คอลัมน์เศรษฐศาสตร์เพื่อชีวิตใน นสพ.ไทยโพสต์ เขียนถึง “สนธิ ลิ้มทองกุล” สื่อผู้เพาะต้นกล้าสันติปฏิวัติสังคมไทย ระบุ การทำธุรกิจย่อมมีโอกาสพลาด แต่ชีวิตก็ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม เสียสละชูธง “เอาธรรมนำหน้า” เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อีกทั้งได้ประจักษ์ให้กฎหมายเป็นกฎหมาย สร้าง “นิวส์วัน” เป็นสื่อกลางเรียนรู้สังคมเห็นความไม่ถูกต้อง - ไม่เป็นธรรม พร้อมเป็นกำลังใจให้ครอบครัว โดยเฉพาะ “จิตตนาถ” แบกรับภาระรอผู้นำกลับมา
วันนี้ (13 ก.ย.) ใน คอลัมน์ เศรษฐศาสตร์เพื่อชีวิต โดย รศ.ดร.วิวัฒน์ชัย อัตถากร นักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้กล่าวถึง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเมื่อวันที่ 6 ก.ย. ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก 20 ปี ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ว่า “เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 ข่าวศาลฎีกาพิพากษาจำคุก “สนธิ ลิ้มทองกุล” เป็นเวลา 20 ปี ไม่รอลงอาญาในคดีผิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในการทำเอกสารรายงานการประชุมเท็จค้ำประกันเงินกู้แบงก์พันล้าน ได้แพร่สะพัดเหมือนไฟลามทุ่ง ถูกนำเสนอเป็นข่าวเด่น - ข่าวดัง - ข่าวร้อน ตามสื่อต่าง ๆ ในเวลาต่อมา มีทั้งคนทับถมซ้ำเติมด้วยความสะใจ มีทั้งคนเสียใจ เศร้าใจ และคนเห็นใจ
ความจริงคดีนี้เป็นคดีทางธุรกิจเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ก่อนที่ สนธิ ลิ้มทองกุล จะขึ้นมาเป็นแกนนำมวลชน คดีนี้จึงไม่เกี่ยวข้องกับบทบาทของเขาในฐานะแกนนำทางการเมืองคนสำคัญในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) แต่ประการใด
มองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในคดีนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2539 ต่อเนื่องปี 2540 เป็นคดีเกี่ยวข้องกับการทำหนังสือจากบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เพื่อค้ำประกันเงินกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้กับ บริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,078 ล้านบาท (โดยหลักทรัพย์ที่นำไปค้ำประกันก็มีมูลค่าสูงกว่าจำนวนเงินที่กู้จากธนาคาร) และไม่ได้นำภาระการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวที่เป็นรายการที่ทำให้รายได้ของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ เปลี่ยนแปลงผิดปกติ ซึ่งต้องแสดงรายการไว้ในงบการเงินประจำปี 2539 - 2541 และจะต้องนำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีกทั้งโดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ก็คือ คดีนี้ไม่มีผู้ถือหุ้นของบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ฟ้องร้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายแม้แต่รายเดียว หรือแม้แต่ธนาคารกรุงไทยเองก็ไม่ได้ฟ้องร้องดำเนินคดีเช่นกัน (ผู้จัดการสุดสัปดาห์ 10 - 16 ก.ย. 59 ฉบับที่ 358)
