะยิ่งเลวร้ายลง ปัจจุบันเรามีกฎหมายเรื่องกำหนดอายุขั้นต่ำผู้ซื้ออยู่แล้วที่จะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทาง อีกทั้งสมาคมฯ มองว่ารัฐควรเน้นมาตรการที่ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่เยาวชนดีกว่าที่จะมาออกกฎหมายที่สุดโต่งแต่ตีไม่ตรงประเด็นและไร้ประสิทธิภาพ สมาคมฯ ขอวิงวอนให้ สนช. ศึกษาและรับฟังข้อเท็จจริงในเรื่องผลกระทบจากร่างกฎหมายสุดโต่งนี้อย่างรอบด้านกับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งกลุ่มผู้ค้าปลีกโชห่วย ชาวไร่ยาสูบและผู้เกี่ยวข้อง”