ป้อมพระสุเมรุ
บัญชีโยกย้ายแต่งตั้ง “บิ๊กทหาร” ปีนี้ คลอดเรียบร้อย 798 ที่นั่ง ตรงตามโผที่หลุดออกมาล่วงหน้าเป๊ะๆ โดยเฉพาะบรรดา “ผู้นำเหล่าทัพ” ที่โผไม่พลิก ทั้ง “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และ “บิ๊กจอม” พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง กับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.)
ขณะที่บิ๊กเบิ้มที่ไม่ได้คุมกำลังพล จนแทบไม่มีใครสนใจ ก็ไม่เซอร์ไพร์สทั้ง “บิ๊กช้าง” พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล จากรองปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นชั้นปลัดกระทรวงกลาโหม หรือ “บิ๊กปุย” พล.อ.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ เสนาธิการทหาร เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สูงสุด)
แน่นอนว่าไฮไลท์ “โผนายพล” งวดนี้ หนีไม่พ้น การที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” เบียดแซง “บิ๊กแกละ” พล.อ. พิสิทธิ์ สิทธิสาร เข้าป้ายจ่าฝูง ทบ.ไปแบบต้องตัดสินกันด้วยภาพถ่าย ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์นายทหารจาก “รบพิเศษป่าหวาย" รายที่ 4 ที่ขึ้นสู่ทำเนียบ ผบ.ทบ. ต่อจาก พล.อ.วิมล วงศ์วานิช “บิ๊กแอ้ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
ตามข่าวว่างานนี้ “บิ๊กแอ้ด” ทุ่มโหวตดันก้นน้องรักสุดตัว แถมยังได้ “พ่อยก” ระดับ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โชว์พาวเวอร์แบบนิ่มๆช่วยอีกแรง ชัดเจนกับภาพที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” โผล่ไปร่วมเฟรมชักภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับ “ป๋าเปรม” บนเวทีคอนเสิร์ตการกุศล “รักเพลง รักแผ่นดิน ครั้งที่ 10 : เธอคือความสุข" ณ โรงละครแห่งชาติ เมื่อค่ำคืนวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตที่จัด เพื่อหารายได้สนับสนุนกิจการมูลนิธิ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ กรมดุริยางค์ทหารบก เพื่อพัฒนาการดนตรี ในโอกาสคล้ายวันเกิดครบของ พล.อ.เปรม เป็นประจำทุกปี
จนหนังสือพิมพ์หลายฉบับพร้อมใจกันนำภาพที่ระลึกขึ้นหน้าหนึ่งอย่างพร้อมเพรียงกันในวันถัดมา ก็เท่ากับคอนเฟิร์มข่าวที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” แหกโผแซงเต็งหามจากสาย “บูรพาพยัคฆ์” อย่าง “บิ๊กแกละ” เข้าวิน ผบ.ทบ.อย่างไม่เป็นทางการ
การที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” ลูกหม้อรบพิเศษ แหกด่านทุบสถิติผูกขาดของ ผบ.สาย “เสือตะวันออก” ที่เป็นต่อเนื่องมา 5 สมัยตั้งแต่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “บิ๊กโด่ง” พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร และ “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผบ.ทบ.คนปัจุบัน แบบไม่เว้นให้นายทหารสายอื่นได้หายใจหายคอ ถือเป็นการประสานประโยชน์ สยบความไม่เป็นเอกภาพในกองทัพ
ซึ่งเป็นความต้องการของ “น้องตู่” ที่กล่อม “ป๋าป้อม” พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ ในทำนองก่อนจะคิดสลายขั้วคนอื่น ต้องสร้างความสามัคคี สมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นในกงอทัพเสียก่อน และก็เป็น “บิ๊กแกละ” ที่ต้องก้มยอมรับบท “พระรอง” แบบฮืออือไม่ได้
อีกทั้ง “บิ๊ก คสช.” คงประเมินแล้วถึง “สถานการณ์พิเศษ” ในช่วงเปลี่ยนผ่านตามโรดแมป คสช. จำเป็นต้องมีมือทำงานปฏิบัติการพิเศษค่อยขับเคลื่อนภารกิจบางประการ ซึ่ง “ทหารรบพิเศษ” ก็ตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
โดยทั้ง “บิ๊กเจี๊ยบ” ผบ.ทบ.ป้ายแดง และ “บิ๊กจอม” ผบ.ทอ.ป้ายแดง ที่เหลืออายุราชการ 2 ปีหากไม่มีอุบัติเหตุใดๆก็มีสัมปทานยาวถึงสิ้นกันยายนปี 2561 ย่อมเป็นกำลังสำคัญในการค้ำอำนาจของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