หลายคนที่รักห่วงใยผูกพัน สนธิ ลิ้มทองกุล มองว่า คนที่ทุ่มเทเสียสละเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อสังคมทำไมพระเจ้าต้องบันดาลให้มารับกรรมแบบนี้ เป็นเวรกรรม เป็นกรรมเก่าอะไรหนอ ต่อไปจะมีใครอยากทำความดีหรือเสียสละเพื่อสังคมกันอีกเล่า สังคมโดยทั่วไปมองคนติดคุกเป็นคนชั่ว คนไม่ดี ยิ่งติดนาน ๆ ถึง 20 ปี ยิ่งต้องเป็นคนเลว คนชาติชั่ว อันที่จริงแล้วสังคมไม่ควรมองคนติดคุกแบบฉาบฉวย เพราะคนต้องติดคุกมาจากหลายสาเหตุ ซึ่งไม่เหมือนกัน คนบางคนถูกติดคุกทั้ง ๆ ที่ไม่ทำความผิด จนตายในคุกยิ่งน่าสงสาร เช่น คดีเชอรี่ แอนด์ ดันแคน สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้ฆ่าคนตาย ไม่ได้เป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติด ไม่ได้ทำให้ชาติเสียหายหลายหมื่นหลายแสนล้าน ไม่ได้หนีการจับกุมคุมขัง เพียงแค่ทำเอกสารเท็จ ต้องถูกจำคุก 20 ปี เป็นเรื่องที่ผู้คนรักห่วงใยผูกพันสนธิ รู้สึกเศร้าใจ จึงคิดว่าเป็นเรื่องของเวรกรรมหรือกรรมเก่า มีตัวอย่างจริงหลายรายที่ผิดเกี่ยวกับเรื่องธรรมาภิบาลและบรรษัทภิบาล เสียหายหลายแสนล้าน ติดคุกไม่กี่ปี บางรายแค่รอลงอาญา บางรายหนีคุก บางรายพิจารณานานหลายปี คดีขาดอายุความ รัฐบาลพูดจะพัฒนาให้เป็นมาตรฐานสากล ขอให้ทำจริง อย่าลูบหน้าปะจมูกก็แล้วกัน
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ เคยปาฐกถาธรรม เรื่อง “ชีวิตที่เจริญด้วยธรรม และการใช้ชีวิตที่ประเสริฐที่สุด” ตอนหนึ่ง โดยยกพุทธภาษิตให้เห็นว่า ความเชื่อว่าสุขหรือทุกข์เป็นผลกรรมเก่านั้นเป็นเรื่องงมงาย เป็นมิจฉาทิฏฐิว่า
สุข - ทุกข์ มิใช่ผลกรรมเก่า
สุข - ทุกข์ มิใช่เพราะพระเจ้าบันดาล
สุข - ทุกข์ มิใช่ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย
ประชาชนไทยโดยเฉพาะพ่อค้าตัวเล็กตัวน้อยจนถึงตัวใหญ่ในวงการธุรกิจ ยังคงจดจำไม่รู้ลืมถึง วิกฤตการณ์เศรษฐกิจการเงินไทย ปี 2540 หรือวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้ง ที่การลดค่าเงินบาทมีพิษสงร้ายแรงเพียงใด กระทบภาคธุรกิจทั้งประเทศ คนทำธุรกิจประสบปัญหา นักธุรกิจไม่น้อยเป็นบ้า เสียสติ ฆ่าตัวตายหนีหนี้ ขาดสภาพคล่อง หมุนเงินไม่ทัน หาเงินกู้เงินค้ำประกันบริษัทไม่ได้ไม่ทันก็ต้องเจ๊งกันเป็นระนาว ต้องลอยแพพนักงาน ลูกน้องอีกหลายสิบหลายร้อยหลายพันชีวิตต้องตกงาน บริษัทต่าง ๆ ต้องขวนขวายหาทางพยุงบริษัทของตัวให้อยู่ได้โดยวิธีการต่าง ๆ ผิดบ้างถูกบ้างด้วยกันทั้งนั้น รู้ ๆ กันอยู่ สนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะทำธุรกิจสื่อ ก็หนีไม่พ้นจากสถานการณ์เยี่ยงนี้เช่นกัน เจอผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจจนเกิดปัญหา ปั่นป่วนกันทั้งสังคมจากนโยบายเปิดเสรีการเงินของรัฐที่ผิดพลาด เช่น วิเทศธนกิจ (BIBFS) นำมาซึ่งการกู้เงินจากต่างประเทศเกินตัวจนเกิดเศรษฐกิจการเงินฟองสบู่ ถูกโจมตีค่าเงินบาทจนพ่ายแพ้ต่อกองทุนข้ามชาติเฮดจ์ฟันด์อย่างหมดรูป
