“ประยุทธ์” กล่าวถัอยแถลงในการอภิปรายทั่วไปในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ย้ำเลือกตั้งปี 60 สู่หนทางประชาธิปไตย ยันตระหนักถึงเสียงประชาคมโลก แจงเข้ามาช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อทำให้ประเทศสงบเรียบร้อย ขจัดทุจริตคอร์รัปชันให้หมดไป ชมเลขาฯ UN ผลักดันประเด็นต่างๆ
วันนี้ (22 ก.ย.) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการเปิดอภิปรายทั่วไป ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 71 ในหัวข้อ “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน : แรงผลักดันสากลเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกของเรา” (The Sustainable Development Goals : a universal push to transform our world) โดย พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเมื่อปีที่แล้วประชาคมโลกได้รับรองวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน 2030 ร่วมกันเพื่อผลักดันให้การพัฒนาของโลกดำเนินไปอย่างสมดุลและยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับ “คน” ทุกกลุ่ม เพิ่มการเข้าถึงโอกาสและความเจริญอย่างเท่าเทียม โดยไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง อันเป็นการปรับกระบวนทัศน์ด้านการพัฒนาครั้งสำคัญของสหประชาชาติให้ครอบคลุมและสามารถรับมือกับปัญหาและความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับปีนี้เป็นปีที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติครบ 70 ปี และเป็นปีแรกที่เริ่มต้นนำวาระสำคัญของโลกสู่การปฏิบัติ กรอบเซนไดเรื่องการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ความตกลงปารีสเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผนปฏิบัติการระดมทุนเพื่อการพัฒนา และวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน รัฐบาลไทยเชื่อว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากสันติภาพและความมั่นคง หรือหากสิทธิของประชาชนถูกละเมิดและไม่ได้รับการยอมรับ ในทางกลับกัน สันติภาพและความมั่นคงก็จะไม่ยั่งยืนหากขาดการพัฒนาที่เหมาะสม หรือสิทธิของประชาชนถูกลิดรอน ทั้ง 3 เสาหลักของสหประชาชาติดังกล่าวมีความเชื่อมโยง และเกื้อกูลกันอย่างแยกออกจากกันมิได้ กรณีผู้โยกย้ายถิ่นฐานและผู้พลัดถิ่นในช่วงที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างความเชื่อมโยงดังกล่าวที่แสดงให้เห็นด้วยว่า ไม่มีประเทศใดหลุดพ้นจากผลกระทบของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอีกมุมหนึ่งของโลกได้ และเราต้องร่วมกันรับผิดชอบหาทางแก้ปัญหาต่างๆ ที่ต้นเหตุอย่างยั่งยืน
ยุคปัจจุบันที่เราต้องเผชิญกับความท้าทายในหลากมิติที่มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน ความหลากหลายของประชากรกว่า 7,000 ล้านคน ในเกือบ 200 ประเทศ เพิ่มความท้าทายในการรับมือกับปัญหา และการแสวงหาทางออกที่เป็นสากล เนื่องจากแต่ละประเทศมีแนวคิด ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้น ประชาคมระหว่างประเทศต้องหาแนวทางและวิธีการที่จะทำให้ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ มีความเข้าใจ รับผิดชอบ และเคารพซึ่งกันและกัน ตลอดจนสามารถเข้าถึงโอกาส และสิทธิพื้นฐานต่างๆ อย่างทัดเทียมกันโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ โดยทุกคนต้องเคารพและปฏิบัติตามพันธกรณีของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะในประเด็นที่ส่งผลกระทบด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรง เช่น พันธกรณีเรื่องการลดอาวุธนิวเคลียร์
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแบ่งปันความรับผิดชอบ พร้อมกำหนดกรอบและทิศทางการพัฒนาร่วมกันของประเทศสมาชิก ตลอดจน บทบาทของกลุ่มภูมิภาค กลุ่มการเมือง กลุ่มเศรษฐกิจ และกลไกความร่วมมือต่างๆ ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เพราะประเทศหนึ่งประเทศใดย่อมไม่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกได้โดยลำพัง
การบรรลุเป้าหมายความร่วมมือเพื่อการพัฒนาจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในรูปแบบต่างๆ ทั้งเหนือ-ใต้ ใต้-ใต้ และไตรภาคี เพื่อสร้างแรงผลักดันสากลเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกของเรา
ไทยได้รับเกียรติและโอกาสให้ทำหน้าที่ประธานกลุ่ม 77 ในปีนี้ และได้วางเป้าหมายที่จะนำวิสัยทัศน์ระดับโลกข้างต้นมาปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ โดยมีบทบาทประสาน ผลักดัน เชื่อมโยงผลประโยชน์ของกลุ่มฯ ในเวทีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การได้รับเกียรติในฐานะประธานกลุ่ม 77 ให้เข้าร่วมการประชุมของกลุ่ม 20 เป็นครั้งแรก ที่นครหางโจว โดยไทยร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการผลักดันและขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2030 ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะความสำคัญของการร่วมมือระหว่างกลุ่ม 20 ในฐานะกลุ่มประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจการเงินกับกลุ่ม 77 ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยลดความหวาดระแวง สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและผลประโยชน์ร่วมกัน
ทั้งนี้ ไทยได้นำเสนอตัวอย่างประสบการณ์และบทเรียนของไทยในการก้าวผ่านอุปสรรคด้านการพัฒนาโดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEP) ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เน้นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมบนแนวคิดความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกัน พร้อมกับปลูกฝังคุณธรรม และพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อให้สังคมพัฒนาได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน โดยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การนำหลัก SEP ไปประยุกต์ใช้ในประเทศกำลังพัฒนาในบริบทต่างๆ กันแล้วกว่า 20 ประเทศ
ตั้งแต่รับตำแหน่งประธานกลุ่ม 77 เมื่อต้นปี ไทยได้ดำเนินโครงการ SEP for SDGs Partnership การแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับการลงทุนและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนา ตลอดจนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกันเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเหมาะกับบริบทของแต่ละประเทศผ่านความร่วมมือทวิภาคี และไตรภาคีในรูปแบบต่างๆ อาทิ กับประเทศที่เป็นหุ้นส่วนการพัฒนา และไทยยังพร้อมเชื่อมโยงความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม BRICS อาเซียน ฯลฯ ที่หันมาให้ความสำคัญกับวาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมกลไกความร่วมมือระดับภูมิภาคต่าง ๆ ที่มีอยู่ เพื่อสร้างแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโลกของเราให้ดีขึ้น โดยในเดือนตุลาคมนี้ ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอด Asia Cooperation Dialogue (ACD) ครั้งที่ 2 ซึ่งสามารถหารือเพื่อส่งเสริมประเด็น SDGs ในระดับภูมิภาคต่อไปด้วย
การประชุมสุดยอดอาเซียนเมื่อต้นเดือนนี้ที่เวียงจันทน์ เลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวถึงความสำคัญของกลไกระดับภูมิภาคที่จะช่วยส่งเสริมและผลักดันให้เกิดสันติภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งผู้นำอาเซียนและไทยเชื่อว่า การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกของเราไปในทางที่ดีขึ้น
การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปีนี้ นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ และความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมที่ทำให้ประชาชนอาเซียนใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นแล้ว การพัฒนาความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันยังนำไปสู่การลดความขัดแย้งและสร้างสันติภาพในภูมิภาคด้วย
ในระดับชาติ ไทยได้ให้ความสำคัญต่อการขับเคลื่อนสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนโดยได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ ตั้งเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 12 และยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี พร้อมนำเป้าหมายเพื่อการพัฒนาดังกล่าวแปลงไปสู่การกำหนดนโยบายและมาตรการระดับชาติ ได้แก่ การยกระดับการบริการดูแลด้านสุขภาพ และส่งเสริมการศึกษาของประชาชนทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่องและเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นคนไทย ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน หรือแรงงานต่างชาติในประเทศ โดยมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การรณรงค์ด้านสาธารณสุข เช่น การดื้อยาต้านจุลชีพ และส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จะช่วยพัฒนาโอกาสให้กับเด็กและเยาวชนทุกคนในประเทศ
รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน เสรีภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเข้าถึงบริการพื้นฐานแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยได้วางโครงสร้างและปรับปรุงกฎหมายภายในเพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน ออกกฎหมายเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ส่งเสริมสิทธิสตรี และให้ความคุ้มครองกับกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ ดูแลสวัสดิการเด็กแรกเกิด คนพิการและผู้สูงอายุ จัดที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย จัดสรรที่ดินทำกินแก่ผู้ยากไร้ เนื่องจากรัฐบาลตระหนักว่า กลุ่มคนเหล่านี้สามารถมีส่วนร่วมที่สำคัญในการผลักดัน เปลี่ยนแปลงสังคม และโลกของเราอย่างยั่งยืนได้
การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไทยได้ให้สัตยาบันข้อตกลงปารีสแล้ว และขอเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ เร่งให้สัตยาบันความตกลงฯ โดยเร็ว เพื่อแสดงออกซึ่งความมุ่งมั่น ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และความรับผิดชอบร่วมกันต่อปัญหาโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กระทบกับมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก
ด้านเศรษฐกิจ ไทยได้ดำเนินการภายใต้แนวคิด “ประเทศไทย 4.0 ” ซึ่งใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมีทิศทางและยั่งยืน ทั้งในภาคเกษตร อุตสาหกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนเน้นส่งเสริมการศึกษา การวิจัยและพัฒนา ปรับปรุงกฎระเบียบให้เป็นสากล พร้อมขจัดปัญหาคอรัปชั่น เพื่อให้เอื้อต่อการทำธุรกิจและสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตประเทศ
ประเด็นสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ไทยได้สนับสนุนภารกิจรักษาและสร้างสันติภาพของสหประชาชาติมาอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของไทยได้เข้าร่วมภารกิจต่าง ๆ ราว 20 ภารกิจ ซึ่งได้ใช้โอกาสดังกล่าวพัฒนาคนไปพร้อมกันด้วย โดยส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุข สร้างสังคมที่เข้มแข็ง และพัฒนาประเทศต่อไปได้ในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 16 เรื่องสังคมที่สงบสุขและครอบคลุมสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ในการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติทั้ง 17 ข้อมาปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ไทยเห็นว่า ไม่มีสูตรตายตัวในการสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่เป็นไปตามศักยภาพและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน ซึ่งความร่วมมือระหว่างประเทศและความเป็นหุ้นส่วนด้านการพัฒนาเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างเอกภาพบนความแตกต่าง ด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสถานการณ์ภายในประเทศว่า รัฐบาลได้วางรากฐานเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมาประชาชนได้ใช้สิทธิลงประชามติรับรองร่างรัฐธรรมนูญตามวิถีทางประชาธิปไตยแล้ว และกำลังพิจารณากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญต่างๆ ให้แล้วเสร็จ นำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแมปได้ในปลายปี 2560
การออกเสียงลงประชามตินี้สะท้อนถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่จะส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตย โดยตระหนักถึงเสียงสะท้อนจากประชาคมระหว่างประเทศ รัฐบาลเข้ามาเพื่อดูแลสถานการณ์ ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและความมั่นคง และเมื่อสถานการณ์บ้านเมืองดำเนินไปสู่สภาวะปกติสุขแล้ว รัฐบาลก็ผ่อนคลายมาตรการชั่วคราวที่ไม่จำเป็น เช่น การประกาศยกเลิกการนำพลเรือนขึ้น ศาลทหารเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐบาลได้เน้นการแก้ไขปัญหาความมั่นคง การทุจริต การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมต่างๆ ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังและรอการแก้ไข เป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอซึ่งเป็นการวางรากฐานเพื่อการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืนและส่งเสริมธรรมาภิบาล โดยหวังให้ประเทศไทยและประชาชนไทยเป็นสมาชิกที่มีคุณภาพของสังคมโลกอย่างยั่งยืนต่อไป
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของเลขาธิการสหประชาชาติตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ที่ได้ริเริ่มและผลักดันประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นข้อริเริ่มการบูรณาการเรื่องสิทธิมนุษยชนในงานของสหประชาชาติ หรือวาระเพื่อมนุษยธรรม และขออวยพรให้เลขาธิการสหประชาชาติประสบความสำเร็จในภารกิจสำคัญอื่นๆ ที่ต้องรับผิดชอบในอนาคต