แต่สัมปทานของ “แบเร่ต์แดง-รบพิเศษ” ก็คงหมดลงภายใน 2 ปี จากไลน์ที่วาง “บิ๊กเข้” พล.ท.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ แม่ทัพภาคที่ 1 เข้ามาเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ. หรือ 1 ใน 5 เสือ ทบ. ตีตราจองขึ้นจ่าฝูง ทบ. สายตำนานเสือตะวันออกในรอบหน้า
อีกจุดสำคัญคือการวางน้องรัก “บิ๊กตู่” จากสายวงศ์เทวัญ อย่าง “บิ๊กแดง” พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ทายาท “บิ๊กจ๊อด” พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 กำลังหลักในการคุม “พระนคร” เพื่อความอุ่นใจ แต่ก็เป็นอีกจุดที่เห็นต่างจาก “บิ๊กป้อม” ที่ไม่ค่อยปลื้มทหารสายวงศ์เทวัญ ที่ถูกมองว่าเป็น “ทหารเมืองกรุง” เท่าไรนัก
นอกเหนือจากตำแหน่งหลักในกองทัพแล้วที่วิเคราะห์อ่านเกมว่าเป็นการวางยุทธศาสตร์สานอำนาจ คสช.แล้ว ที่น่าสนใจและถูกแซววิ้อวิ้วก็ “คู่หูโทรโข่งรัฐบาล” ทั้ง “บิ๊กไก่อู” พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ “บิ๊กโหน่ง” พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้บำเหน็จจากผลงานหนังหน้าไฟ คสช. ได้ติดยศ พล.ท. ในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก พร้อมกัน ทั้งที่ไม่กี่ปีก่อนยังเป็น พ.อ.อยู่หลั่ดๆ
ส่วนที่วิจารณ์กันอื้ออึงคงเป็นคิวที่ “บิ๊กหมู” พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่วันนี้ แต่งตั้ง “น้องชายร่วมสายเลือด” ขึ้นตำแหน่งสำคัญพร้อมกันถึง 2 คน ทั้ง “บิ๊กอาร์ท” พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช ที่ปรึกษากองทัพบก ได้เป็น แม่ทัพภาค 4 และ “เสธ.อู๋” พ.อ.วุฒิชัย นาควานิช ขยับจากรองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 (รอง ผบ.พล.ร.9) เป็น ผบ.พล.ร.9 แทน “บิ๊กหนุ่ย” พล.ต.ธรรมนูญ วิถี ที่โดดไปเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ในรายของ “เสธ.อู๋” นั้น ไม่ค่อยเท่าไร เพราะมีการวางตัวขึ้นตามสายงานจาก รอง ผบ.ขึ้นเป็น ผบ.ในหน่วยงานเดิม
แต่กรณีของ “บิ๊กอาร์ท” ค่อนข้างมีเครื่องหมายคำถามว่าไปยังไงมายังไง เพราะนอกจากประวัติการทำงานที่ไม่เคยคุมหน่วยกำลังพลมาก่อน ประเดิมครั้งแรก็ขึ้นชั้นแม่ทัพภาคเลย แถมตามข่าวก็ยังระบุว่า ปาดหน้าแคนดิเดตอย่าง พล.ท.เรืองศักดิ์ สุวรรณนาคะ แม่ทัพน้อยที่ 4 ที่กระเด็นไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก
แต่ก็ดูเบา “บิ๊กอาร์ท” ไม่ได้เหมือนเพราะที่ก็ได้ชื่อว่าเป็นนายทหารคลุกคลีกับานในพื้นที่จังหวัดภาคใต้มาพอสมควร แม้จะหนักไปในเชิงการข่าว ไม่ได้คุมกำลังพลก็ตาม โดยเฉพาะตำแหน่งหัวหน้าส่วนประสานงานไทย-มาเลเซียในสมัยที่เป็น ผอ.ข่าวกรอง กอ.รมน.ภาค 4 แต่ก็ถือว่ามีความเข้าใจรู้ปัญหาไฟใต้อยู่พอตัว
แน่นอนว่า ภารกิจสำคัญของ “บิ๊กอาร์ท” ย่อมหนีไม่พ้นการแก้ไขปัญหาความรุนแรง และการเฝ้าระวังการก่อเหตุในพื้นที่ ผ่านประสบการณ์ด้านงานข่าวกรอง ซึ่งไม่นานมานี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตัวพี่ชาย “บิ๊กหมู” เองก็ยอมรับว่าเป็นจุดอ่อน จนเกิดเหตุการวางระเบิดที่หน้าโรงเรียนใน อ.ตากใบ ทำให้เด็กหญิงอนุบาลต้องสังเวยชีวิตไปพร้อมหกับผู้เป็นพ่อไม่นานมานี้
การที่ “บิ๊กหมู” ส่งน้องชายขึ้นตำแหน่งสำคัญก่อนเกษียณได้ถึง 2 คน อาจจะยังไม่สามารถทาบรัศมี “วงษ์สุวรรณบราเทอร์ส” ที่ผงาดขึ้นคุมกำลังทหาร-ตำรวจในเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่อย่างน้อยๆก็แสดงให้เห็นว่า “บิ๊ก คสช.” ทั้ง “พี่ตู่ - พี่ป้อม” ค่อนข้างให้ความสำคัญกับ “น้องหมู” จนทำให้ “นาควานิชบราเทอร์ส” ประกาศศักดาขึ้นมาในรอบนี้
เป็นเครื่องการันตีว่า ทั้ง “บิ๊กหมู” และน้องชายทั้งสอง จะยังเป็นหมากสำคัญในการช่วยค้ำยันอำนาจ คสช.ต่อไป.