มีเรื่องเล่ากันอยู่มากว่า คนที่อยู่ในอำนาจบางคนทั้งที่เป็นนักการเมืองและนักธุรกิจ ได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ การล่วงรู้ล่วงหน้าก่อนประกาศลดค่าเงินบาทอย่างเป็นทางการ (เมื่อ 2 ก.ค. 40) จึงรีบเปลี่ยนสกุลเงินที่ถือ ทำให้ร่ำรวยมหาศาลชั่วข้ามคืน ในขณะที่คนบางคนร่ำรวยจากสถานการณ์ แต่ธุรกิจส่วนใหญ่ขณะนั้นขาดทุน ล้มละลาย พินาศย่อยยับ ธุรกิจของ สนธิ ลิ้มทองกุล ก็เป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบต้องประคับประคองตัวมา จนค่อยฟื้นตัวได้ในระยะต่อมา
การทำธุรกิจย่อมมีโอกาสพลาด นักธุรกิจอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ก็ทำผิด ทำพลาด ทำไม่ถูกต้องเช่นเดียวกันกับนักธุรกิจอีกหลายคน สนธิระลึกรู้กับการกระทำของตนเอง ด้วยคำพูดตรง ๆ อย่างลูกผู้ชายที่กล้าทำ กล้ารับ ว่า “อดีตเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น” แม้จะมีโอกาสยื้อคดี เป่าคดี หนีคดีไม่ยอมติดคุกเหมือนนักธุรกิจอีกหลายคน เขาก็ไม่เลือกทางเหล่านั้นเลย เขาเลือกที่จะสารภาพตั้งแต่ศาลชั้นต้นจนถึงศาลฎีกา หลายต่อหลายครั้งเขาเคยพูดเสมอว่าเขายึดมั่นในหลักการให้ความเคารพต่อศาล เพื่อคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของศาลสถิตยุติธรรม เขาไม่เคยกล่าวตำหนิว่าขบวนการยุติธรรมสองมาตรฐานแต่ประการใด
เมื่อเกิดการชุมนุมทางการเมืองขับไล่รัฐบาล สนธิ เป็นแกนนำทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ เขายังเคยพูดถึงอดีตของตนเองบนเวทีปราศรัยพันธมิตรฯ ว่า เขาเคยทำความไม่ดีมาก่อนในอดีต ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ไป จะพยายามทำแต่ความดี
ความตั้งใจที่พยายามจะทำแต่ความดีของผู้ชายคนนี้ สังคมได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ทั้งในฐานะแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการขับไล่รัฐบาลหลายรัฐบาล และในฐานะผู้รอการตัดสินรับโทษจากศาลโดยเอาตัวเองเป็นแบบอย่าง ทำให้กฎหมายเป็นกฎหมาย ยอมรับกติกาของกระบวนการยุติธรรม ด้วยถ้อยคำวรรคทองว่า “ผมไม่เคยมีความคิดที่จะไม่ไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา ทั้ง ๆ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกทั้ง 2 ศาล ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะผมมีศักดิ์ศรี มีครอบครัว มีลูกน้อง และมีพี่น้องพันธมิตรฯ ที่จะได้เชิดหน้าไม่อายใคร สำคัญที่สุดเหนืออื่นใดคือ ผมเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม”
ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) เปิดเผยว่า สนธิ เป็นคนแรกกรณีแรกที่รับโทษติดคุกตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แต่กรณีอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ผู้กระทำผิดหนีไปไม่รับโทษเลย (โพสต์ทูเดย์ 7 ก.ย. 59)
การสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้ยอมรับกติกาของขบวนการยุติธรรมของลูกจีนรักชาติคนนี้ ได้รับการชื่นชม ระลึกรู้กล้าสู้ความจริง ยอมติดคุก ไม่หนี เสียศักดิ์ศรี หากหนีก็ต้องหนีไปเรื่อย ๆ สู้ใช้ชีวิตที่เหลือไปทำประโยชน์ให้กับสังคมจะดีกว่า คนทำผิดยอมรับผิด คิดทำแต่สิ่งดีเป็นประโยชน์ต่อสังคม คนแบบนี้ในทางพุทธศาสนายกย่อง สังคมก็ให้อภัย
หลักศาสนธรรมยังให้ค่าการระลึกรู้เสมอดังที่สำนักวาติกัน ท่านโป๊ปจอห์น พอล ที่ 2 กล่าวคำขออภัยกาลิเลโอ นักดาราศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงของโลก ถูกคริสตจักรจับขังคุกมืด เพราะกาลิเลโอคือผู้ค้นพบว่า “โลกกลม” ไม่ใช่ “โลกแบน” ตามความเชื่อของคริสตจักรโบราณสมัยนั้น กาลิเลโอจึงถูกจับขังคุกมืดเพราะคิดต่าง จนต่อมาตาบอด แม้เหตุการณ์ผ่านมากว่า 350 ปีแล้ว ก็ยังไม่สาย การระลึกรู้เป็นความงดงาม เป็นคุณค่าที่มนุษย์พึงมีต่อกัน
คนเราเกิดมาเป็นคน จะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีคุณสมบัติแรกของความเป็นมนุษย์ ก็คือ มโนธรรมสำนึก คือสำนึกดี/ชั่ว ต้องแยกแยะอะไรถูก อะไรผิดให้ได้
การติดคุก 20 ปี เป็นทางที่ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้เลือกแล้ว มิใช่เป็นผลของกรรมเก่าแต่ประการใด
คดีของเขาให้แง่คิดอุทาหรณ์ที่เป็นประโยชน์ เป็นกรณีศึกษาที่น่าเรียนรู้สำหรับนักกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์การเงิน เพื่อไปปรับปรุงกฎเกณฑ์ ระเบียบ กระบวนวิธีการตรวจสอบการบริหารการเงินให้รัดกุม ให้เกิดมาตรฐานการบังคับใช้เท่าเทียมกัน ไม่ปล่อยให้คนไม่ดีทำสิ่งไม่ดีแล้วหนีหายไป ควรให้เครดิตคนดี คนปฏิบัติตามระเบียบยึดมั่นในหลักการด้วย ที่สำคัญ อาจนำไปสู่การปฏิรูปภาคการเงินทั้งในตลาดเงินและตลาดทุนไทยครั้งใหญ่
หากความสำเร็จในชีวิตของมนุษย์คนหนึ่ง อยู่ที่ “คุณค่า จิตวิญญาณ” มากกว่า “เม็ดเงิน” ก็ถือว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ประสบความสำเร็จอย่างสูงในหลาย ๆ ด้าน
โดยเฉพาะในอาชีพสื่ออย่างหาตัวจับยาก ในฐานะผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ สื่อสิ่งพิมพ์ในเครือ สื่อวิทยุ โทรทัศน์เอเอสทีวี - นิวส์วัน ล้วนเป็นสื่อที่มีคุณภาพโดดเด่นชั้นแนวหน้าของประเทศ มีอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความเป็นธรรม ตรวจสอบอำนาจรัฐ - อำนาจทุน - อำนาจนักการเมืองอย่างเกาะติด
นิวส์วัน เป็นสถานีโทรทัศน์ที่เป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้มากกว่าทีวีที่ใช้เงินภาษีราษฎรอุดหนุนเต็ม ๆ เสียอีก แถมมีข้าวน้ำให้ชาวบ้านที่มาประทังชีวิตในยามหิว นิวส์วันเปิดโอกาสให้ชาวบ้านสื่อสารปัญหาความทุกข์ยากที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิชุมชน ไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ดูแลชีวิตได้ ปัญหาต่าง ๆ ที่รัฐเผชิญขณะนี้ หากรับฟังกันบ้าง เคารพการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ปิดกั้นกีดกัน ก็จะมีทางออก
สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี - นิวส์วัน เป็นสถานีเดียวในประเทศไทย ที่มีพี่น้องประชาชน ศิลปิน ดารา นักร้อง นักดนตรี
ผู้ศรัทธาในอุดมการณ์สื่อแห่งคุณภาพและคุณธรรมของนิวส์วัน ร่วมบริจาคเงิน บริจาคข้าวของสนับสนุนอย่างเต็มใจและต่อเนื่อง จึงเป็น “สถานีโทรทัศน์ของประชาชนเพื่อประชาชน” แท้จริง คอนเสิร์ต SAVE NEWS 1 ก็เห็นกันอย่างจะจะมาแล้ว เงินบริจาคหลั่งไหลเข้ามาช่วย
เสียงของสื่ออย่างนิวส์วัน ได้พิสูจน์ตนเองเป็นที่ประจักษ์ให้รัฐและสังคมได้คิด ยกตัวอย่างปัญหาการเข้าถึงทรัพยากรกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน กรณีเหมืองแร่ทองคำ กรณีพลังงานปิโตรเลียมนั้น นิวส์วันเป็นสื่อกลางให้การเรียนรู้ทางสังคมได้มากมาย ทำให้ผู้คนเห็นแสงสว่างว่านโยบายดังกล่าวไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรมอย่างไร
รายการ “มองโลก มองเรา” ทำให้ สนธิ ลิ้มทองกุล กลายเป็น “ครูของแผ่นดิน” เพาะต้นกล้าหน่อใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิวัติสังคมไทยอย่างสันติ แบ่งปันความรู้สร้างปัญญาให้ประชาชนจำนวนมากตื่นคิดตื่นรู้ ลุกขึ้นมาปกป้องชาติบ้านเมือง ปกป้องทรัพยากรแผ่นดิน สร้างสำนึกให้คนไทยหันมาสนใจปัญหาสังคม รักชาติ รักบ้านรักเมือง รักความเป็นธรรม ความรู้ในรายการนี้ที่ “ครูสนธิ” เตรียมสอนจริงจังมาอย่างดี ทั้ง ๆ ที่มีปัญหาทางสายตา มีการนำเสนอชัดเจนในลักษณะสหวิทยาการเป็นระบบชวนติดตาม อีกทั้งยังมีการรวบรวมเป็นรูปเล่มตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือชื่อ “มองโลก มองเรา” อีกด้วย
“ครูสนธิ” ย้ำเสมอว่า การมองปัญหาสังคมต้องมีวิธีมองให้เป็นอย่างทะลุทะลวงถึงแก่นปัญหา มองเป็นระบบแบบบูรณาการ ไม่ใช่มองแยกส่วน มองเป็นเรื่อง ๆ มองเป็นคน ๆ ต้องมองอย่างเชื่อมโยงให้เห็นตัวกำหนดใหญ่ จึงจะนำสู่ความสามารถเข้าใจตีความอย่างลุ่มลึกได้ ดังคำกล่าวของเขา “เพราะสำหรับผมแล้ว ถ้าเห็นและเข้าใจป่าทั้งป่าแล้ว แทบจะไม่ต้องมองต้นไม้ทีละต้น แม้แต่ต้นเดียว....”
องค์กรที่สนธิเป็นผู้ก่อตั้ง เป็นองค์กรที่น่าศึกษามาก ว่า พนักงานอยู่กันอย่างไร ที่ผู้ปฏิบัติงานรักองค์กร อยู่ด้วยสปิริตจิตสำนึกสาธารณะด้วย ไม่ทิ้งองค์กรไปทำงานที่อื่นที่มั่นคง ปลอดภัย ได้เงินเดือนมากกว่า บางครั้งขาดสภาพคล่อง แบ่งจ่ายเงินเดือนเป็นงวด พนักงานก็ยิ้มสู้ พนักงานมีสปิริตมีพันธะผูกพันในอุดมการณ์ขององค์กรสูง
ความที่เอเอสทีวี - นิวส์วัน เสนอข่าวกับวิเคราะห์สถานการณ์ตรงไปตรงมาอย่างสร้างสรรค์ ก็ถูกผู้มีอำนาจเตือน การพูดความจริงทางเศรษฐกิจการเมือง - สังคมตรง ๆ ทำให้บางส่วนไม่กล้ามาใช้บริการโฆษณา ก็กระทบต่อรายได้ของสถานีทีวีนี้บ้าง
สนธิ ลิ้มทองกุล เป็นแบบอย่างแห่งการเสียสละ ทุ่มเทต่อสู้ให้ชาติบ้านเมือง ทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ของคนทำสื่อคุณภาพสื่อคุณธรรม ไม่ยอมก้มหัวให้อธรรมและอำนาจที่ชั่วร้าย ผู้คน ลูกน้อง จึงรักและศรัทธาในตัวผู้นำ สนธิ ลิ้มทองกุล
“ความเป็นสนธิ” ได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า เป็นคนสู้แบบแลกชีวิต เป็นนักสู้ กล้าได้กล้าเสีย ใจป้า รักลูกน้อง ในความเป็นผู้บริหารองค์กรที่มีคนลักษณะพิเศษเยี่ยงนี้ ประกาศเป็นสื่อเลือกข้างความถูกต้องเป็นธรรมและประชาชนผู้เสียเปรียบ
แม้ สนธิ ลิ้มทองกุล จะพลาดพลั้งทางธุรกิจ แต่ชีวิตก็ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมไทยจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนจำนวนมาก หากเขาไม่เข้ามาเป็นแกนนำมวลชน ป่านนี้คงมีความสุขร่ำรวย เป็นเศรษฐี มีทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ให้เมียและลูกมากมายยามแก่
หากแต่สนธิเลือกจะละทิ้งความสุขสบายส่วนตัว มาเลือกทางเดินชีวิตประกอบอาชีพเป็นสื่อเพื่อมวลชน จึงได้พลิกผันชีวิตแบบ “เสี่ยงภัย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย” ถูกลอบยิงกลางกรุงเฉียดตาย เมื่อเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ต้องขายทรัพย์สินของตนและภรรยา ต้องนำสมบัติไปจำนองเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหว และอัดฉีดให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างเสริมรับกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ต้องคดีมากมาย บางคดีข้อกล่าวโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต
สนธิตระหนักถึงความเสี่ยงสูง แต่ทว่าเขาเป็นนักสู้ที่นำมวลชนได้อย่างมีพลัง เขาเรียกร้องและเชื่อมั่นในตัวเองสูง เขาประกาศเดินหน้าชูธง “มีธรรมนำหน้า” ผู้นำระดับโลกอย่าง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, เนลสัน แมนเดลา, อองซาน ซูจี ต่างมีความโดดเด่นอยู่ 3 เรื่อง คือ พรสวรรค์ความเป็นผู้นำ, รักความถูกต้องเป็นธรรม และกล้ายืนหยัดจะเปลี่ยนแปลง ทั้ง 3 เรื่องนี้มีอยู่ในตัว สนธิ ลิ้มทองกุล ครบเครื่องที่เป็นคุณลักษณะผู้นำที่ชาติต้องการคงไม่เกินเลยความจริง หากประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะจารึกคุณค่าของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะ “นักปฏิวัติสังคม แบบสันติปฏิวัติ” ตัวจริง เขาเป็นสื่อผู้เพาะต้นกล้าสันติปฏิวัติสังคมไทยให้เติบโตในใจผองชน วีรกรรมของเขาตราตรึงในหัวใจของประชาชนจำนวนมาก น่าจะเชื่อได้ว่าเขายังคงมุ่งมั่นทำสิ่งดี ๆ ให้สังคมไทยตามอุดมการณ์และปณิธานที่ตั้งมั่น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ หลังจากศาลสั่งจำคุกสนธิ 20 ปี ประชาชนก็ได้รับรู้เรื่องราวของครอบครัวลิ้มทองกุลมากขึ้น พ่อเดินเข้าคุกด้วยตาที่มองเห็นข้างเดียว แม่ป่วยเป็นมะเร็งอยู่ห้อง ไอ.ซี.ยู. ปล่อยให้ จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ลูกชายคนเดียวรับภาระทุก ๆ เรื่อง ทุก ๆ อย่าง เพื่อสืบสานปณิธานของพ่อ
หนุ่มผมยาวหน้าตาเรียบร้อยเหมือนดาราหนังกังฟู ขึ้นเวทีบอกเล่าเรื่องราวที่คนและทีมงานจะต้องแบกรับเพื่อรักษานิวส์วันไว้รอผู้นำกลับมา พวกเขามั่นใจว่าจะทำได้ แม้จะไม่มีทางเป็นเหมือนสนธิได้ พร้อมฝากบอกประชาชนไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่ คนที่น่าห่วงคือตัวเขามากกว่า “จิตตนาถ” กล่าวย้ำว่า “...ความเข้มแข็งและปณิธานของคุณสนธินั้น ได้ถ่ายทอดอยู่ในดีเอ็นเออย่างเต็มที่อยู่แล้ว และผมก็จะทำให้ดีที่สุดตามกำลังเท่าที่มีอยู่ ในรูปแบบที่เป็นตัวผมต่อไป...”
อย่างไรก็ตาม ขอเป็นกำลังใจให้ ครอบครัวลิ้มทองกุล พ่อแม่ - ลูก สู้ ๆ ผมเชื่อว่าประชาชนจะไม่ปล่อยให้นิวส์วันจอดับแน่นอน”